อ่านข่าวจากเมียนมารู้สึกว่าฝ่ายต่อต้านเกิดความสับสนอลหม่านเมื่อรัฐบาลเปิดปฏิบัติกวาดล้างใหญ่ นักรบฝ่ายต่อต้านที่ไร้อาวุธต่อต้านอากาศยานทันสมัย เป็นเหตุให้ตะวันตกที่ถือหางแสดงความผิดหวังถึงกับแนะนำให้นักรบฝ่ายต่อต้านรุ่นใหม่ใช้วิธีระเบิดฆ่าตัวตายคล้ายพยัคฆ์ทมิฬอีแลมในศรีลังกา
สื่อตะวันตกโหมกระแสเสนอข่าวเครื่องบินทหารเมียนมาทิ้งระเบิดถล่มกองบัญชาการรัฐบาลเอกภาพแห่งชาติ (Nation Unity Government=NUG) ในรัฐชินใกล้ชายแดนอินเดีย ติดต่อกันหกวัน ทำลายกองบัญชาการทหารและอาคารหลายหลังรวมทั้งโบสถ์คริสต์เป็นเหตุให้คนตาย 11 ศพ
เอ็นยูจี หรือ รัฐบาลเงาเมียนมา กล่าวหาอินเดียว่า ปล่อยให้เครื่องบินรบเมียนมาใช้น่านฟ้าอินเดียถล่มที่มั่นเอ็นยูจี เหมือนกับที่เคยโจมตีรัฐบาลไทยว่าร่วมมือกับทหารเมียนมาปล่อยให้เครื่องบินรบเมียนมาล้ำน่านฟ้าทิ้งระเบิดใส่ฝ่ายต่อต้านที่อยู่ใกล้ชายแดนไทย ในเวลาเดียวกัน ฝ่ายต่อต้าน พลเอกมิน อ่อง หล่าย ก็กล่าวหาตำรวจไทยว่าค้นพบทรัพย์สินของลูกสาวลูกชาย พลเอกมิน อ่อง หล่ายที่ได้มาจากธุรกิจสีเทา แต่ทางไทยไม่ดำเนินคดีตามกฎหมายส่วนเพื่อนบ้านที่อยู่เหนือของเมียนมา ฝ่ายต่อต้านพลเอกมิน อ่อง หล่าย กล่าวว่า จีนดูหมิ่นคนเมียนมาที่ปักกิ่งสนับสนุนให้รัฐบาลทหารเมียนมา จัดการเลือกตั้งแบบประชาธิปไตยหลายพรรค
กล่าวสรุปคือ รัฐบาลเงาของเมียนมา ที่เรียกว่าเอ็นยูจี โจมตีประเทศเพื่อนบ้านเมียนมารอบด้านกล่าวหาเพื่อนบ้านว่าสนับสนุนรัฐบาลพลเอกมิน อ่อง หล่าย การโจมตีเพื่อนบ้านที่ทั่วไปส่วนใหญ่ใช้สื่อในสังกัดสหรัฐอเมริกาโจมตีกล่าวหา ชี้นำให้ฝ่ายต่อต้านรัฐบาลทหารเมียนมาว่าตาม
ล่าสุด สื่อออนไลน์ เดอะ ดิโพลแมต หัวหอกปฏิบัติการข่าวของวอชิงตัน เสนอรายงานพิเศษ แนะนำให้ฝ่ายต่อต้านปฏิบัติการระเบิดฆ่าตัวตายคล้ายกับพยัคฆ์ทมิฬอีแลมในศรีลังกา ดิโพลแมต เปิดหัวรายงานว่า
“....ก่อนที่กองทัพอากาศเมียนมาเริ่มขยายวงทิ้งระเบิดสังหารฝ่ายต่อต้านรุนแรงขึ้นในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า นักการเมืองฝ่ายต่อต้าน นักรบเพื่อประชาธิปไตย และชาวบ้านธรรมดาในชนบท กำลังรอการต่อสู้อย่างสิ้นหวัง กังวลเรื่องขาดอาวุธที่มีประสิทธิภาพสูงไม่เพียงพอ
ต่อต้านภัยทางอากาศที่รุนแรงขึ้นทุกวัน ความทุกข์ทรมานซึ่งฝ่ายต่อต้านวิงวอนให้ประชาคมนานาชาติส่งอาวุธมีประสิทธิภาพสูงมาให้ การรอคอยความช่วยเหลือในบางกรณีที่เจ็บปวดจากการรอคอยเหมือนถูกหักหลังและทางเดินที่คับแคบตีบตันในการหาตลาดมืดที่ขายอาวุธให้ ในบางครั้งฝ่ายต่อต้านรัฐบาลทหารเมียนมาหวังว่าจะได้” จรวดเคลื่อนที่แบบประทับบ่ายิงจากพื้นสู่อากาศที่เรียกว่า Man-portable Defense System=MANPADs อย่างไรตาม ผู้สังเกตการณ์ คิดว่าฝ่ายต่อต้านหวังมากเกินไป และกองกำลังพันธมิตรในกลุ่มชาติพันธุ์อาจไม่ได้จรวดแบบประทับบ่ายิงมาใช้ในอนาคตอันใกล้นี้
วิกฤตการเมืองในเมียนมาซึ่งต่างกับอัฟกานิสถานในทศวรรษ 2533 หรือ ซีเรีย ในปี 2553 สหภาพเมียนมา ในปี 2564-2565 ไม่มีประเทศเพื่อนบ้านให้ความสนใจ ไม่มีเพื่อนบ้านประเทศไหนอำนวยความสะดวกในการผ่านทางหรือส่งมอบอาวุธให้รวมทั้งระบบจรวดแบบประทับบ่ายิงหรืออาวุธที่มีประสิทธิภาพสูงใดๆ หากมีมหาอำนาจ หรือตลาดมืดที่ไว้ใจได้ประสงค์จะขายอาวุธให้พวกเขา เพื่อนบ้านเช่นอินเดีย ไทย จีน บังกลาเทศ และสปป.ลาวถือนโยบายทำตัวเป็นกลางไม่เปิดทางให้
แม้ว่าประเทศเพื่อนบ้านเหล่านั้นประเมินว่าสถานการณ์ในเมียนมาจะรุนแรงขึ้น หรือแม้แต่รู้ว่ารัฐบาลทหารเมียนมาไร้เสถียรภาพไม่รู้ว่าคณะผู้บริหารแห่งรัฐ หรือ State Administration council (SAC) จะล่มสลายวันไหน แต่ประเทศเพื่อนบ้านอาจคิดว่าการส่งอาวุธให้ฝ่ายต่อต้านกระตุ้นให้รัฐบาลทหารล้มเร็วขึ้นก็ตาม
ในเวลาเดียวกัน ประเทศเพื่อนบ้านก็รู้ว่ากองกำลังติดอาวุธของกองสหพันธ์รัฐว้า หรือ United Wa State Army (UWSA) มีระบบจรวดเคลื่อนที่แบบประทับบ่ายิงไว้ในครอบครอง ว้ามีทั้งจรวจ FN-5 เป็นเจนเนอเรชั่น 3 ที่ผลิตในประเทศจีน และ จรวดรุ่น FN-2ซึ่งเป็นอาวุธล้าสมัยผลิตในประเทศจีนเช่นกันไว้ในครอบครองจำนวนมาก แม้แต่จรวด FN-16 และ จรวด HN 5s ที่ล้าสมัยก็ไม่ใช่กงการอะไรของว้า ที่จะขายอาวุธเหล่านี้ให้ฝ่ายต่อต้านรัฐบาลทหารเมียนมา
ในทางตรงกันข้าม ว้าต้องเอาใจไตรพันธมิตรร่วมรบกันมา ว้ายินดีขายอาวุธ มีประสิทธิภาพสูงเหล่านี้ให้กับกองกำลังติดอาวุธชาติพันธุ์ทางภาคเหนือของเมียนมาหรือไม่ ก็เป็นคนกลางของกองทัพประชาชนจีนขายจรวดเคลื่อนที่แบบประทับบ่ายิงให้กับสหายร่วมรบทั้ง ตะอาง (Ta’ang National Liberation Army : TNLA) และ กองทัพแนวร่วมประชาธิปไตยแห่งชาติเมีย
นมา (Myanmar Nationalities Democratic Alliance Army : MNDAA)ในรัฐฉาน และ อารากัน อาร์มี่ (AA) ทางภาคตะวันตกของรัฐยะไข่
ในรายงานไม่เป็นทางเปิดเผยว่า สมรรถนะการรบของ TNLA ที่นำปืน HMGs มาสู้รบกับรบกับไทใหญ่ ที่เมืองน้ำซาน เมื่อเดือนธันวาคม เบื้องหลังการพ่ายแพ้ของไทใหญ่ในการแบ่งเขตแดนเพราะพันธมิตรของ TNLA ส่งอาวุธมีประสิทธิภาพสูงไปให้โดยใช้เฮลิคอปเตอร์แทรกแซงเข้าไปในสนามรบ
เพื่อความเข้าใจขอแทรกข้อมูลว่า ว้ามีกองกำลังติดอาวุธใหญ่และแข็งแกร่งที่สุดในบรรดาสิบหกกลุ่มชาติพันธุ์ที่ต่อสู้กับรัฐบาลทหารเมียนมา ว้ามีกำลังติดอาวุธกว่า 30,000 นาย และมีอาวุธทันสมัยมีประสิทธิภาพสูงกว่ากลุ่มชาติพันธุ์ใด เมื่อเร็วๆ นี้ ว้าได้ทำข้อตกลงกับรัฐบาลทหารเมียนมาขอแยกว้าเป็นรัฐอิสระ โดยตกลงกันว่า หลังจากเลือกตั้งสภาชุดใหม่จะเป็นผู้รับผิดชอบในการแก้รัฐธรรมนูญเปลี่ยนจากสหภาพเมียนมาเป็นสหพันธ์รัฐประชาธิปไตยเมียนมา นี้คงเป็นเหตุผลสำคัญว่าทำไมว้าไม่ยอมขายอาวุธทันสมัยให้พีดีเอฟ (People Defense Force) และกองกำลังกลุ่มชาติพันธุ์ที่เป็นแนวร่วมพีดีเอฟ
เดอะ ดิโพลแมต สาธยายต่อไปว่า...เกือบจะแน่นอนว่าการขัดขวางไม่ให้จรวดแบบประทับบ่ายิงแพร่หลายในเมียนมา มีเหตุผลพอที่จะเชื่อว่าการเปลี่ยนแปลงนโยบายของว้า และดูเหมือนว่า ว้าอิจฉาองค์กรต่อต้านรัฐบาลทหารหากขายอาวุธต่อสู้อากาศยานให้เท่ากับช่วยขยายอิทธิพลให้กับกองกำลังพิทักษ์ประชาชนขยายตัวกว้างขวางออกไป
เดอะ ดิโพลแมต เลยเสนอให้ พีดีเอฟใช้ #ไฟต่อสู้ไฟกับไฟ
คือ การโจมตีฐานการบินไม่ให้ขึ้นบินได้ ซึ่งเป็นทางเลือกที่มั่นใจกว่า เป็นการตอบโต้อำนาจทางอากาศ ตัวอย่าง ที่พีดีเอฟเคยเข้าโจมตีฐานบินน้ำพอง สนามบินมิคติลา ฐานบินแมคเวย์ ฐานบินตวงกู และล่าสุดที่พีดีเอฟโจมตีสนามบินมิงกลาดอน การโจมตีสถานที่เหล่านี้พีดีเอฟใช้ 107 มม. ซึ่งเป็นจรวดยิงจากพื้นสู่พื้น และเป็นที่ครหาเรื่องความไม่แม่นยำ เพราะคนยิงจรวดจ้องเป้าหมายจากระยะไกลถึง 8 ก.ม. การโจมตีสนามบินจำเป็นต้องใช้จรวดระดมยิงแบบหลายลำกล้องจากรถบรรทุกจรวด แต่ฝ่ายต่อต้านในเมียนมามักใช้จรวดยิงสองสามนัด โดยไม่มีฐานยิงที่มั่นคงมันจึงเป็นต้นเหตุความล้มเหลวในการทำลายเครื่องบิน
ว่ากันตามความจริง พีดีเอฟ มีทักษะในการใช้โดรนโจมตีมากกว่า มีรายงานเข้ามาว่าพีดีเอฟบังคับโดรนโจมตีสนามบินและฐานบินทั่วประเทศ แต่เป็นที่น่าสังเกตว่ารายละเอียดและแผนการโจมตีขาดหายไปไม่มีในรายงานมีเพียงแต่ผลสรุปปฏิบัติการ และระบบการติดตั้งเครื่องรบกวนสัญญาณที่ซื้อมาจากประเทศจีนในปี 2565ดูเหมือนว่า ไม่มีประสิทธิภาพต่อต้านจรวด หรือโดรนของศัตรูได้
ดังนั้นการแทรกซึมเข้าไปในสนามบินโดยอาวุธเบาและทำลายจู่โจมจากระยะใกล้ดูเหมือนจะได้ผลมากกว่า ตัวอย่างในปี 2543 ซึ่งกลุ่มพยัคฆ์ทมิฬอีแลมในศรีลังกาลอกเลียนแบบมาจากนักรบจีฮัดในปากีสถาน เดือนก.ค. 2544 นักรบพยัคฆ์ทมิฬฯแทรกซึมเข้าไปในฐานทัพอากาศศรีสังกาทางเหนือของกรุงโคลัมโบ ทำลายเครื่องบินทหารแปดลำและต่อมาในสนามบินนานาชาติบันดาไนเค่พยัคฆ์ทมิฬอีแลมทำลายเครื่องบินพาณิชย์สามลำ
ในการโจมตีทำนองเดียวกันนักรบทมิฬอีแลมโจมตีฐานทัพอากาศอนุรัธฟุระ ในเดือนตุลาคม 2550 พวกเขาทำลายเครื่องบินได้แปดลำและทำให้เครื่องบินเสียหายสิบลำ อย่างไรก็ตามแผนการทำลายแบบระเบิดฆ่าตัวตายเกือบทั้งหมดของทีมนักรบพยัคฆ์ทมิฬอีแลม เป็นบริบทที่แตกต่างจากวัฒนธรรมเมียนมาโดยสิ้นเชิง ไม่มีอะไรบ่งชี้ว่าพีดีเอฟจะมีอาสาสมัครสำหรับปฏิบัติการจู่โจมแบบพลีชีพของเมียนมาในอนาคตที่มองเห็น
เป้าหมายที่ต้องทำคือเติมเชื้อไฟว่า ชีวิตที่หลั่งเลือดต้องการเครือข่ายกล้าหาญฉลาดวางไว้ใจได้ และแหล่งข่าวที่เชื่อถือได้ ปฏิบัติการสนับสนุนหน่วยจู่โจมที่มีจรวด เครื่องยิงลูกระเบิด และปืนกลบุกเข้าทำลายรถน้ำมัน แต่ความสามารถที่ซับซ้อนเกือบเกินไปที่ฝ่ายต่อต้านทำสำเร็จได้ในอนาคตอันใกล้นี้
ในที่สุดองค์ประกอบของการต่อสู้ที่มีผลลัพธ์คล้ายๆ กันคือคว่ำบาตรการส่งน้ำมันเครื่องบินให้ มันอาจไม่สัมฤทธิผลมากนักในเมื่อรัสเซียเป็นประเทศส่งออกน้ำมันรายใหญ่ที่สุดในโลก รัสเซียจะไม่ยืนดูเฉยๆให้มิตรประเทศแห่งเดียวในอาเซียนจอดเครื่องบินโดยการคว่ำบาตรของตะวันตก
ภายในสองสามเดือนต่อจากนี้ฤดูแล้งจะมาถึง ฝ่ายต่อต้านจะประสบความสำเร็จหรือล้มเหลว ขึ้นอยู่กับการตอบสนองต่อการท้าทายเหล่านี้ภายใต้การกดดันจากการทิ้งระเบิดไม่หยุดยั้งทางอากาศจะมีส่วนสำคัญกับอนาคตสงครามประชาชน หากฝ่ายต่อต้านไม่ปฏิบัติการแบบพยัคฆ์ทมิฬอีแลมในศรีลังกา
สุทิน วรรณบวร
https://www.naewna.com/politic/columnist/53994
ฝรั่งคิดการใหญ่ยุให้เมียนมา ใช้ระเบิดฆ่าตัวตายแบบพยัคฆ์ทมิฬในศรีลังกา
สื่อตะวันตกโหมกระแสเสนอข่าวเครื่องบินทหารเมียนมาทิ้งระเบิดถล่มกองบัญชาการรัฐบาลเอกภาพแห่งชาติ (Nation Unity Government=NUG) ในรัฐชินใกล้ชายแดนอินเดีย ติดต่อกันหกวัน ทำลายกองบัญชาการทหารและอาคารหลายหลังรวมทั้งโบสถ์คริสต์เป็นเหตุให้คนตาย 11 ศพ
เอ็นยูจี หรือ รัฐบาลเงาเมียนมา กล่าวหาอินเดียว่า ปล่อยให้เครื่องบินรบเมียนมาใช้น่านฟ้าอินเดียถล่มที่มั่นเอ็นยูจี เหมือนกับที่เคยโจมตีรัฐบาลไทยว่าร่วมมือกับทหารเมียนมาปล่อยให้เครื่องบินรบเมียนมาล้ำน่านฟ้าทิ้งระเบิดใส่ฝ่ายต่อต้านที่อยู่ใกล้ชายแดนไทย ในเวลาเดียวกัน ฝ่ายต่อต้าน พลเอกมิน อ่อง หล่าย ก็กล่าวหาตำรวจไทยว่าค้นพบทรัพย์สินของลูกสาวลูกชาย พลเอกมิน อ่อง หล่ายที่ได้มาจากธุรกิจสีเทา แต่ทางไทยไม่ดำเนินคดีตามกฎหมายส่วนเพื่อนบ้านที่อยู่เหนือของเมียนมา ฝ่ายต่อต้านพลเอกมิน อ่อง หล่าย กล่าวว่า จีนดูหมิ่นคนเมียนมาที่ปักกิ่งสนับสนุนให้รัฐบาลทหารเมียนมา จัดการเลือกตั้งแบบประชาธิปไตยหลายพรรค
กล่าวสรุปคือ รัฐบาลเงาของเมียนมา ที่เรียกว่าเอ็นยูจี โจมตีประเทศเพื่อนบ้านเมียนมารอบด้านกล่าวหาเพื่อนบ้านว่าสนับสนุนรัฐบาลพลเอกมิน อ่อง หล่าย การโจมตีเพื่อนบ้านที่ทั่วไปส่วนใหญ่ใช้สื่อในสังกัดสหรัฐอเมริกาโจมตีกล่าวหา ชี้นำให้ฝ่ายต่อต้านรัฐบาลทหารเมียนมาว่าตาม
ล่าสุด สื่อออนไลน์ เดอะ ดิโพลแมต หัวหอกปฏิบัติการข่าวของวอชิงตัน เสนอรายงานพิเศษ แนะนำให้ฝ่ายต่อต้านปฏิบัติการระเบิดฆ่าตัวตายคล้ายกับพยัคฆ์ทมิฬอีแลมในศรีลังกา ดิโพลแมต เปิดหัวรายงานว่า
“....ก่อนที่กองทัพอากาศเมียนมาเริ่มขยายวงทิ้งระเบิดสังหารฝ่ายต่อต้านรุนแรงขึ้นในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า นักการเมืองฝ่ายต่อต้าน นักรบเพื่อประชาธิปไตย และชาวบ้านธรรมดาในชนบท กำลังรอการต่อสู้อย่างสิ้นหวัง กังวลเรื่องขาดอาวุธที่มีประสิทธิภาพสูงไม่เพียงพอ
ต่อต้านภัยทางอากาศที่รุนแรงขึ้นทุกวัน ความทุกข์ทรมานซึ่งฝ่ายต่อต้านวิงวอนให้ประชาคมนานาชาติส่งอาวุธมีประสิทธิภาพสูงมาให้ การรอคอยความช่วยเหลือในบางกรณีที่เจ็บปวดจากการรอคอยเหมือนถูกหักหลังและทางเดินที่คับแคบตีบตันในการหาตลาดมืดที่ขายอาวุธให้ ในบางครั้งฝ่ายต่อต้านรัฐบาลทหารเมียนมาหวังว่าจะได้” จรวดเคลื่อนที่แบบประทับบ่ายิงจากพื้นสู่อากาศที่เรียกว่า Man-portable Defense System=MANPADs อย่างไรตาม ผู้สังเกตการณ์ คิดว่าฝ่ายต่อต้านหวังมากเกินไป และกองกำลังพันธมิตรในกลุ่มชาติพันธุ์อาจไม่ได้จรวดแบบประทับบ่ายิงมาใช้ในอนาคตอันใกล้นี้
วิกฤตการเมืองในเมียนมาซึ่งต่างกับอัฟกานิสถานในทศวรรษ 2533 หรือ ซีเรีย ในปี 2553 สหภาพเมียนมา ในปี 2564-2565 ไม่มีประเทศเพื่อนบ้านให้ความสนใจ ไม่มีเพื่อนบ้านประเทศไหนอำนวยความสะดวกในการผ่านทางหรือส่งมอบอาวุธให้รวมทั้งระบบจรวดแบบประทับบ่ายิงหรืออาวุธที่มีประสิทธิภาพสูงใดๆ หากมีมหาอำนาจ หรือตลาดมืดที่ไว้ใจได้ประสงค์จะขายอาวุธให้พวกเขา เพื่อนบ้านเช่นอินเดีย ไทย จีน บังกลาเทศ และสปป.ลาวถือนโยบายทำตัวเป็นกลางไม่เปิดทางให้
แม้ว่าประเทศเพื่อนบ้านเหล่านั้นประเมินว่าสถานการณ์ในเมียนมาจะรุนแรงขึ้น หรือแม้แต่รู้ว่ารัฐบาลทหารเมียนมาไร้เสถียรภาพไม่รู้ว่าคณะผู้บริหารแห่งรัฐ หรือ State Administration council (SAC) จะล่มสลายวันไหน แต่ประเทศเพื่อนบ้านอาจคิดว่าการส่งอาวุธให้ฝ่ายต่อต้านกระตุ้นให้รัฐบาลทหารล้มเร็วขึ้นก็ตาม
ในเวลาเดียวกัน ประเทศเพื่อนบ้านก็รู้ว่ากองกำลังติดอาวุธของกองสหพันธ์รัฐว้า หรือ United Wa State Army (UWSA) มีระบบจรวดเคลื่อนที่แบบประทับบ่ายิงไว้ในครอบครอง ว้ามีทั้งจรวจ FN-5 เป็นเจนเนอเรชั่น 3 ที่ผลิตในประเทศจีน และ จรวดรุ่น FN-2ซึ่งเป็นอาวุธล้าสมัยผลิตในประเทศจีนเช่นกันไว้ในครอบครองจำนวนมาก แม้แต่จรวด FN-16 และ จรวด HN 5s ที่ล้าสมัยก็ไม่ใช่กงการอะไรของว้า ที่จะขายอาวุธเหล่านี้ให้ฝ่ายต่อต้านรัฐบาลทหารเมียนมา
ในทางตรงกันข้าม ว้าต้องเอาใจไตรพันธมิตรร่วมรบกันมา ว้ายินดีขายอาวุธ มีประสิทธิภาพสูงเหล่านี้ให้กับกองกำลังติดอาวุธชาติพันธุ์ทางภาคเหนือของเมียนมาหรือไม่ ก็เป็นคนกลางของกองทัพประชาชนจีนขายจรวดเคลื่อนที่แบบประทับบ่ายิงให้กับสหายร่วมรบทั้ง ตะอาง (Ta’ang National Liberation Army : TNLA) และ กองทัพแนวร่วมประชาธิปไตยแห่งชาติเมีย
นมา (Myanmar Nationalities Democratic Alliance Army : MNDAA)ในรัฐฉาน และ อารากัน อาร์มี่ (AA) ทางภาคตะวันตกของรัฐยะไข่
ในรายงานไม่เป็นทางเปิดเผยว่า สมรรถนะการรบของ TNLA ที่นำปืน HMGs มาสู้รบกับรบกับไทใหญ่ ที่เมืองน้ำซาน เมื่อเดือนธันวาคม เบื้องหลังการพ่ายแพ้ของไทใหญ่ในการแบ่งเขตแดนเพราะพันธมิตรของ TNLA ส่งอาวุธมีประสิทธิภาพสูงไปให้โดยใช้เฮลิคอปเตอร์แทรกแซงเข้าไปในสนามรบ
เพื่อความเข้าใจขอแทรกข้อมูลว่า ว้ามีกองกำลังติดอาวุธใหญ่และแข็งแกร่งที่สุดในบรรดาสิบหกกลุ่มชาติพันธุ์ที่ต่อสู้กับรัฐบาลทหารเมียนมา ว้ามีกำลังติดอาวุธกว่า 30,000 นาย และมีอาวุธทันสมัยมีประสิทธิภาพสูงกว่ากลุ่มชาติพันธุ์ใด เมื่อเร็วๆ นี้ ว้าได้ทำข้อตกลงกับรัฐบาลทหารเมียนมาขอแยกว้าเป็นรัฐอิสระ โดยตกลงกันว่า หลังจากเลือกตั้งสภาชุดใหม่จะเป็นผู้รับผิดชอบในการแก้รัฐธรรมนูญเปลี่ยนจากสหภาพเมียนมาเป็นสหพันธ์รัฐประชาธิปไตยเมียนมา นี้คงเป็นเหตุผลสำคัญว่าทำไมว้าไม่ยอมขายอาวุธทันสมัยให้พีดีเอฟ (People Defense Force) และกองกำลังกลุ่มชาติพันธุ์ที่เป็นแนวร่วมพีดีเอฟ
เดอะ ดิโพลแมต สาธยายต่อไปว่า...เกือบจะแน่นอนว่าการขัดขวางไม่ให้จรวดแบบประทับบ่ายิงแพร่หลายในเมียนมา มีเหตุผลพอที่จะเชื่อว่าการเปลี่ยนแปลงนโยบายของว้า และดูเหมือนว่า ว้าอิจฉาองค์กรต่อต้านรัฐบาลทหารหากขายอาวุธต่อสู้อากาศยานให้เท่ากับช่วยขยายอิทธิพลให้กับกองกำลังพิทักษ์ประชาชนขยายตัวกว้างขวางออกไป
เดอะ ดิโพลแมต เลยเสนอให้ พีดีเอฟใช้ #ไฟต่อสู้ไฟกับไฟ
คือ การโจมตีฐานการบินไม่ให้ขึ้นบินได้ ซึ่งเป็นทางเลือกที่มั่นใจกว่า เป็นการตอบโต้อำนาจทางอากาศ ตัวอย่าง ที่พีดีเอฟเคยเข้าโจมตีฐานบินน้ำพอง สนามบินมิคติลา ฐานบินแมคเวย์ ฐานบินตวงกู และล่าสุดที่พีดีเอฟโจมตีสนามบินมิงกลาดอน การโจมตีสถานที่เหล่านี้พีดีเอฟใช้ 107 มม. ซึ่งเป็นจรวดยิงจากพื้นสู่พื้น และเป็นที่ครหาเรื่องความไม่แม่นยำ เพราะคนยิงจรวดจ้องเป้าหมายจากระยะไกลถึง 8 ก.ม. การโจมตีสนามบินจำเป็นต้องใช้จรวดระดมยิงแบบหลายลำกล้องจากรถบรรทุกจรวด แต่ฝ่ายต่อต้านในเมียนมามักใช้จรวดยิงสองสามนัด โดยไม่มีฐานยิงที่มั่นคงมันจึงเป็นต้นเหตุความล้มเหลวในการทำลายเครื่องบิน
ว่ากันตามความจริง พีดีเอฟ มีทักษะในการใช้โดรนโจมตีมากกว่า มีรายงานเข้ามาว่าพีดีเอฟบังคับโดรนโจมตีสนามบินและฐานบินทั่วประเทศ แต่เป็นที่น่าสังเกตว่ารายละเอียดและแผนการโจมตีขาดหายไปไม่มีในรายงานมีเพียงแต่ผลสรุปปฏิบัติการ และระบบการติดตั้งเครื่องรบกวนสัญญาณที่ซื้อมาจากประเทศจีนในปี 2565ดูเหมือนว่า ไม่มีประสิทธิภาพต่อต้านจรวด หรือโดรนของศัตรูได้
ดังนั้นการแทรกซึมเข้าไปในสนามบินโดยอาวุธเบาและทำลายจู่โจมจากระยะใกล้ดูเหมือนจะได้ผลมากกว่า ตัวอย่างในปี 2543 ซึ่งกลุ่มพยัคฆ์ทมิฬอีแลมในศรีลังกาลอกเลียนแบบมาจากนักรบจีฮัดในปากีสถาน เดือนก.ค. 2544 นักรบพยัคฆ์ทมิฬฯแทรกซึมเข้าไปในฐานทัพอากาศศรีสังกาทางเหนือของกรุงโคลัมโบ ทำลายเครื่องบินทหารแปดลำและต่อมาในสนามบินนานาชาติบันดาไนเค่พยัคฆ์ทมิฬอีแลมทำลายเครื่องบินพาณิชย์สามลำ
ในการโจมตีทำนองเดียวกันนักรบทมิฬอีแลมโจมตีฐานทัพอากาศอนุรัธฟุระ ในเดือนตุลาคม 2550 พวกเขาทำลายเครื่องบินได้แปดลำและทำให้เครื่องบินเสียหายสิบลำ อย่างไรก็ตามแผนการทำลายแบบระเบิดฆ่าตัวตายเกือบทั้งหมดของทีมนักรบพยัคฆ์ทมิฬอีแลม เป็นบริบทที่แตกต่างจากวัฒนธรรมเมียนมาโดยสิ้นเชิง ไม่มีอะไรบ่งชี้ว่าพีดีเอฟจะมีอาสาสมัครสำหรับปฏิบัติการจู่โจมแบบพลีชีพของเมียนมาในอนาคตที่มองเห็น
เป้าหมายที่ต้องทำคือเติมเชื้อไฟว่า ชีวิตที่หลั่งเลือดต้องการเครือข่ายกล้าหาญฉลาดวางไว้ใจได้ และแหล่งข่าวที่เชื่อถือได้ ปฏิบัติการสนับสนุนหน่วยจู่โจมที่มีจรวด เครื่องยิงลูกระเบิด และปืนกลบุกเข้าทำลายรถน้ำมัน แต่ความสามารถที่ซับซ้อนเกือบเกินไปที่ฝ่ายต่อต้านทำสำเร็จได้ในอนาคตอันใกล้นี้
ในที่สุดองค์ประกอบของการต่อสู้ที่มีผลลัพธ์คล้ายๆ กันคือคว่ำบาตรการส่งน้ำมันเครื่องบินให้ มันอาจไม่สัมฤทธิผลมากนักในเมื่อรัสเซียเป็นประเทศส่งออกน้ำมันรายใหญ่ที่สุดในโลก รัสเซียจะไม่ยืนดูเฉยๆให้มิตรประเทศแห่งเดียวในอาเซียนจอดเครื่องบินโดยการคว่ำบาตรของตะวันตก
ภายในสองสามเดือนต่อจากนี้ฤดูแล้งจะมาถึง ฝ่ายต่อต้านจะประสบความสำเร็จหรือล้มเหลว ขึ้นอยู่กับการตอบสนองต่อการท้าทายเหล่านี้ภายใต้การกดดันจากการทิ้งระเบิดไม่หยุดยั้งทางอากาศจะมีส่วนสำคัญกับอนาคตสงครามประชาชน หากฝ่ายต่อต้านไม่ปฏิบัติการแบบพยัคฆ์ทมิฬอีแลมในศรีลังกา
สุทิน วรรณบวร https://www.naewna.com/politic/columnist/53994