JJNY : “ชญาภา”ถาม“ประยุทธ์”ลงพื้นที่ถี่│“พิชัย”หนุนเร่งเจรจา│เพื่อไทยหวั่นได้ไม่คุ้มเสีย│ทส.ตั้งกก.สอบวินัยร้ายแรงอธิบดี

ชญาภา” ถาม “ประยุทธ์” ลงพื้นที่ถี่ ฝืนกฎเหล็ก กกต.หรือไม่ หวั่นใช้ทรัพยากรของรัฐเอาเปรียบทางการเมือง
https://www.matichon.co.th/politics/news_3756929

 
“ชญาภา” ถาม “ประยุทธ์” ลงพื้นที่ถี่ ฝืนกฎเหล็ก กกต.หรือไม่ หวั่นใช้ทรัพยากรของรัฐเอาเปรียบทางการเมือง แนะ ควรมีมารยาททางการเมือง
 
เมื่อวันที่ 5 มกราคม น.ส.ชญาภา สินธุไพร รองโฆษกพรรคเพื่อไทย (พท.) และผู้ซึ่งประสงค์สมัครรับเลือกตั้ง ส.ส.ร้อยเอ็ด พรรค พท. กล่าวถึงกรณีที่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เตรียมเดินทางลงพื้นที่ร่วมกับรัฐมนตรีหลายกระทรวง ที่จ.สิงห์บุรี และคาดว่าคงจะลงพื้นที่ถี่ก่อนยุบสภา โดยกฎเหล็กของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) มีรายละเอียดชัดเจนว่า ห้ามผู้สมัครรับเลือกตั้งและพรรคการเมืองมอบสิ่งของช่วยเหลือประชาชนในสถานการณ์ต่างๆ ได้ ว่า กฎหมายเลือกตั้งที่มีขึ้นในยุค คสช. สร้างความไม่เท่าเทียมทางการเมืองหรือไม่ การที่พล.อ.ประยุทธ์ สามารถใช้ทรัพยากรของรัฐทั้งรถยนต์ของรัฐ เครื่องบินของรัฐ ไปพบปะผู้ว่าราชการจังหวัด ใช้งบประมาณหรือกระทำการอื่นใด ที่อาจจะเป็นการสร้างความได้เปรียบทางการเมือง ซึ่งดูเหมือนว่าพล.อ.ประยุทธ์จะไม่สำนึก และยังคงเดินหน้าทำต่อไป ยืนยันได้จากการแต่งตั้งหัวหน้าพรรคที่พล.อ.ประยุทธ์จะไปสังกัดเป็นเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ซึ่งคนเขาเคลือบแคลงสงสัยว่าขัดมารยาททางการเมือง
 
น.ส.ชญาภา กล่าวต่อว่า นอกจากนั้น การที่พล.อ.ประยุทธ์ เป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) แต่ยังไม่ทำตามนโยบายที่ได้หาเสียงไว้หลายเรื่อง เช่น ค่าจ้างขั้นต่ำ 425 บาทต่อวัน เงินเดือนปริญญาตรี 20,000 บาทต่อเดือน แต่เตรียมเปิดตัวจะเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทชสช.) ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องผิดมารยาททางการเมืองเป็นอย่างมาก กรรมเป็นเครื่องชี้เจตนาที่จะแสดงให้เห็นว่า ในจิตใจของผู้นำประเทศ มีความสำนึกหรือละอายทางการเมืองหรือไม่
 
น.ส.ชญาภา กล่าวต่อว่า ทั้งนี้ ในระหว่างที่มีกฎเหล็ก กกต. 180 วันอยู่ พล.อ.ประยุทธ์ควรมีมารยาททางการเมือง ไม่ควรริเริ่มโครงการขนาดใหญ่ในตอนนี้ ที่จะสร้างภาระงบประมาณให้รัฐบาลหน้า, ไม่โยกย้ายข้าราชการ เพื่อจัดวางคนสร้างความได้เปรียบทางการเมือง และควรระมัดระวังในการใช้จ่ายงบกลางในช่วงใกล้สิ้นสุดรัฐบาล

น.ส.ชญาภา กล่าวด้วยว่า หากประเมินความพร้อมของพรรคตั้งใหม่ ไม่ได้มีบิ๊กเนม (Big name) มีแต่โอลด์เนม (Old name) เข้าไปสมทบต้องใช้เวลาอีกนานกว่าที่ประชาชนจะยอมรับ เพราะจากผลการสำรวจครั้งแล้วครั้งเล่า อย่างนิด้าโพลครั้งล่าสุดเมื่อเดือนธันวาคม 2565 พบว่า บุคคลที่ประชาชนจะสนับสนุนให้เป็นนายกรัฐมนตรีในวันนี้ อันดับ 1 ร้อยละ 34 คือ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ส่วนพล.อ.ประยุทธ์ ได้เพียงร้อยละ 14.05 คะแนนนิยมดังกล่าวเป็นเหตุผลที่พล.อ.ประยุทธ์เร่งลงพื้นที่หรือไม่ อยู่มา 8 ปี ไม่ค่อยลงพื้นที่ถี่เหมือนตอนนี้ และผลงานไม่โดดเด่นจึงได้คะแนนความนิยมน้อยขนาดนี้
 
เหลือเวลาอีก 2 เดือนกว่า ที่จะหมดอายุสภา และพล.อ.ประยุทธ์คงลากยาวให้นานที่สุด แต่ก็คงยากที่จะสร้างคะแนนเพิ่มขึ้นมาได้ตามกฎโน้มถ่วงทางการเมือง และจากการลงพื้นที่รับฟังปัญหา พูดคุยกับพี่น้องประชาชน ซึ่งชีวิตลำบากมากจากปัญหาเศรษฐกิจ พวกเขาต่างเชื่อมั่นว่าพรรคเพื่อไทยจะเป็นพรรคการเมืองที่เข้ามาแก้ปัญหาความทุกข์ยาก คืนชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีให้กับพวกเขาได้” น.ส.ชญาภา กล่าว
 


  
“พิชัย” หนุน เร่งเจรจาให้จบแหล่งพลังงานพื้นที่ทับซ้อนไทย-กัมพูชา ชี้ เป็นประโยชน์ของทั้งสองประเทศ
https://www.matichon.co.th/politics/news_3756898
 
“พิชัย” หนุน เร่งเจรจาให้จบแหล่งพลังงานพื้นที่ทับซ้อนไทย-กัมพูชา ชี้ เป็นประโยชน์ของทั้งสองประเทศ
 
เมื่อวันที่ 5 มกราคม นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รองประธานยุทธศาสตร์พรรคเพื่อไทย (พท.) ด้านเศรษฐกิจ กล่าวว่า ตามกระแสข่าวที่รัฐบาลโดยพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้ปิดห้องประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ลับ พร้อมมีข่าวว่าเป็นเรื่องของการเจรจาแหล่งพลังงานในพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลระหว่างไทย-กัมพูชา จึงอยากขอสนับสนุนให้มีการเร่งเจรจาให้จบโดยเร็ว ซึ่งหากจำกันได้ตนได้เสนอเรื่องนี้มาตลอดหลายปีแล้ว โดยมีเหตุผล 8 ข้อที่ไทยควรต้องทำเรื่องนี้ คือ 1.เป็นแหล่งพลังงานที่มีปริมาณมาก และจะเจรจาเฉพาะเรื่องแหล่งพลังงานโดยจะไม่พูดถึงเขตแดน 2.ก๊าซในอ่าวไทยและก๊าซจากประเทศเมียนมาร์ มีปริมาณที่ลดลง ทำให้ต้องนำเข้าก๊าซ LNG ที่มีราคาสูง 3.ก๊าซจากพี้นที่ทับซ้อนจะทำให้ราคาไฟฟ้าที่แพงมหาโหดในปัจจุบันถูกลงได้ 4.ในอนาคตน้ำมันและก๊าซอาจไม่มีค่าแล้วก็ได้เพราะโลกอาจจะไม่ใช้พลังงานจากเชื่อเพลิงฟอสซิลแล้ว
 
นายพิชัย กล่าวต่อว่า 5.ก๊าซในพื้นที่ทับซ้อนนี้สามารถนำมาแยกก๊าซเพื่อใช้เป็นวัตถุดิบในธุรกิจปิโตรเคมีที่มีมูลค่ามหาศาลได้ 6.รัฐยังได้รายได้มหาศาลจากค่าภาคหลวงในการขุดก๊าซ 7.รายได้น่าจะมากกว่าในอดีตเพราะเป็นพื้นที่ที่พิสูจน์แล้วว่ามีก๊าซ รายได้เหล่านี้รวมถึงภาษีจากธุรกิจต่อเนื่อง จะสามารถนำมาเป็นสวัสดิการของกลุ่มเปราะบางและผู้สูงอายุ และ 8.หลังจากเจรจาจบแล้วยังต้องใช้เวลา 2-7 ปีกว่าจะสามารถขุดก๊าซขึ้นมาใช้ได้
 
นายพิชัย กล่าวด้วยว่า ดังนั้น จึงอยากขอสนับสนุนให้รัฐบาลได้เร่งเจรจาแหล่งพลังงานในพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลระหว่างไทย-กัมพูชานี้ให้จบโดยเร็ว เพราะจะเป็นประโยชน์อย่างมากกับทั้งสองประเทศในภาวะที่ราคาพลังงานได้พุ่งขึ้นสูงนี้ โดยเฉพาะประเทศไทยจะได้ประโยชน์มากกว่าเพราะมีประชากรมากกว่า และมีโรงแยกก๊าซ 6 โรงพร้อมธุรกิจปิโตรเคมีมูลค่าเป็นล้านล้านบาทรองรับพร้อมแล้ว โดยจะทำรายได้ให้กับประเทศและมีเงินหมุนเวียน และมีการจ้างงานในธุรกิจต่อเนื่องอีกมาก จะทำให้เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว ตนได้เสนอและแนะนำเรื่องนี้มาเป็นหลายปีแล้ว เพราะเห็นว่าประเทศไทยจะได้ประโยชน์อย่างแท้จริง

นายพิชัย กล่าวอีกว่า ที่สำคัญจะช่วยทำใหราคาไฟฟ้าที่กำลังมีราคาพุ่งสูงและจะสูงอีกนี้มีราคาลดลงได้ เพราะไฟฟ้าที่ผลิตจากก๊าซในอ่าวไทยและก๊าซจากประเทศเมียนมาร์จะมีราคาเพียงหน่วยละ 2-3 บาทเท่านั้น ในขณะที่ค่าไฟฟ้าใหม่จะพุ่งถึงหน่วยละ 5.33 บาท ซึ่งแพงมาก ค่าไฟฟ้าที่ลดลง และราคาก๊าซหุงต้มก็จะลดลงด้วย ซึ่งจะทำให้ต้นทุนสินค้าลดลง เงินเฟ้อลดลง และยังเป็นการเพิ่มความสามารถทางการแข่งขันของไทยได้ ซึ่งจะทำให้ประเทศไทยน่าลงทุนมากขึ้น
 
รัฐบาลที่ดีจะต้องกล้าตัดสินใจ อะไรที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศและประชาชนจะต้องเร่งทำ เพื่อให้เกิดประโยชน์โดยเร็ว เรื่องการเจรจาแหล่งพลังงานในพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลระหว่างไทย-กัมพูชานี้ คณะทำงานเศรษฐกิจของพรรคเพื่อไทยขอสนับสนุนอย่างเต็มที่ และเห็นว่าใครเจรจาสำเร็จได้ก็เหมือนกัน ขอให้ประเทศและประชาชนได้ประโยชน์ และเศรษฐกิจไทยจะได้ฟื้นตัวกลับมาได้โดยเร็ว” นายพิชัย กล่าว
 

 
เพื่อไทย หวั่นได้ไม่คุ้มเสีย หากเปิดประเทศไร้ ‘มาตรการรองรับ’ จี้รบ.แจงให้ชัด
https://www.matichon.co.th/politics/news_3756910

‘จักรพล’ หวั่น ได้ไม่คุ้มเสียหากเปิดประเทศไร้มาตรการรองรับ ลั่น พร้อมต้อนรับนทท.จีนบนมาตรการด้านความปลอดภัยที่ชัดเจนจากรบ.
 
เมื่อวันที่ 5 มกราคม นายจักรพล ตั้งสุทธิธรรม ส.ส.เชียงใหม่ รองเลขาธิการพรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวว่า ในฐานะที่ได้รับมอบหมายให้ดูแลด้านการท่องเที่ยวของพรรค พท. ที่ผ่านมามีการเรียกร้อง ให้มีการขยายเพดานนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก ไม่เฉพาะจีนให้เดินทางมาท่องเที่ยวในประเทศไทย ซึ่งจีนก็เป็นหนี่งในเป้าหมายของประเทศไทย ทั้งนี้ก่อนไวรัสโควิดระบาด รายได้ที่มาจากนักท่องเที่ยวชาวจีนสร้างมูลค่ามหาศาลให้กับการท่องเที่ยวไทย
 
นายจักรพล กล่าวด้วยว่า ภายหลังการระบาดของไวรัสโควิดตั้งแต่ปี 2562 เป็นต้นมา นักท่องเที่ยวจีนหายไป เราก็มีความคิดถึงนักท่องเที่ยวชาวจีนมาก และต้องขอบคุณที่นักท่องเที่ยวชาวจีนมาเที่ยวในประเทศไทยส่งผลให้เศรษฐกิจด้านการท่องเที่ยวดีขึ้น ดังนั้นการที่จีนจะเปิดประเทศในต้นปี 2566 ประเทศไทยมีความยินดี ที่จะต้อนรับนักท่องเที่ยวกลุ่มนี้ทั้งจากประเทศจีนและนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกที่จะเดินทางมาเที่ยวในประเทศไทย
ในส่วนของการต้อนรับนักท่องเที่ยว การบริหารการท่องเที่ยว ต้องตั้งอยู่บนพื้นฐานการยกระดับความปลอดภัย เพราะ 3 ปี ที่ผ่านมาผู้ประกอบการท่องเที่ยวได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง ดังนั้นในการเปิดประเทศรอบใหม่อยากจะเห็นว่ารัฐบาลมีการถอดบทเรียนที่ผ่านมาหรือไม่อย่างไร เพราะเชื่อว่าไม่มีผู้ประกอบการคนไหนอยากให้เหตุการณ์ ที่ผ่านมาย้อนกลับมาหลอกหลอนอีกครั้ง

“ประเทศไทยยินดีต้อนรับนักท่องเที่ยวชาวจีนกว่า 5 ล้านคนที่คาดว่าจะเดินทางมาเที่ยวในประเทศไทย แต่กังวลว่า ถึงเวลานี้รัฐบาลยังไม่มีแผนงานที่ชัดเจน ในการรับมือนักท่องเที่ยวท่ามกลางการระบาดของไวรัสโควิดที่ยังไม่หมดลง หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงการท่องเที่ยว และกระทรวงคมนาคม ควรหารือกันเพื่อบูรณาการทำงานร่วมกัน
 
หากเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด รัฐบาลมีการเตรียมความพร้อมอย่างไรหากไม่สามารถคุมการระบาดรอบใหม่ได้ รัฐบาลจะมีมาตรการอะไร ออกมาเยียวยาผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมท่องเที่ยว ซึ่งสิ่งเหล่านี้ยังไม่มีความชัดเจนจากรัฐบาล ทั้งนี้ผู้ประกอบการไม่มั่นในใจ มาตรการรับมือของรัฐบาลมากกว่า เพราะหากเปิดประเทศโดยไร้มาตรการรองรับจะส่งผลร้ายมากกว่าผลดี” นายจักรพล กล่าว
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่