นายเสนาะ ได้เขียนในหัวข้อ "จะเอาทักษิณ หรือประเทศไทย"จากหนังสือรู้ทันทักษิณ 4
ผู้สัมภาษณ์คือ อ.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง
ช่วงนั้น ที่เสนาะมีปัญหากับทักษิณเรื่องติดกฎหมาย 90 วันย้ายพรรคไม่ได้ แล้วบ่นว่า เหมือนอยู่ในคุก
อ.เจิมศักดิ์เข้าไปสัมภาษณ์ มีเสียงสัมภาษณ์ของจริงเก็บไว้เป็นหลักฐานจนทุกวันนี้
มีเนื้อหาสาระที่สำคัญว่า รู้จัก.ทักษิณ ตั้งแต่ปี 2529 แบบผิวเผินตั้งแต่เป็นนายตำรวจติดตามรัฐมนตรี
ทักษิณพยายามสร้างความสัมพันธ์กับหัวหน้าพรรคคือทำธุรกิจ
กับการเมือง วิ่งเต้นเข้าทางผู้ใหญ่สูงสุดของพรรค
> ต่อมาตนย้ายไปเป็นเลขาธิการพรรคความหวังใหม่
> .ทักษิณได้สนับสนุนปัจจัยการเมืองผ่านไปทาง พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ หัวหน้าพรรคความหวังใหม่ในขณะนั้น
>.ทักษิณจึงได้เข้ามาเป็นรองนายกรัฐมนตรี
> เมื่อก่อนเกิดวิกฤตค่าเงินบาท นายอำนวย วีรวรรณ รมว.คลังในขณะนั้นลาออก
> มีการคิดกันว่าจะให้ตำแหน่งนี้กับ.ทักษิณด้วยซ้ำ
> ตนได้ไปทาบทามคนที่น่าเชื่อถือในสังคม โดย นายโฆสิต ปั้นเปี่ยมรัษฎ์
> รับปากว่าจะเข้ามาช่วยเป็นรมว.คลัง ปรากฏว่าพ.ต.ท.ทักษิณไปนำนายทนง พิทยะ
> ผู้บริหารธนาคารทหารไทยมารับตำแหน่งนี้แทน โดยที่ตนไม่รู้เรื่อง
> .ทักษิณ ไปซุบซิบกับพล.อ.ชวลิต และนายโภคิน พลกุล อดีต
> รมต.สำนักนายกฯ แล้วจึงมีคำสั่งแต่งตั้งนายทนง
> "ก่อนเงินบาทลอยตัว ผมไม่รู้เรื่องด้วย เพราะอยู่นอกวงของพวกเขา
> คนที่เกี่ยวข้องกับการลดค่าเงินบาทในขณะนั้นมี 4 คือ พล.อ.ชวลิต
> ทักษิณ นายทนง และนายโภคิน
> ส่วนจะรู้เห็นกันขนาดไหนผมไม่รู้เขาบอกว่าเขาไม่รู้อันนี้ไม่มีใบเสร็จ
> แต่ถ้าถามผมว่าผลที่เกิดหลังค่าเงินบาทลอยตัวออกมาอย่างไร
> มันส่อชัดว่าทักษิณและบริษัทรอดวิกฤตคนเดียวคือผลลัพธ์มันสะท้อนชัดอยู่แล้ว
> การที่มีคนไปซื้อประกันความเสี่ยงเรื่องค่าเงินบาทเอาไว้มาก ๆ
> หรือไปซื้อดอลลาร์เอาไว้มากๆ ก่อนประกาศลอยค่าเงินบาท
> ก็เหมือนจุดไฟเผาบ้านตัวเองเพื่อเอาเงินประกัน เศรษฐกิจของชาติพังเสียหาย
> แต่ตัวเองรอดพ้นวิกฤตเพราะได้ประกัน" นายเสนาะกล่าว
นายเสนาะ กล่าวว่า หากต้องการจะรู้ทันทักษิณ
> ต้องเข้าใจเสียก่อนว่า .ทักษิณเป็นคนอย่างไร
> เพราะลักษณะเฉพาะและตัวตนของ ทักษิณ
> เป็นตัวกำหนดพฤติกรรมการใช้อำนาจและบริหารราชการแผ่นดินของ
ทักษิณทั้งหมดนั้นประกอบขึ้นมาเป็นระบอบทักษิณ
> ซึ่งมีทั้งระบบการใช้อำนาจและการแสวงหาผลประโยชน์อยู่ร่วมกัน พ.ต.ท.
ทักษิณเป็นคนมีวุฒิการศึกษา แต่ขาดวุฒิภาวะการเป็นผู้นำ
> ไม่มีสภาวะผู้นำโดยเฉพาะในระดับประเทศ
> เป็นคนไม่มีประสบการณ์ในการบริหาราชการ แม้เคยรับราชการตำรวจ
> ก็อยู่ไม่นาน และใช้เวลาว่างไปกับการประกอบธุรกิจ
> .ทักษิณเป็นนักเสี่ยงโชค ขาดความรอบคอบ เคยประสบปัญหาทางธุรกิจ
> แลกเช็คและถูกฟ้องเช็คเด้ง นิยมบริหารธุรกิจแบบคิดไวทำไว
> โดยใช้การตลาดเป็นเครื่องมือ
> "การจดทะเบียนคนจนนั้น ผมเคยแนะนำว่ามันทำไม่ได้ ไปประกาศเฉยๆ
> ไม่ได้ เอามาขึ้นทะเบียนเฉยๆ
> คนที่เป็นหนี้สินอยู่ที่ไม่ใช่คนจนก็ไปจดทะเบียนด้วย มันจะบานปลายไปใหญ่
> พี่ไม่เห็นด้วย มองด้วยจิตสำนึกมันปฏิบัติไม่ได้
> มันได้แค่โชว์ตัวเลขตอนเลือกตั้งจากนั้นไม่มีผลจริง แต่ทักษิณตอบว่า
> โธ่...พี่เหนาะ คนตาบอดมันกลัวเสือเหรอ
> ถ้าเราไม่พูดแบบนี้เราจะได้เสียงเหรอ
> เขาพูดอย่างนี้แสดงว่าไม่ได้จริงใจกับนโยบาย
> ประกาศไปก่อนค่อยหาวิธีการทำการตลาดทีหลัง
> ไปเสี่ยงเอาข้างหน้าขอให้ได้คะแนนเสียงไว้ก่อน ไม่สนวิธีปฏิบัติราชการ
> แม้แต่โครงการ เอสเอ็มแอล ผมก็เตือนว่าเข้าข่ายซื้อเสียง
> เพราะอยู่ในภาวะเลือกตั้ง ทักษิณตอบว่าโธ่...อำนาจอยู่ที่เรา
> กกต.ก็ของเรา คนก็บอกเรา ล่าสุดก่อนการเลือกตั้ง 2 เมษายน 2549
> มีการกระทำผิดกฎหมาย คือขนคนมาฟังการปราศรัยโดยจ้างมา มันผิดกฎหมายแน่นอน
> แต่ กกต.กลับเฉย"นายเสนาะกล่าว
> นายเสนาะ กล่าวว่า.ทักษิณเคยบอกรัฐมนตรีในรัฐบาลว่าไม่ต้องคิดอะไรมาก ขอให้ทำตามก็พอ
> หากรัฐมนตรีของ.ทักษิณเป็นคนที่คิดมาก รอบคอบ
> คอยตักเตือนจะอยู่ไม่ได้เลย คนที่อยู่ได้จะต้องตอบ "เยส" อย่างเดียว เช่น
> นายพินิจ เคยพูดว่า "ท่านนายกฯ ผมไม่เคยเห็นใครคิดได้ดีเท่านี้เลย" หรือ
> นายเนวิน ก็มักพูดว่า "ดีนายๆ"
> ด้วยเหตุนี้รัฐมนตรีบางคนในช่วงเทศกาลเลือกตั้ง
> มักมีบัตรเลือกตั้งที่พิมพ์เกินอยู่เต็มรถ จึงได้รับการฟูมฟักอย่างดี
> เหนียวแน่น ถูกเรียกใช้งานบ่อยๆ ในช่วงหลัง
>> นายเสนาะ กล่าวว่า
ยิ่งกว่านั้นยังมีการใช้ระบบธุรกิจครอบครัวมาจัดการผลประโยชน์ในรัฐบาลแบบเบ็ดเสร็จ
> ตั้งแต่ขนคนที่เคยทำงานกับตัวเองในบริษัทแบบยกชุด วางคนของตัวเอง
> ไปในทุกกระทรวง โดยไม่จำเป็นต้องมีตำแหน่งที่มีอำนาจอย่างเป็นทางการ
> แต่ทุกคนในกระทรวงจะรู้ดีว่า คนๆนี้คือคนของเขา
> จะทำอะไรก็ต้องผ่านคนคนนี้ เรียกว่ามีสองสามคนไปดูแลผลประโยชน์ทุกกระทรวง
> เป็นเสมือนหลงจู๊ แล้วยังส่งคนไปยึดตำแหน่งใน กมธ.ชุดต่างๆ ของสภาผู้แทนฯ
> ใน ครม.ก็ไม่ต่างกัน ทุกโครงการที่จะมีการอนุมัติ
> ถ้ารัฐมนตรีคนไหนเสนอเรื่องของใช้งบกลางที่จัดสรรไว้มหาศาล
> ก็ต้องไปเคลียร์กับคนของเขาให้เรียบร้อยก่อน
> รัฐมนตรีหลายคนจะมีคนของเขาเข้ามาบอกว่าเดี๋ยวทำงบฯ จะเอากี่พันล้าน
> แต่ต้องเอาเข้าพรรค 10 เปอร์เซ็นต์ หมายความว่าจะไปทำอะไรขึ้นมาก็ได้
> ไปเขียนโครงการมา
นายเสนาะ กล่าวว่า ถ้ารัฐมนตรีคนไหนทำไม่ได้ก็อยู่ไม่ได้
> เวลาทำโครงการก็ต้องจ้างที่ปรึกษาที่เป็นคนของตัวเอง
> แล้วใช้วิธีที่เก่งที่สุด คือ ยกเว้นระเบียบพิเศษ
> ยิ่งใช้วิธีขีดเส้นตายว่าต้องเสร็จวันนั้นวันนี้
> เหมือนกรณีสนามบินสุวรรณภูมิ เพื่อจะได้ใช้วิธีจัดซื้อจัดจ้างแบบพิเศษ
> นโยบาย 10 เปอร์เซ็นต์ รัฐมนตรีต้องทำโครงการ
> โดยตบแต่งงบประมาณขึ้นมาก่อนว่ามูลค่าของโครงการจะครอบคลุม 10
> เปอร์เซ็นต์ที่ต้องหักเข้าพรรค จากนั้นไปตกลงกับคนของเขาผ่านคุณหญิง
> เมื่อเรียบร้อยเมื่อใดก็ส่งมาให้ตัวตายตัวแทนทางการเมืองที่เขาไว้ใจ
> พอเข้า ครม. นายกฯ จะเสนอโครงการและอนุมัติให้เองเสร็จสรรพ
> รัฐมนตรีไม่ต้องคิดไม่ต้องสงสัย ทุกวันนี้ยังไม่มีใครรู้ใครเข้าใจว่า 10
> เปอร์เซ็นต์มีอยู่เท่าไร คงต้องไปถามคุณหญิง
นายเสนาะ กล่าวว่า สิ่งที่สุดทนจริงๆ คือ กรณีผู้ว่าฯ สตง.
> ที่ถูกแทรกแซงการทำงาน แทรกแซงองค์กรอิสระ และละเมิดพระราชอำนาจ
> มันเป็นฟางเส้นสุดท้ายที่สำคัญ ที่ทำให้ตนลุกขึ้นอภิปรายเมื่อ 8
> มิ.ย.2548 การประกาศตัดขาดแตกหักกลางสภาฯ พูดได้ว่า
> ถ้ามันเอาชีวิตได้มันเอาไปแล้ว มันแค้น แต่ก็ไม่กล้า ตอนหลังคนของ
> .ทักษิณก็ติดต่อมาหลายครั้ง ตนพูดตรงๆ ไปว่า
> เรื่องมันมาถึงขนาดนี้แล้ว เมื่อไม่ยอมลดละเอง> จนเราต้องแตกหักไปสู่สาธารณชนแล้ว
> สิ่งสำคัญนายกฯก็ต้องแก้ข้อกล่าวหาทั้งหมดให้ได้ และตนยังพูดอีกว่า
> ถ้าบอกจะกินข้าวกันตอนนี้ มันยังไงล่ะ
> ให้พี่เป็นผู้เป็นคนดีกว่าอย่าให้พี่เป็นหมาเลย
นายเสนาะ กล่าวว่า ก่อนที่จะเกิดปัญหาทั้งหมดตนก็พยายามไปเตือน
> แต่เรื่องที่เตือนก็เป็นการขัดผลประโยชน์เขาทุกเรื่อง
> เช่นคิดว่ารัฐมนตรีคอรัปชั่น ตนก็ไปเตือนเพราะคิดว่าไม่รู้
> ที่ไหนได้มันสั่งเอง ขนาดกลายเป็นว่ารัฐมนตรีคนไหนไม่ทำตามสั่ง
> ภายหลังก็อยู่ไม่ได้
> ความขัดแย้งในปัจจุบันมาสาเหตุมาจากตัวปัญหาคนเดียวคือ .ทักษิณ
> คนคนนี้โกงเพื่อเข้ามาสู่อำนาจ เมื่อมีอำนาจก็โกงอีก
> อันตรายต่อบ้านเมืองสุดๆ ทักษิณน่ากลัวเพราะเป็นคนมีวุฒิการศึกษา
> จ้องวางแผนเอาเปรียบคนอื่น ถือว่าต่ำต้อยเหลือเกินในการเป็นผู้นำประเทศ"ผมจำคำพูดของทักษิณที่เคยบอกว่า พี่เหนาะผมพร้อมแล้ว
> สมบัติส่วนหนึ่งผมให้ลูก อีกส่วนเก็บไว้สำหรับตายาย กินจนตายก็ไม่หมด
> สมบัติอีกส่วนจะทำเพื่อบ้านเมือง จะใช้หนี้แผ่นดิน" คำพูดนั้นๆ
ผมเคยหลงคิดว่าคนคนหนึ่ง รวยแล้วกลับใจ คิดใช้หนี้แผ่นดิน
> ตอนนี้ผมรู้ความจริงแล้วว่า รวยจากโกงชาติ
> กล้าทำแม้เผาบ้านเมืองเพื่อเอาประกัน คนรวยคนนี้รวยแล้วไม่รู้จักพอ
> ไม่ใช่หนี้แผ่นดินยังไม่พอ มันยังโกงกิน ทรยศต่อแผ่นดิน" นายเสนาะกล่าวและว่า ตนเคยพูดและเตือนกับคุณหญิงอ้อว่า
"น้อง ถ้ามันได้มาอีกแสนล้าน เอาไปทำไม"
เขาพากันตอบว่า
"ก็รู้ แต่ในเมื่อเล่นการเมืองมันต้องควักเงิน ก็ต้องถือว่าเป็นธุรกิจ
" เคยเตือนหนักๆ ถึงขั้นว่า "ในอนาคต ถ้ามันจะเดือดร้อนหนักๆ คือคนเป็นหัวนะ"
เขาก็ตอบอย่างไม่สะทกสะท้านว่า
"ก็รู้ ถ้าพี่ทักษิณจะลง ต้องให้พรรคไทยรักไทยมีอำนาจอย่างน้อยสองสมัยถึงจะปลอดภัย"
ใช้การเมืองทำธุรกิจเอื้อครอบครัว
ผู้สัมภาษณ์คือ อ.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง
ช่วงนั้น ที่เสนาะมีปัญหากับทักษิณเรื่องติดกฎหมาย 90 วันย้ายพรรคไม่ได้ แล้วบ่นว่า เหมือนอยู่ในคุก
อ.เจิมศักดิ์เข้าไปสัมภาษณ์ มีเสียงสัมภาษณ์ของจริงเก็บไว้เป็นหลักฐานจนทุกวันนี้
มีเนื้อหาสาระที่สำคัญว่า รู้จัก.ทักษิณ ตั้งแต่ปี 2529 แบบผิวเผินตั้งแต่เป็นนายตำรวจติดตามรัฐมนตรี
ทักษิณพยายามสร้างความสัมพันธ์กับหัวหน้าพรรคคือทำธุรกิจ
กับการเมือง วิ่งเต้นเข้าทางผู้ใหญ่สูงสุดของพรรค
> ต่อมาตนย้ายไปเป็นเลขาธิการพรรคความหวังใหม่
> .ทักษิณได้สนับสนุนปัจจัยการเมืองผ่านไปทาง พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ หัวหน้าพรรคความหวังใหม่ในขณะนั้น
>.ทักษิณจึงได้เข้ามาเป็นรองนายกรัฐมนตรี
> เมื่อก่อนเกิดวิกฤตค่าเงินบาท นายอำนวย วีรวรรณ รมว.คลังในขณะนั้นลาออก
> มีการคิดกันว่าจะให้ตำแหน่งนี้กับ.ทักษิณด้วยซ้ำ
> ตนได้ไปทาบทามคนที่น่าเชื่อถือในสังคม โดย นายโฆสิต ปั้นเปี่ยมรัษฎ์
> รับปากว่าจะเข้ามาช่วยเป็นรมว.คลัง ปรากฏว่าพ.ต.ท.ทักษิณไปนำนายทนง พิทยะ
> ผู้บริหารธนาคารทหารไทยมารับตำแหน่งนี้แทน โดยที่ตนไม่รู้เรื่อง
> .ทักษิณ ไปซุบซิบกับพล.อ.ชวลิต และนายโภคิน พลกุล อดีต
> รมต.สำนักนายกฯ แล้วจึงมีคำสั่งแต่งตั้งนายทนง
> "ก่อนเงินบาทลอยตัว ผมไม่รู้เรื่องด้วย เพราะอยู่นอกวงของพวกเขา
> คนที่เกี่ยวข้องกับการลดค่าเงินบาทในขณะนั้นมี 4 คือ พล.อ.ชวลิต
> ทักษิณ นายทนง และนายโภคิน
> ส่วนจะรู้เห็นกันขนาดไหนผมไม่รู้เขาบอกว่าเขาไม่รู้อันนี้ไม่มีใบเสร็จ
> แต่ถ้าถามผมว่าผลที่เกิดหลังค่าเงินบาทลอยตัวออกมาอย่างไร
> มันส่อชัดว่าทักษิณและบริษัทรอดวิกฤตคนเดียวคือผลลัพธ์มันสะท้อนชัดอยู่แล้ว
> การที่มีคนไปซื้อประกันความเสี่ยงเรื่องค่าเงินบาทเอาไว้มาก ๆ
> หรือไปซื้อดอลลาร์เอาไว้มากๆ ก่อนประกาศลอยค่าเงินบาท
> ก็เหมือนจุดไฟเผาบ้านตัวเองเพื่อเอาเงินประกัน เศรษฐกิจของชาติพังเสียหาย
> แต่ตัวเองรอดพ้นวิกฤตเพราะได้ประกัน" นายเสนาะกล่าว
นายเสนาะ กล่าวว่า หากต้องการจะรู้ทันทักษิณ
> ต้องเข้าใจเสียก่อนว่า .ทักษิณเป็นคนอย่างไร
> เพราะลักษณะเฉพาะและตัวตนของ ทักษิณ
> เป็นตัวกำหนดพฤติกรรมการใช้อำนาจและบริหารราชการแผ่นดินของ
ทักษิณทั้งหมดนั้นประกอบขึ้นมาเป็นระบอบทักษิณ
> ซึ่งมีทั้งระบบการใช้อำนาจและการแสวงหาผลประโยชน์อยู่ร่วมกัน พ.ต.ท.
ทักษิณเป็นคนมีวุฒิการศึกษา แต่ขาดวุฒิภาวะการเป็นผู้นำ
> ไม่มีสภาวะผู้นำโดยเฉพาะในระดับประเทศ
> เป็นคนไม่มีประสบการณ์ในการบริหาราชการ แม้เคยรับราชการตำรวจ
> ก็อยู่ไม่นาน และใช้เวลาว่างไปกับการประกอบธุรกิจ
> .ทักษิณเป็นนักเสี่ยงโชค ขาดความรอบคอบ เคยประสบปัญหาทางธุรกิจ
> แลกเช็คและถูกฟ้องเช็คเด้ง นิยมบริหารธุรกิจแบบคิดไวทำไว
> โดยใช้การตลาดเป็นเครื่องมือ
> "การจดทะเบียนคนจนนั้น ผมเคยแนะนำว่ามันทำไม่ได้ ไปประกาศเฉยๆ
> ไม่ได้ เอามาขึ้นทะเบียนเฉยๆ
> คนที่เป็นหนี้สินอยู่ที่ไม่ใช่คนจนก็ไปจดทะเบียนด้วย มันจะบานปลายไปใหญ่
> พี่ไม่เห็นด้วย มองด้วยจิตสำนึกมันปฏิบัติไม่ได้
> มันได้แค่โชว์ตัวเลขตอนเลือกตั้งจากนั้นไม่มีผลจริง แต่ทักษิณตอบว่า
> โธ่...พี่เหนาะ คนตาบอดมันกลัวเสือเหรอ
> ถ้าเราไม่พูดแบบนี้เราจะได้เสียงเหรอ
> เขาพูดอย่างนี้แสดงว่าไม่ได้จริงใจกับนโยบาย
> ประกาศไปก่อนค่อยหาวิธีการทำการตลาดทีหลัง
> ไปเสี่ยงเอาข้างหน้าขอให้ได้คะแนนเสียงไว้ก่อน ไม่สนวิธีปฏิบัติราชการ
> แม้แต่โครงการ เอสเอ็มแอล ผมก็เตือนว่าเข้าข่ายซื้อเสียง
> เพราะอยู่ในภาวะเลือกตั้ง ทักษิณตอบว่าโธ่...อำนาจอยู่ที่เรา
> กกต.ก็ของเรา คนก็บอกเรา ล่าสุดก่อนการเลือกตั้ง 2 เมษายน 2549
> มีการกระทำผิดกฎหมาย คือขนคนมาฟังการปราศรัยโดยจ้างมา มันผิดกฎหมายแน่นอน
> แต่ กกต.กลับเฉย"นายเสนาะกล่าว
> นายเสนาะ กล่าวว่า.ทักษิณเคยบอกรัฐมนตรีในรัฐบาลว่าไม่ต้องคิดอะไรมาก ขอให้ทำตามก็พอ
> หากรัฐมนตรีของ.ทักษิณเป็นคนที่คิดมาก รอบคอบ
> คอยตักเตือนจะอยู่ไม่ได้เลย คนที่อยู่ได้จะต้องตอบ "เยส" อย่างเดียว เช่น
> นายพินิจ เคยพูดว่า "ท่านนายกฯ ผมไม่เคยเห็นใครคิดได้ดีเท่านี้เลย" หรือ
> นายเนวิน ก็มักพูดว่า "ดีนายๆ"
> ด้วยเหตุนี้รัฐมนตรีบางคนในช่วงเทศกาลเลือกตั้ง
> มักมีบัตรเลือกตั้งที่พิมพ์เกินอยู่เต็มรถ จึงได้รับการฟูมฟักอย่างดี
> เหนียวแน่น ถูกเรียกใช้งานบ่อยๆ ในช่วงหลัง
>> นายเสนาะ กล่าวว่า
ยิ่งกว่านั้นยังมีการใช้ระบบธุรกิจครอบครัวมาจัดการผลประโยชน์ในรัฐบาลแบบเบ็ดเสร็จ
> ตั้งแต่ขนคนที่เคยทำงานกับตัวเองในบริษัทแบบยกชุด วางคนของตัวเอง
> ไปในทุกกระทรวง โดยไม่จำเป็นต้องมีตำแหน่งที่มีอำนาจอย่างเป็นทางการ
> แต่ทุกคนในกระทรวงจะรู้ดีว่า คนๆนี้คือคนของเขา
> จะทำอะไรก็ต้องผ่านคนคนนี้ เรียกว่ามีสองสามคนไปดูแลผลประโยชน์ทุกกระทรวง
> เป็นเสมือนหลงจู๊ แล้วยังส่งคนไปยึดตำแหน่งใน กมธ.ชุดต่างๆ ของสภาผู้แทนฯ
> ใน ครม.ก็ไม่ต่างกัน ทุกโครงการที่จะมีการอนุมัติ
> ถ้ารัฐมนตรีคนไหนเสนอเรื่องของใช้งบกลางที่จัดสรรไว้มหาศาล
> ก็ต้องไปเคลียร์กับคนของเขาให้เรียบร้อยก่อน
> รัฐมนตรีหลายคนจะมีคนของเขาเข้ามาบอกว่าเดี๋ยวทำงบฯ จะเอากี่พันล้าน
> แต่ต้องเอาเข้าพรรค 10 เปอร์เซ็นต์ หมายความว่าจะไปทำอะไรขึ้นมาก็ได้
> ไปเขียนโครงการมา
นายเสนาะ กล่าวว่า ถ้ารัฐมนตรีคนไหนทำไม่ได้ก็อยู่ไม่ได้
> เวลาทำโครงการก็ต้องจ้างที่ปรึกษาที่เป็นคนของตัวเอง
> แล้วใช้วิธีที่เก่งที่สุด คือ ยกเว้นระเบียบพิเศษ
> ยิ่งใช้วิธีขีดเส้นตายว่าต้องเสร็จวันนั้นวันนี้
> เหมือนกรณีสนามบินสุวรรณภูมิ เพื่อจะได้ใช้วิธีจัดซื้อจัดจ้างแบบพิเศษ
> นโยบาย 10 เปอร์เซ็นต์ รัฐมนตรีต้องทำโครงการ
> โดยตบแต่งงบประมาณขึ้นมาก่อนว่ามูลค่าของโครงการจะครอบคลุม 10
> เปอร์เซ็นต์ที่ต้องหักเข้าพรรค จากนั้นไปตกลงกับคนของเขาผ่านคุณหญิง
> เมื่อเรียบร้อยเมื่อใดก็ส่งมาให้ตัวตายตัวแทนทางการเมืองที่เขาไว้ใจ
> พอเข้า ครม. นายกฯ จะเสนอโครงการและอนุมัติให้เองเสร็จสรรพ
> รัฐมนตรีไม่ต้องคิดไม่ต้องสงสัย ทุกวันนี้ยังไม่มีใครรู้ใครเข้าใจว่า 10
> เปอร์เซ็นต์มีอยู่เท่าไร คงต้องไปถามคุณหญิง
นายเสนาะ กล่าวว่า สิ่งที่สุดทนจริงๆ คือ กรณีผู้ว่าฯ สตง.
> ที่ถูกแทรกแซงการทำงาน แทรกแซงองค์กรอิสระ และละเมิดพระราชอำนาจ
> มันเป็นฟางเส้นสุดท้ายที่สำคัญ ที่ทำให้ตนลุกขึ้นอภิปรายเมื่อ 8
> มิ.ย.2548 การประกาศตัดขาดแตกหักกลางสภาฯ พูดได้ว่า
> ถ้ามันเอาชีวิตได้มันเอาไปแล้ว มันแค้น แต่ก็ไม่กล้า ตอนหลังคนของ
> .ทักษิณก็ติดต่อมาหลายครั้ง ตนพูดตรงๆ ไปว่า
> เรื่องมันมาถึงขนาดนี้แล้ว เมื่อไม่ยอมลดละเอง> จนเราต้องแตกหักไปสู่สาธารณชนแล้ว
> สิ่งสำคัญนายกฯก็ต้องแก้ข้อกล่าวหาทั้งหมดให้ได้ และตนยังพูดอีกว่า
> ถ้าบอกจะกินข้าวกันตอนนี้ มันยังไงล่ะ
> ให้พี่เป็นผู้เป็นคนดีกว่าอย่าให้พี่เป็นหมาเลย
นายเสนาะ กล่าวว่า ก่อนที่จะเกิดปัญหาทั้งหมดตนก็พยายามไปเตือน
> แต่เรื่องที่เตือนก็เป็นการขัดผลประโยชน์เขาทุกเรื่อง
> เช่นคิดว่ารัฐมนตรีคอรัปชั่น ตนก็ไปเตือนเพราะคิดว่าไม่รู้
> ที่ไหนได้มันสั่งเอง ขนาดกลายเป็นว่ารัฐมนตรีคนไหนไม่ทำตามสั่ง
> ภายหลังก็อยู่ไม่ได้
> ความขัดแย้งในปัจจุบันมาสาเหตุมาจากตัวปัญหาคนเดียวคือ .ทักษิณ
> คนคนนี้โกงเพื่อเข้ามาสู่อำนาจ เมื่อมีอำนาจก็โกงอีก
> อันตรายต่อบ้านเมืองสุดๆ ทักษิณน่ากลัวเพราะเป็นคนมีวุฒิการศึกษา
> จ้องวางแผนเอาเปรียบคนอื่น ถือว่าต่ำต้อยเหลือเกินในการเป็นผู้นำประเทศ"ผมจำคำพูดของทักษิณที่เคยบอกว่า พี่เหนาะผมพร้อมแล้ว
> สมบัติส่วนหนึ่งผมให้ลูก อีกส่วนเก็บไว้สำหรับตายาย กินจนตายก็ไม่หมด
> สมบัติอีกส่วนจะทำเพื่อบ้านเมือง จะใช้หนี้แผ่นดิน" คำพูดนั้นๆ
ผมเคยหลงคิดว่าคนคนหนึ่ง รวยแล้วกลับใจ คิดใช้หนี้แผ่นดิน
> ตอนนี้ผมรู้ความจริงแล้วว่า รวยจากโกงชาติ
> กล้าทำแม้เผาบ้านเมืองเพื่อเอาประกัน คนรวยคนนี้รวยแล้วไม่รู้จักพอ
> ไม่ใช่หนี้แผ่นดินยังไม่พอ มันยังโกงกิน ทรยศต่อแผ่นดิน" นายเสนาะกล่าวและว่า ตนเคยพูดและเตือนกับคุณหญิงอ้อว่า
"น้อง ถ้ามันได้มาอีกแสนล้าน เอาไปทำไม"
เขาพากันตอบว่า
"ก็รู้ แต่ในเมื่อเล่นการเมืองมันต้องควักเงิน ก็ต้องถือว่าเป็นธุรกิจ
" เคยเตือนหนักๆ ถึงขั้นว่า "ในอนาคต ถ้ามันจะเดือดร้อนหนักๆ คือคนเป็นหัวนะ"
เขาก็ตอบอย่างไม่สะทกสะท้านว่า
"ก็รู้ ถ้าพี่ทักษิณจะลง ต้องให้พรรคไทยรักไทยมีอำนาจอย่างน้อยสองสมัยถึงจะปลอดภัย"