รายการ Business Watch สัมภาษณ์ ดร.เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าฯ แบงค์ชาติ
กนง.ปรับขึ้นดอกเบี้ย ภาคเอกชนกังวลว่าต้นทุนการทำธุรกิจจะเพิ่มขึ้น ส่วนประชาชนก็กังวลเรื่องดอกเบี้ยบ้านจะเพิ่มขึ้น
ผู้ว่าฯ แบงค์ชาติ:
ธนาคารแห่งประเทศไทยต้องดูภาพรวม ซึ่งเหตุผลจำเป็นที่ต้องขึ้นดอกเบี้ยก็เพราะเรื่องเงินเฟ้อ การปล่อยเงินเฟ้อให้สูงขึ้นสร้างต้นทุนมากกว่าภาระหนี้ที่เพิ่มขึ้นจากการขึ้นดอกเบี้ย แต่ไม่ควรขึ้นเร็วเกินไปเพราะเศรษฐกิจไทยยังไม่ฟื้นจากโควิดอย่างเต็มที่ ควรขึ้นดอกเบี้ยแบบค่อยเป็นค่อยไป อยากขึ้นดอกเบี้ยพร้อมๆกับเศรษฐกิจไทยที่ฟื้นขึ้นมาเพื่อให้ภาคครัวเรือนและภาคธุรกิจมีรายได้เพียงพอที่จะรองรับหนี้ที่จะเพิ่มขึ้น
ไทยยังขาดการบริโภคในประเทศ (Domestic Consumption) ค่อนข้างมาก อยากให้ขยายความตรงนี้
ผู้ว่าฯ แบงค์ชาติ:
ขอเรียนว่าเป็นเรื่องอุปสงค์ในประเทศจะดีกว่า ไม่ใช่เฉพาะเรื่องของการบริโภค สิ่งที่เราขาดคือการลงทุน ซึ่งเป็นอีกองค์ประกอบนึงของอุปสงค์หนึ่งในประเทศ การลงทุนของเราต่ำเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน คงเป็นไปได้ยากที่เศรษฐกิจจะเดินได้อย่างเต็มศักยภาพโดยขาดการลงทุน การลงทุนของเราลดลงมานานแล้วทั้งจากในประเทศและจากต่างประะเทศ เสน่ห์ในการดึงดูดการลงทุนของประเทศเราน้อยลงเมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน
ปี 2566 การท่องเที่ยวและส่งออกจะเป็นอย่างไรบ้าง
ผู้ว่าฯ แบงค์ชาติ:
ปี 2566 พระเอกของเศรษฐกิจไทยเป็นเรื่องท่องเที่ยว เหตุผลที่ท่องเที่ยวสำคัญเป็นพิเศษเพราะน้ำหนักการจ้างงานมันใหญ่มาก คิดเป็นสัดส่วนแล้วการจ้างงานด้านท่องเที่ยวอยู่ประมาณ 1 ใน 5 ทั้งทางตรงและทางอ้อม เศรษฐกิจไทยจะฟื้นหรือไม่ขึ้นกับการท่องเที่ยว ส่วนการส่งออกน่าจะเหนื่อยเพราะภาวะเศรษฐกิจโลกอยู่ในช่วงชะลอตัวลง
อยากให้ขยายความบทบาทของแบงค์ชาติในการช่วยเหลือภาคธุรกิจเรื่อง PromptBiz
ผู้ว่าฯ แบงค์ชาติ:
หน้าที่ของแบงค์ชาติคือพยายามวาง Infra-structure ที่จำเป็นในเรื่องของการเงินเพื่อให้เศรษฐกิจมันไปได้และสร้างโอกาสให้คน
สิ่งที่ทำอันแรกคือเรื่อง Payment โดย Payment สำหรับรายย่อยคือ Promptpay ซึ่งเรามองว่าเป็น Game Changer อันสำคัญเพื่อช่วยให้เกิดโอกาสทางธุรกิจและทำให้ต้นทุนลดลง การดูแล Payment สำหรับรายย่อนทำได้โอเคแล้ว โจทย์ตอนนี้คือการสร้าง Infra-structure ทางด้านการเงินสำหรับภาคธุรกิจโดยเฉพาะสำหรับ SME
PromptBiz เป็นโครงการอันนึงที่ทำให้การใช้งานทางดิจิทัลสำหรับ SME ง่ายขึ้น เช่น ออก Invoice โดยใช้ระบบอิเล็กทรอนิกส์, การจ่ายภาษีผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ เป็นต้น การทำธุรกรรมต่างๆบนแพลตฟอร์ม ทำให้มีข้อมูลมากขึ้นและมีข้อมูลชัดเจนซึ่งน่าจะช่วยประเมินเรื่องเงินกู้และเข้าถึงเงินทุนได้ง่ายขึ้น
ปี 2566 มองว่าเศรษฐกิจไทยยังไปต่อแบบ Smooth Takeoff แล้วมีอะไรที่ภาคธุรกิจต้องระมัดระวัง
ผู้ว่าฯ แบงค์ชาติ:
ปี 2566 เศรษฐกิจไทยโดยรวมยังฟื้นตัวได้แบบต่อเนื่องจากปัจจัยการบริโภคภายในประเทศและท่องเที่ยว สิ่งที่ต้องระวังคือเรื่องเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวลงและความผันผวนในตลาดการเงินโลกซึ่งเชื่อว่าจะมีค่อนข้างมาก เหมือนสุภาษิตไทย "น้ำลดตอผุด" ภาวะน้ำลงเกิดจากการที่ธนาคารกลางในหลายประเทศขึ้นดอกเบี้ยค่อนข้างเร็วและแรง ตอจะเริ่มผุดเพราะมันมีหลายอย่างในตลาดการเงินโลกที่อยู่ได้เพราะดอกเบี้ยมันต่ำ สภาพคล่องมันเยอะ แต่ตอนนี้ภาพมันเริ่มเปลี่ยนแล้ว อย่างที่ว่าน้ำเริ่มลง ตอก็เริ่มผุดในที่ต่างๆ ก็เลยคิดว่ามีโอกาสที่จะเห็นความผันผวนและการสะดุดต่างๆในตลาดการเงินโลก
ที่เล่าให้ฟังเพราะอยากให้เตรียมตัวและไม่ตกใจจนเกินไป การเตรียมตัวเปรียบเหมือนเห็นถนนลื่นตอนฝนตก แสงไม่ค่อยสว่าง มันไม่ใช่จังหวะที่จะเหยียบคันเร่ง ต้องขับอย่างระมัดระวัง ถ้ามันเกิดอะไรก็อย่าตกใจจนเกินไปเพราะเราเตรียมพร้อมไว้แล้ว เชื่อว่าประเทศไทยโดยรวมการฟื้นตัวยังมีอยู่ ความเปราะบางต่อช็อกต่างๆที่มาจากโลกยังดีกว่าที่อื่นเพราะเสถียรภาพอะไรต่างๆของเราโอเค แต่ก็เป็นจังหวะที่ต้องใช้ความระมัดระวัง
บทสรุปจากคำให้สัมภาษณ์ของผู้ว่าฯ เกี่ยวกับเรื่องเศรษฐกิจไทย (การท่องเที่ยว, การส่งออกและการลงทุน)
1) ปี 2566 เศรษฐกิจไทยโดยรวมยังฟื้นตัวได้แบบต่อเนื่อง พระเอกของเศรษฐกิจไทยคือเรื่องท่องเที่ยว
2) ปี 2566 การส่งออกน่าจะเหนื่อยเพราะภาวะเศรษฐกิจโลกอยู่ในช่วงชะลอตัวลง
3) การลงทุนเป็นองค์ประกอบหนึ่งที่จะช่วยให้เศรษฐกิจไทยเดินไปได้แบบเต็มศักยภาพ
บทสรุปเกี่ยวกับภาวะการเงินและเศรษฐกิจโลก
น้ำลดตอผุด
ข้อความในกระทู้นี้อาจจะมีคำให้สัมภาษณ์ของผู้ว่าฯ ไม่ครบถ้วน สามารถฟังคำให้สัมภาษณ์เต็มๆได้ที่คลิปด้านล่าง
ที่มา: รายการ Business watch (25-12-2565)
"น้ำลดตอผุด" เป็นคำสุภาษิตที่ผู้ว่าฯ แบงค์ชาติ ยกมาเปรียบเทียบภาวะการเงินและเศรษฐกิจโลกปี 2566
กนง.ปรับขึ้นดอกเบี้ย ภาคเอกชนกังวลว่าต้นทุนการทำธุรกิจจะเพิ่มขึ้น ส่วนประชาชนก็กังวลเรื่องดอกเบี้ยบ้านจะเพิ่มขึ้น
ผู้ว่าฯ แบงค์ชาติ:
ธนาคารแห่งประเทศไทยต้องดูภาพรวม ซึ่งเหตุผลจำเป็นที่ต้องขึ้นดอกเบี้ยก็เพราะเรื่องเงินเฟ้อ การปล่อยเงินเฟ้อให้สูงขึ้นสร้างต้นทุนมากกว่าภาระหนี้ที่เพิ่มขึ้นจากการขึ้นดอกเบี้ย แต่ไม่ควรขึ้นเร็วเกินไปเพราะเศรษฐกิจไทยยังไม่ฟื้นจากโควิดอย่างเต็มที่ ควรขึ้นดอกเบี้ยแบบค่อยเป็นค่อยไป อยากขึ้นดอกเบี้ยพร้อมๆกับเศรษฐกิจไทยที่ฟื้นขึ้นมาเพื่อให้ภาคครัวเรือนและภาคธุรกิจมีรายได้เพียงพอที่จะรองรับหนี้ที่จะเพิ่มขึ้น
ไทยยังขาดการบริโภคในประเทศ (Domestic Consumption) ค่อนข้างมาก อยากให้ขยายความตรงนี้
ผู้ว่าฯ แบงค์ชาติ:
ขอเรียนว่าเป็นเรื่องอุปสงค์ในประเทศจะดีกว่า ไม่ใช่เฉพาะเรื่องของการบริโภค สิ่งที่เราขาดคือการลงทุน ซึ่งเป็นอีกองค์ประกอบนึงของอุปสงค์หนึ่งในประเทศ การลงทุนของเราต่ำเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน คงเป็นไปได้ยากที่เศรษฐกิจจะเดินได้อย่างเต็มศักยภาพโดยขาดการลงทุน การลงทุนของเราลดลงมานานแล้วทั้งจากในประเทศและจากต่างประะเทศ เสน่ห์ในการดึงดูดการลงทุนของประเทศเราน้อยลงเมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน
ปี 2566 การท่องเที่ยวและส่งออกจะเป็นอย่างไรบ้าง
ผู้ว่าฯ แบงค์ชาติ:
ปี 2566 พระเอกของเศรษฐกิจไทยเป็นเรื่องท่องเที่ยว เหตุผลที่ท่องเที่ยวสำคัญเป็นพิเศษเพราะน้ำหนักการจ้างงานมันใหญ่มาก คิดเป็นสัดส่วนแล้วการจ้างงานด้านท่องเที่ยวอยู่ประมาณ 1 ใน 5 ทั้งทางตรงและทางอ้อม เศรษฐกิจไทยจะฟื้นหรือไม่ขึ้นกับการท่องเที่ยว ส่วนการส่งออกน่าจะเหนื่อยเพราะภาวะเศรษฐกิจโลกอยู่ในช่วงชะลอตัวลง
อยากให้ขยายความบทบาทของแบงค์ชาติในการช่วยเหลือภาคธุรกิจเรื่อง PromptBiz
ผู้ว่าฯ แบงค์ชาติ:
หน้าที่ของแบงค์ชาติคือพยายามวาง Infra-structure ที่จำเป็นในเรื่องของการเงินเพื่อให้เศรษฐกิจมันไปได้และสร้างโอกาสให้คน
สิ่งที่ทำอันแรกคือเรื่อง Payment โดย Payment สำหรับรายย่อยคือ Promptpay ซึ่งเรามองว่าเป็น Game Changer อันสำคัญเพื่อช่วยให้เกิดโอกาสทางธุรกิจและทำให้ต้นทุนลดลง การดูแล Payment สำหรับรายย่อนทำได้โอเคแล้ว โจทย์ตอนนี้คือการสร้าง Infra-structure ทางด้านการเงินสำหรับภาคธุรกิจโดยเฉพาะสำหรับ SME
PromptBiz เป็นโครงการอันนึงที่ทำให้การใช้งานทางดิจิทัลสำหรับ SME ง่ายขึ้น เช่น ออก Invoice โดยใช้ระบบอิเล็กทรอนิกส์, การจ่ายภาษีผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ เป็นต้น การทำธุรกรรมต่างๆบนแพลตฟอร์ม ทำให้มีข้อมูลมากขึ้นและมีข้อมูลชัดเจนซึ่งน่าจะช่วยประเมินเรื่องเงินกู้และเข้าถึงเงินทุนได้ง่ายขึ้น
ปี 2566 มองว่าเศรษฐกิจไทยยังไปต่อแบบ Smooth Takeoff แล้วมีอะไรที่ภาคธุรกิจต้องระมัดระวัง
ผู้ว่าฯ แบงค์ชาติ:
ปี 2566 เศรษฐกิจไทยโดยรวมยังฟื้นตัวได้แบบต่อเนื่องจากปัจจัยการบริโภคภายในประเทศและท่องเที่ยว สิ่งที่ต้องระวังคือเรื่องเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวลงและความผันผวนในตลาดการเงินโลกซึ่งเชื่อว่าจะมีค่อนข้างมาก เหมือนสุภาษิตไทย "น้ำลดตอผุด" ภาวะน้ำลงเกิดจากการที่ธนาคารกลางในหลายประเทศขึ้นดอกเบี้ยค่อนข้างเร็วและแรง ตอจะเริ่มผุดเพราะมันมีหลายอย่างในตลาดการเงินโลกที่อยู่ได้เพราะดอกเบี้ยมันต่ำ สภาพคล่องมันเยอะ แต่ตอนนี้ภาพมันเริ่มเปลี่ยนแล้ว อย่างที่ว่าน้ำเริ่มลง ตอก็เริ่มผุดในที่ต่างๆ ก็เลยคิดว่ามีโอกาสที่จะเห็นความผันผวนและการสะดุดต่างๆในตลาดการเงินโลก
ที่เล่าให้ฟังเพราะอยากให้เตรียมตัวและไม่ตกใจจนเกินไป การเตรียมตัวเปรียบเหมือนเห็นถนนลื่นตอนฝนตก แสงไม่ค่อยสว่าง มันไม่ใช่จังหวะที่จะเหยียบคันเร่ง ต้องขับอย่างระมัดระวัง ถ้ามันเกิดอะไรก็อย่าตกใจจนเกินไปเพราะเราเตรียมพร้อมไว้แล้ว เชื่อว่าประเทศไทยโดยรวมการฟื้นตัวยังมีอยู่ ความเปราะบางต่อช็อกต่างๆที่มาจากโลกยังดีกว่าที่อื่นเพราะเสถียรภาพอะไรต่างๆของเราโอเค แต่ก็เป็นจังหวะที่ต้องใช้ความระมัดระวัง
บทสรุปจากคำให้สัมภาษณ์ของผู้ว่าฯ เกี่ยวกับเรื่องเศรษฐกิจไทย (การท่องเที่ยว, การส่งออกและการลงทุน)
1) ปี 2566 เศรษฐกิจไทยโดยรวมยังฟื้นตัวได้แบบต่อเนื่อง พระเอกของเศรษฐกิจไทยคือเรื่องท่องเที่ยว
2) ปี 2566 การส่งออกน่าจะเหนื่อยเพราะภาวะเศรษฐกิจโลกอยู่ในช่วงชะลอตัวลง
3) การลงทุนเป็นองค์ประกอบหนึ่งที่จะช่วยให้เศรษฐกิจไทยเดินไปได้แบบเต็มศักยภาพ
บทสรุปเกี่ยวกับภาวะการเงินและเศรษฐกิจโลก
น้ำลดตอผุด
ข้อความในกระทู้นี้อาจจะมีคำให้สัมภาษณ์ของผู้ว่าฯ ไม่ครบถ้วน สามารถฟังคำให้สัมภาษณ์เต็มๆได้ที่คลิปด้านล่าง
ที่มา: รายการ Business watch (25-12-2565)