เท่าที่ใจจะรักได้ (11)


.

โดย : ชลัน

               ๑๑
               _______________________

              วันอาทิตย์บ่ายโมงพี่ใหญ่ชวนฉันไปหาคุณย่าที่บ้าน ห้าโมงเย็นพี่ใหญ่ก็จะกลับไปทำงาน แล้ว ส่วนกัญญาเห็นว่าจะกลับวันจันทร์ตอนเช้า เพราะช่วงเช้าไม่มีเรียน จึงอยากค้างที่บ้านต่ออีกคืน ความเป็นจริงฉันรู้ ฉันรู้ว่าทำไมกัญญาถึงอยากกลับวันจันทร์ เพราะว่าจะได้นั่งรถกลับไปกับนายภีมอย่างไรล่ะ แต่ฉันก็ไม่ได้แพร่งพรายพูดอะไรออกไป ทำเป็นไม่รับไม่รู้

            พวกเราสองพี่น้องมาถึงก็ปรี่เข้าไปหาคุณย่ากันเลย คุณย่ากำลังพรวนดินดายหญ้าในแปลงดอกไม้หน้าบ้าน พี่ใหญ่ตรงเข้าไปกอด ทักทายออดอ้อนคุณย่าราวกับเด็ก ๆ ฉันเห็นแล้วอดหมั่นไส้อีกไม่ได้ คุณย่าก็เช่นกัน เออออไปกับการอ้อนของหลานชาย
            
              พี่ใหญ่เป็นหลานชายคนแรก และคุณย่าเลี้ยงเองกับมือ จึงไม่แปลกถ้าจะรักจะหลงกันขนาดนี้ สำหรับฉันคุณย่าก็คงรักแต่ไม่เท่าพี่ใหญ่ พอคุณย่าชมเชยพี่ใหญ่จนพอใจแล้วจึงหันมาทักทายฉัน จากนั้นก็วางเสียม ล้างมือเข้าบ้านไปกับพวกฉันสองคน

             "จะกลับไปทำงานตอนไหนเหรอใหญ่" คุณย่าถาม พร้อมนำผลไม้และขนมมาให้พวกเราทานด้วย อีกทั้งคุณย่านำชุดใหม่มาอวดฉัน ที่นำผ้าที่ฉันซื้อให้เมื่อตอนวันเกิดไปตัดเป็นชุดกระโปรง สวยมาก

             "กลับวันนี้ครับ ห้าโมงเย็น" พี่ใหญ่ตอบ

             "แหม... มาไม่ทันไรก็จะกลับแล้ว ย่ายังไม่หายคิดถึงเลย ทำไมไม่พากันมาหาย่าตั้งแต่ตอนเช้า ๆ พอจะกลับแล้วถึงมา ได้คุยกันแป๊บเดี๋ยว" คุณย่าทำงอน พี่ใหญ่เห็นท่าไม่ดีก็รีบขยับเข้าไปนั่งติด ๆ คุณย่าและสวมกอดอีก จะอายุแค่ไหนก็ยังอ้อนเป็นเด็ก ๆ และมันก็ได้ผลคุณย่าพอใจ
            
             ฉันเห็นพี่ใหญ่อ้อนคุณย่าแบบนี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไร ยิ้มให้กับทั้งสองคน ส่วนฉันจะไปทางอ้อนคุณยายเสียมากกว่า

              "โถ่คุณย่าครับ วันนี้ไม่มีใครอยู่บ้านกันเลย คุณแม่กับคุณยายไปเยี่ยมคุณลุงนนท์ ผมกับน้องจึงต้องอยู่เฝ้าบ้านก่อน" พี่ใหญ่อธิบาย

             "แล้วเมื่อวานวันเสาร์ก็ไม่มา กัญตาเองก็เหมือนกัน ทำงานที่บ้านไม่ได้ไปไหน ไม่เคยคิดจะมาหาย่าเลย บ้านก็อยู่แค่นี้" คุณย่าพาลมาถึงฉัน ฉันเลิ่กลั่กหาคำแก้ตัว

            "คุณย่าก้อ ตาว่างที่ไหนล่ะคะ เลิกงานก็เย็นแล้ว เสาร์อาทิตย์ก็มีอะไรให้ทำตลอด วันนี้ตาก็มาหาคุณย่าแล้วไง" ทำอ้อนบ้าง รู้ว่าคุณย่าชอบให้อ้อนแบบนี้ "เอ่อว่าแต่คุณป้าไปไหนเหรอคะไม่เห็นมีใครอยู่บ้านเลย คุณย่าอยู่บ้านคนเดียวเหรอ" ฉันเปลี่ยนเรื่องคุย
            
           คุณย่าอยู่บ้านกับคุณป้าสองคน ส่วนพี่ ๆ ลูกของคุณป้าไปทำงานที่กรุงเทพฯ กันหมด บ้านนี้จึงอยู่กันเพียงสองคน ส่วนคุณอาภูริอยู่บ้านอีกหลัง

            "ป้าแกวัน ๆ นึงไม่อยู่บ้านหรอก ไปไหนก็ไม่รู้" แต่ฉันกับพี่ใหญ่รู้ว่าแต่ละวันคุณป้าไปไหน ทว่าไม่อยากยุ่ง คุณป้ามักจะแอบคุณย่าไปเล่นการพนันเสมอกับเพื่อนฝูง

             "ชุดคุณย่าสวยนะเนี่ย ถ้าคุณย่าชอบตาซื้อผ้ามาให้อีกก็ได้นะคะ" ฉันเปลี่ยนเรื่องคุยอีก ไม่อยากให้คุณป้าโดนบ่น

              "ป้าก็อยากได้ ซื้อมาให้ป้าบ้างซี ไม่ก็พาป้าไปซื้อก็ได้" คุณป้าพูดแทรกพร้อมเดินเข้ามาในบ้าน ฉันกับพี่ใหญ่หันไปยกมือไหว้ คุณป้ายิ้มและบอกให้พวกเราตามสบาย "ชุดคุณย่าสวย ป้าก็อยากใส่บ้าง"

             "ได้ค่ะเมื่อไหร่ตาว่างแล้วตาจะพาคุณป้าไปดูผ้านะคะ"

               "แล้วใหญ่เราจะกลับไปทำงานวันไหน" คุณป้าพูดกับพี่ใหญ่

              "วันนี้ตอนห้าโมงเย็นครับ" พี่ใหญ่ตอบ คุณป้าพยักหน้าเข้าใจ
              
            "กลับเร็วจัง ไม่อยู่ต่อหลาย ๆ วัน"
            
             พี่ใหญ่ยิ้ม "มีวันลาแค่นี้ครับ"
            
              พวกเรานั่งคุยกันจนถึงห้าโมงเย็นพี่ใหญ่กับฉันจึงขอตัวกลับ คุณย่ากับคุณป้ามิวายหาของฝากให้พี่ใหญ่กลับไปกินที่ทำงานอีก

              ฉันกับพี่ใหญ่กลับมาบ้านพร้อมของกินติดไม้ติดมือมากมาย พี่ใหญ่ไม่ได้เอากลับไปหมด แบ่งไว้ที่บ้านด้วย คุณแม่กับคุณยายและคุณลุงกลับมาจากโรงพยาบาลพอดี หลังจากเก็บกระเป๋าเรียบร้อยพี่ใหญ่จึงลาทุกคนกลับไปทำงาน ที่บ้านเหลือฉันกับกัญญาสองคน บรรยากาศจึงแลดูเหงา พรุ่งนี้กัญญากลับไปเรียนแล้ว เหลือฉันอยู่บ้านเพียงคนเดียว ไม่อยากจะนึกถึงความรู้สึกของวันพรุ่งนี้ เพราะจะมันเหงามาก ๆ ฉันชินแล้ว

              พี่ใหญ่กลับไปได้สักพักใหญ่ ๆ แล้ว ฉันกับกัญญาเราช่วยกันทำงานบ้าน และเตรียมกับข้าวมื้อเย็นให้คุณแม่ แต่แล้วก็ต้องเกิดเรื่องที่ไม่ได้คาดฝันขึ้น ฉันเห็นคุณแม่ยืนคุยโทรศัพท์อยู่ จากนั้นก็นิ่งชะงักไป จากนั้นก็ทำโทรศัพท์ร่วงลงพื้น ฉันกับกัญญาเห็นท่าไม่ดีจึงรีบเดินเข้าไปถาม

              "คุณแม่มีเรื่องอะไรเหรอคะ ใครโทรมา" ฉันถามพร้อมมองไปที่โทรศัพท์ของคุณแม่ที่หล่นลงพื้น ทว่าหน้าจอดับไปแล้ว

               "ตา..." คุณแม่เรียกชื่อฉันพร้อมร้องไห้ อีกทั้งมือไม้สั่น ฉันกับกัญญาเรางงไปพร้อม ๆ กัน แต่มันต้องเป็นเรื่องไม่ดีแน่ ๆ คุณแม่ถึงร้องไห้ "พี่แก พี่แกเกิดอุบัติเหตุรถคว่ำ" คุณแม่ว่า ฉันกับกัญญาตกใจกับสิ่งที่ได้ยิน ฉันพูดอะไรไม่ออก ทั้งที่พี่ใหญ่เพิ่งจะออกจากบ้านไปเมื่อครู่นี้ คุณแม่ร้องไห้ทำอะไรไม่ถูก

                "คุณแม่ใจเย็น ๆ พี่ใหญ่อาจไม่เป็นอะไรก็ได้" กัญญาปลอบใจคุณแม่

                "กัญญาไปบอกคุณลุงเอาออก คุณแม่เราไปหาพี่ใหญ่กัน" ฉันเตือนสติคุณแม่ ตอนนี้เหมือนท่านกำลังสติแตกไปแล้ว พี่ใหญ่ถูกนำตัวส่งโรงพยาบาล ฉันภาวนาขอให้พี่ชายปลอดภัย

              คุณลุงนำรถพาพวกเราไปยังโรงพยาบาลเพื่อไปหาพี่ใหญ่ คุณยายกับคุณแม่แทบจะนั่งไม่ติดที่หน้าห้องฉุกเฉิน เดินไปเดินมาด้วยความกังวล
              
            ตำรวจนำภาพอุบัติเหตุมาให้ดู ฉันแทบไม่อยากดู สภาพรถพังยับ แล้วตัวคนในรถจะเป็นอย่างไร ฉันน้ำตาคลอสงสารพี่ชาย ภาวนาขอให้ปลอดภัยโดยเร็ว เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตำรวจบอกว่ารถที่วิ่งอยู่ถนนอีกฝั่ง เสียหลักข้ามเกาะพุ่งเข้าชนรถของพี่ใหญ่ที่กำลังวิ่งมาเข้าอย่างจัง ทำให้พลิกคว่ำไปหลายตลบ
            
               กู้ภัยต้องใช้เครื่องมือตัดถ่างเพื่อนำตัวของพี่ใหญ่ออกมาจากรถ และนำตัวส่งโรงพยาบาล ฉันร้องไห้เมื่อได้ยินตำรวจบอกกล่าว กลัวพี่ชายเพียงคนเดียวจะเป็นอะไรไป  

               ไม่นานคุณหมอก็ออกมาจากห้องไอซียู บอกอาการของพี่ใหญ่แก่คุณแม่ คุณหมอบอกว่าอาการของพี่ใหญ่ทรงตัว โอกาสรอดห้าสิบ ๆ คุณหมอบอกต้องดูคืนนี้ ถ้าพ้นคืนนี้ไปโอกาสรอดก็เยอะกว่าห้าสิบเปอร์เซ็นต์ ทุกคนยังมีหวังแม้จะเป็นหวังที่เป็นตายเท่ากันก็ตาม
               
              พี่ใหญ่ยังอยู่ในห้องไอซียู หมออนุญาตให้ญาติเข้าไปเยี่ยมได้ ฉันไม่ยอมเข้าไปเยี่ยมพี่ใหญ่ กัญญาอีกคนที่ไม่ยอมเข้าไปด้วย เพราะไม่อยากเห็นสภาพของพี่ใหญ่ในตอนนี้ ฉันสงสารพี่ชายเกินกว่าจะเข้าไปเยี่ยมและเห็นสภาพนั้น

            คืนนี้พวกเราไม่ได้กลับบ้านเลย และไม่มีใครหลับลงได้สักคน แม้แต่คุณยายที่กึ่งหลับกึ่งตื่น เพราะห่วงพี่ใหญ่ กลัวพี่ใหญ่เป็นอะไรไปก่อนจะพ้นคืนนี้ ฉันนั่งมองเข้าไปข้างในห้องไอซียูเงียบ ๆ ไม่คิดว่าเหตุการณ์บ้า ๆ พวกนี้จะเกิดขึ้นกับครอบครัวของฉันเอง ฉันไม่ลืมที่จะส่งข่าวให้พี่สะใภ้รับรู้ พี่เฟิร์นบอกว่าพรุ่งนี้จะมาโรงพยาบาลแต่เช้า


              เช้าตรู่ของวันใหม่ ครอบครัวของคุณย่ามาเยี่ยมพี่ใหญ่ พวกเราแลดูงง ๆ เพราะยังไม่มีใครบอกข่าวนี้แก่ญาติคนไหนเลย ฉันเห็นนายภีมเดินมาคนสุดท้าย ก็พอจะเข้าใจแล้วว่าครอบครัวของคุณย่าทราบเรื่องได้อย่างไร ฉันหันมองหน้าน้องสาว กัญญาหลบสายตาฉัน เป็นอันยอมรับว่าเป็นคนบอกข่าวนี้กับนายภีมเอง แต่ฉันก็ไม่ได้พูดอะไร แม้แต่คุณแม่ คงไม่มีกระจิตกระใจจะต่อว่าอะไรหรือใครในยามนี้ ยังไม่ถึงเวลาเยี่ยม ทุกคนจึงได้แต่รอกันที่หน้าห้องอย่างใจจดใจจ่อ

               "หลานฉันเกิดอุบัติเหตุทั้งคน ใจคอเธอจะไม่บอกกันเลยหรือไงละมุน" มาถึงคุณย่าก็ต่อว่าคุณแม่ทันที แต่คุณแม่ไม่ได้ตอบโต้กลับ ไม่พูดอะไร ยังอยู่ในอาการเงียบขรึม เซื่องซึม "ใจดำเกินไปหรือเปล่า" คุณย่าว่า

              "คุณแม่ค่ะ..." คุณป้าปรามคุณย่าเบา ๆ

               "เอ่อ... แล้วใหญ่อาการเป็นยังไงบ้างครับพี่ละมุน" คุณอาภูริถาม คุณแม่ก็ยังเงียบ ไม่มีใครเอ่ยอะไรออกมา คุณอาจึงมองมาที่ฉัน

             "พี่ใหญ่อาการยังไม่สู้ดีค่ะ หมอบอกห้าสิบ ๆ แต่ว่าเมื่อคืนไม่มีอะไรเกิดขึ้น พี่ใหญ่คงพ้นขีดอันตรายแล้ว นี่ก็รอคุณหมออยู่" ฉันบอกอาการของพี่ใหญ่แก่ทุกคน สักพักมีแขกมาเพิ่มอีก นั่นคือคุณพ่อของฉันเอง

              "ละมุนลูกเป็นยังไงบ้าง" คุณพ่อถามก่อนจะเดินมาถึง ทุกคนหันไปมองคุณพ่อกันหมด ฉันไม่รู้ว่าต้องวางตัวและสีหน้ายังไง ณ ตอนนี้ เกือบยี่สิบปีที่พ่อกับแม่ไม่ได้เจอกัน และคุยกันอย่างวันนี้

                คุณแม่มองคุณพ่อแต่ก็ไม่ได้พูดอะไร อีก "คุณน่าจะบอกผมตั้งแต่เมื่อวาน ผมมารู้เอาตอนเช้ากับคุณแม่ ถ้าลูกเป็นอะไรขึ้นมาผมจะทำยังไง ผมก็ห่วงลูกเหมือนกันนะละมุน" คุณพ่อกึ่งต่อว่าคุณแม่
               
               "แม่ลูกคู่นี้เหมือนกันจริง ๆ" คุณยายเปรยขึ้น จากที่นั่งเงียบมาสักพัก คุณย่าทำท่าจะเถียงแต่ไม่ทันได้เอ่ยปาก คุณหมอก็เปิดประตูออกมา ทุกคนปรี่เข้าไปรุมคุณหมอกันหมด

               "คนไข้ตอบสนองต่อการรักษาเป็นอย่างดีนะครับ ถือว่าเป็นเรื่องที่ดี คาดว่าพรุ่งนี้ก็น่าจะได้ออกไปอยู่ห้องพักฟื้นผู้ป่วยได้ ส่วนวันนี้ยังคงให้อยู่ในห้องไอซียูไปก่อนเพื่อดูอาการ เชิญเข้าเยี่ยมได้ครับ แต่หมอขอไม่เกินครั้งและสองคนนะ" คุณหมอชี้แจง ทำให้คุณแม่ที่เอาแต่ร้องไห้เงียบ ๆ ตั้งแต่เมื่อคืนมีสีหน้าแจ่มใสขึ้นบ้าง ฉันเห็นรอยยิ้มของคุณแม่ผุดขึ้นที่ใบหน้า ก็อดยิ้มตามไม่ได้ ที่พี่ใหญ่ปลอดภัยแล้ว อย่างน้อยก็น่าจะเกินหกสิบเปอร์เซ็นต์

                "ให้แม่เขาเข้าไปก่อนเถอะ" คุณป้าพูด คุณแม่กับคุณลุงกำลังจะเดินเข้าไปในห้อง ทว่าคุณพ่อเดินเข้าไปตัดหน้า ฉันมองเหตุการณ์อย่างใจเต้นระทึก

                "ผมเป็นพ่อ ผมควรจะได้เข้าไปก่อนคนอื่น" คุณพ่อกล่าวกับคุณลุง

               คุณลุงมองหน้าคุณพ่อแวบหนึ่งก่อนจะผายมือให้ "เชิญครับ" คุณลุงเชิญคุณพ่อให้เข้าไปเยี่ยมพี่ใหญ่พร้อมกับคุณแม่ ส่วนตนเองถอยออกมา คุณแม่กับคุณพ่อเข้าไปเยี่ยมพี่ใหญ่ด้วยกัน ฉันไม่ค่อยชอบใจหรอกนะ ภาพแบบนี้ เหตุการณ์แบบนี้ เพราะฉันเกรงใจคุณลุงพ่อเลี้ยงของฉัน

                ระหว่างที่พวกเรารอเข้าไปเยี่ยมพี่ใหญ่อยู่ข้างนอก พี่เฟิร์นก็มาถึงพอดี พี่เฟิร์นยกมือไหว้ทุกคน ถามเรื่องอาการของพี่ใหญ่ และรอเข้าเยี่ยมด้วย อีกคู่คือกัญญากับนายภีม คุณแม่ไม่อยู่นายภีมถือโอกาสเข้ามาพูดคุยใกล้ชิดกับน้องสาวของฉัน ชนิดไม่เกรงใจคุณยายและคุณลุงสักนิด นาทีนี้คงไม่มีใครสนใจ ส่วนฉันก็ไม่ว่าอะไร ถือเสียว่านายภีมกำลังปลอบขวัญกัญญาอยู่

                คุณแม่กับคุณพ่อกลับออกมาแล้วก็เป็นคิวของฉันกับคุณยาย ฉันเข้ามาเห็นสภาพของพี่ชายแล้วก็กลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่ คุณยายก็เหมือนกัน ต่างร้องไห้กับสภาพของพี่ใหญ่ ใบหน้าฟกช้ำ หัวแตก แขนขาหัก นอนหลับไม่รู้สึกตัว พร้อมมีอุปกรณ์ช่วยชีวิตเต็มไปหมด
               
               ฉันบีบมือของพี่ชายเบา ๆ และบอกให้หายเร็ว ๆ นึกโกรธตัวเองที่งอนพี่ชาย ถ้าฉันรู้ว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น ฉันจะไม่โกรธพี่ใหญ่เลย อยู่ในนี้นานพอสมควรแล้วฉันกับคุณยายจึงกลับออกมา แล้วให้คุณลุงกับกัญญาเข้าไป ส่วนครอบครัวของคุณย่ากับคุณอาภูริจะเข้าไปทีหลังพวกฉัน

              "ไม่ต้องคิดมากนะละมุน ยังไงลูกของเราก็ต้องปลอดภัย" คุณพ่อขยับเข้ามายืนใกล้ ๆ คุณแม่ พูดปลอบใจคุณแม่ คุณแม่พยักหน้าให้ แต่ก็ยังไม่พูดอะไร
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่