🦚มาลาริน🦚เรื่องดีค่ะ..อาคม"ชี้เศรษฐกิจดี ดึงต่างชาติลงทุน ดันบาทแข็ง/ปรับประมาณการ นทท.ต่างชาติทั้งปี 25.5 ล้านคน

“อาคม “ชี้เศรษฐกิจดี ดึงต่างชาติลงทุน ดันบาทแข็ง



อาคม “ชี้เศรษฐกิจดี ดึงต่างชาติลงทุนผ่านตลาดหุ้นและตลาดตราสารหนี้ ดันบาทแข็งค่า ระบุ ธปท.ดูแลใกล้ชิด จึงไม่กังวล

นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยถึงกรณีเงินบาทปรับค่าแข็งขึ้นในช่วงนี้ว่า เป็นผลจากเงินทุนไหลเข้าประเทศผ่านตลาดหุ้น และตลาดตราสารหนี้ และเป็นผลมาจากฐานะการเงินการคลังของประเทศมีเสถียรภาพ มีการลงทุนในธุรกิจ BCG Economy หรือ เศรษฐกิจชีวภาพเศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียว (Bio-Circular-Green Economy) มากขึ้น

นอกจากนี้ ยังมีเม็ดเงินจากนักท่องเที่ยวต่างชาติ ที่เข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทย ก่อให้เกิดการจับจ่ายใช้สอยในประเทศเพิ่มขึ้นตามไปด้วย อีกทั้ง มีการเบิกจ่ายเงินงบประมาณปี 2566 ตามเป้าหมายด้วย จึงมีเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจของประเทศ ตลาดหุ้นก็ปรับขึ้นตลอดในช่วงที่ผ่านมา ถือว่า ต่างชาติเชื่อมั่นเศรษฐกิจของประเทศ จึงนำเม็ดเงินมาลงทุนในประเทศไทยเพิ่มขึ้น
 
“การแข็งค่าของเงินบาท หรือเงินบาทจะอ่อนค่า ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ก็ติดตามดูแลอย่างใกล้ชิดอยู่แล้ว ไม่น่ากังวลอะไร”

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับสถานการณ์ค่าเงินบาทนั้น เมื่อเดือนก.ย.65 ค่าเงินบาทเฉลี่ยยังอยู่ที่ 38 บาทต่อดอลลาร์ ถือเป็นการอ่อนค่าต่ำสุดในรอบ 16 ปี หลังจากนั้นทยอยแข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่องจนมาแตะที่ระดับเฉลี่ย 33 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ในเดือนม.ค.66

https://www.bangkokbiznews.com/finance/investment/1047459

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ปรับประมาณการนักท่องเที่ยวต่างชาติเที่ยวไทยทั้งปี 25.5 ล้านคน


จากการที่ทางการจีนได้ผ่อนคลายกฎระเบียบการกักตัวสำหรับผู้ที่เดินทางเข้าประเทศและการจำกัดจำนวนผู้โดยสายเที่ยวบินระหว่างประเทศจะถูกยกเลิกตั้งแต่วันที่ 8 มกราคม 2566 ที่ผ่านมา กอปรกับทางการจีนเริ่มเปิดให้ชาวจีนเข้าทำหนังสือเดินทางและต่ออายุหนังสือเดินทาง (Passport) อีกครั้ง ซึ่งนับเป็นข่าวดีต่อภาคการท่องเที่ยวของไทย เพราะหลังจากที่มีการผ่อนคลายกฎระเบียบดังกล่าวชาวจีนได้ให้ความสนใจในการค้นหาข้อมูลการท่องเที่ยวในประเทศไทยเป็นจำนวนมาก และแน่นอนว่าการผ่อนคลายกฎระเบียบครั้งนี้เร็วกว่าที่คาด ย่อมมีผลต่อทิศทางตลาดนักท่องเที่ยวจีนเที่ยวไทยในปี 2566 ที่น่าจะมีจำนวนเพิ่มขึ้นจากคาดการณ์เดิม

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า การเร่งตัวของจำนวนนักท่องเที่ยวจีนเที่ยวไทยในปี 2566 จะเริ่มเห็นชัดเจนในช่วงไตรมาส 2 และน่าจะก้าวกระโดดมากขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง แปรผันตามการขยายเส้นทางการบินและความถี่ของเที่ยวบินระหว่างจีนและไทยที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น โดยมีความเป็นไปได้ที่จำนวนเที่ยวบินต่อวันจากจีนมาไทยอาจจะเพิ่มขึ้นมากกว่า 3 เท่าในระหว่างปี เมื่อเทียบกับประมาณ 1,035 เที่ยวบินในช่วงไตรมาสแรกปี 2566 หรือเฉลี่ยประมาณ 11-15 เที่ยวบินต่อวัน และเทียบกับในช่วงที่จีนปิดประเทศเฉลี่ยที่ 3 เที่ยวบินต่อสัปดาห์ ซึ่งจะทำให้เที่ยวบินต่อวันในปี 2566 นี้อาจจะกลับมาราว 60-70% จากก่อนโควิด อย่างไรก็ตาม การกลับมาเปิดเส้นทางการบินจนถึง ณ ปลายปี 2566 อาจจะยังต่ำกว่าค่าเฉลี่ยประมาณ 93 เที่ยวบินต่อวัน (รวมเช่าเหมาลำ) ในช่วงก่อนการระบาดของโควิดในปี 2562 เนื่องจากจำนวนชาวจีนเดินทางท่องเที่ยวต่างประเทศแม้เพิ่มขึ้นแต่อาจยังมีจำกัด และการจัดการด้านทรัพยากรรองรับคงต้องใช้เวลา อาทิ เครื่องบิน นักบิน พนักงานภาคพื้น เป็นต้น

การใช้จ่ายต่อทริปในไทยของชาวจีนในปี 2566 อาจไม่เพิ่มหากเทียบกับก่อนโควิดในปี 2562 เนื่องจากชาวจีนที่เดินทางท่องเที่ยวต้องกันค่าใช้จ่ายเพื่อการเดินทาง (ค่าตั๋วเครื่องบินและค่าประกันสุขภาพ) สูงขึ้น บนเงื่อนไขการตั้งงบประมาณการเดินทางตลอดทริปที่เท่าเดิมจากสถานการณ์เศรษฐกิจและรายได้ที่ไม่ได้ดีขึ้น ยกเว้นว่านักท่องเที่ยวจะใช้เงินออมหรือเป็นกลุ่มที่ไม่ได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจในจีน แม้ว่าราคาบัตรโดยสารเครื่องบินระหว่างไทย-จีนได้ปรับลดลงมาอย่างมากเมื่อเทียบกับในช่วงที่จีนยังปิดประเทศ แต่ราคาบัตรของเส้นทางบินตรงยังคงสูงกว่าค่าเฉลี่ยในช่วงก่อนการระบาดของโควิดประมาณ 1.5 เท่า และสูงกว่า 200% ในเมืองที่ยังไม่มีเส้นทางบินตรง เนื่องจากในช่วงของการเริ่มเปิดประเทศปริมาณผู้โดยสายยังจำกัด ขณะเดียวกัน เนื่องจากต้นทุนในธุรกิจสายการบินยังสูง โดยเฉพาะราคาพลังงานที่มีแนวโน้มกลับมาสูงขึ้นหลังจากจีนเปิดประเทศ ทำให้ราคาบัตรโดยสารน่าจะยังทรงตัวสูง นอกจากนี้ ยังมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมอย่างประกันสุขภาพ และการตรวจ PCR ก่อนที่ชาวจีนจะเดินทางกลับประเทศ ซึ่งเบี้ยประกันอาจมีราคาหลักพันบาทหรืออาจสูงกว่านี้ขึ้นอยู่กับอายุและระยะเวลาพำนักในไทย ดังนั้น หากนักท่องเที่ยวจีนมีงบการเดินทางเท่าเดิม ก็จะเหลือเม็ดเงินสำหรับการใช้จ่ายท่องเที่ยวน้อยลง
 
อย่างไรก็ตาม ในช่วงถัดๆ ไปของปี หากการระบาดของโควิดบรรเทาลงและผู้ประกอบการกลับมาทำการตลาดมากขึ้น ก็มีโอกาสที่ค่าใช้จ่ายที่ต้องกันไว้นี้อาจจะลดลงและทำให้ชาวจีนมีเม็ดเงินใช้จ่ายระหว่างท่องเที่ยวในไทยเพิ่มขึ้นจากช่วงต้นปีได้

มองไปข้างหน้า ยังคงต้องติดตามมาตรการเปิดรับนักท่องเที่ยวจีนของต่างประเทศ เช่น เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น ยุโรป เป็นต้น ซึ่งหากสถานการณ์ไม่ได้เปลี่ยนแปลงมากจากปัจจุบัน ประกอบกับการท่องเที่ยวระยะไกลมีค่าใช้จ่ายที่สูงกว่า ก็ยิ่งมีความเป็นไปได้มากขึ้นที่ชาวจีนที่ต้องการเดินทางท่องเที่ยว จะเลือกไทยเป็นจุดหมายปลายทาง
 
 
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จึงมองว่า ในช่วงครึ่งหลังของปี 2566 เมื่อเส้นทางการบินกลับมาขยายตัว ควบคู่กับการทำการตลาดของหน่วยงานท่องเที่ยวและผู้ประกอบการมีมากขึ้น โดยเฉพาะถ้าไทยถูกเลือกเป็นหนึ่งในประเทศนำร่องของการฟื้นฟูการเดินทางแบบกลุ่มขนาดใหญ่ คงจะทำให้ชาวจีนเดินทางท่องเที่ยวในไทยเร่งตัวขึ้นก้าวกระโดดจากช่วงครึ่งปีแรก เนื่องจากจะมีฤดูกาลท่องเที่ยวของชาวจีนที่สำคัญ คือ ช่วงปิดภาคเรียนฤดูร้อน (ระหว่างเดือนก.ค.-ส.ค. ของทุกปี) และช่วงวันหยุดยาววันชาติจีน (ในช่วงวันที่ 1-7 ต.ค. ของทุกปี)

สำหรับทั้งปี 2566 ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า นักท่องเที่ยวจีนเที่ยวไทยจะมีจำนวนประมาณ 4.65 ล้านคน หรือกลับมาประมาณ 42% ของจำนวนนักท่องเที่ยวจีนในปี 2562 อย่างไรก็ดี ค่าใช้จ่ายในการเดินทางที่สูงขึ้นอาจจะส่งผลต่องบประมาณการใช้จ่ายเพื่อการท่องเที่ยวในไทยที่อาจจะลดลงเมื่อเทียบกับปี 2562 ดังนั้น ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินว่า การใช้จ่ายของชาวจีนเที่ยวไทยสู่ธุรกิจท่องเที่ยวและเกี่ยวเนื่องอาจจะมีมูลค่าประมาณ 1.86 แสนล้านบาท หรือกลับมา 36% ของการใช้จ่ายของชาวจีนเที่ยวไทยในปี 2562
 
จากการกลับมาของนักท่องเที่ยวจีนที่เร็วขึ้น ทำให้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ได้ปรับประมาณการนักท่องเที่ยวต่างชาติเที่ยวไทยทั้งปี 2566 เป็น 25.5 ล้านคน (กรอบ 24-26 ล้านคน) จากเดิมที่คาดว่าจะมีจำนวน 22 ล้านคน (คาดการณ์ ณ วันที่ 9 ธ.ค. 65) ขณะที่การใช้จ่ายของชาวต่างชาติเที่ยวไทยสร้างรายได้สู่ธุรกิจท่องเที่ยวและเกี่ยวเนื่องคาดว่าจะมีมูลค่าประมาณ 1.07 ล้านล้านบาท

https://www.banmuang.co.th/news/finance/311815

เรื่องที่ดีมีมาให้ได้ปลื้มใจ ยินดีไปกับประเทศไทยนะคะ

นายกฯลุงตู่สู้มาถึงวันนี้ได้อย่างมีความเป็นผู้นำกล้าในการตัดสินใจบริหารบ้านเมืองรอดจากวิกฤตได้อย่างไม่บอบช้ำมาก

เราจึงฟื้นได้อย่างรวดเร็วตามนโยบาย V-Shape ของรัฐบาลลุงตู่

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่