ก้าวไกล-เพื่อไทย จัด 30 ขุนพลอภิปราย ม.152 หวังเด็ดบิ๊กตู่ ปมทุจริต-ปากท้อง
https://www.matichon.co.th/politics/news_3750702
ก้าวไกล-เพื่อไทย จัด 30 ขุนพลอภิปราย ม.152 หวังเด็ดบิ๊กตู่ ปมทุจริต-ปากท้อง
เมื่อวันที่ 30 ธันวาคม นาย
ณัฐวุฒิ บัวประทุม ส.ส.บัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรคก้าวไกล (ก.ก.) ให้สัมภาษณ์ถึงการยื่นญัตติอภิปรายทั่วไปโดยไม่ลงมติ ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 152 ว่า สำหรับประเด็นที่จะใช้ในการอภิปรายพรรคร่วมฝ่ายค้านหารือร่วมกันมาตลอด และครั้งนี้เป็นการอภิปรายรัฐบาลในภาพรวม แต่ในข้อเท็จจริงจะมีรายละเอียดของรัฐมนตรีแต่ละกระทรวงเพิ่มเติม พรรค ก.ก.ไม่ได้เอารัฐมนตรีเป็นตัวตั้ง แต่เริ่มจากการที่ให้ ส.ส.นำเสนอประเด็นและข้อเสนอการแก้ปัญหาในเรื่องนั้นตามกรอบนโยบายของพรรค เบื้องต้นได้กลุ่ม ส.ส.ที่จะอภิปรายมาจำนวนหนึ่งแล้วคือประมาณ 15 คน แต่ยังไม่ได้หารือกันกับวิปฝ่ายค้าน วิปรัฐบาลหรือตัวแทนจากประธานสภา เพราะยังไม่รู้ว่าทางคณะรัฐมนตรี (ครม.) จะมีความพร้อมเมื่อไหร่ รวมถึงกรอบระยะเวลาที่จะได้ใช้ในการอภิปราย หากมีเวลา 4-5 วัน เราก็พร้อมที่จะใช้ ส.ส.อภิปราย 15 คน แต่หากไม่ถึงก็จะมาดูกันอีกครั้งว่าจะอภิปรายกี่คน
นาย
ณัฐวุฒิกล่าวว่า การอภิปรายครั้งนี้แทบจะไม่แตกต่างจากการอภิปรายไม่ไว้วางใจที่มีการลงมติ ขาดแค่ไม่ได้มีการยกมือเท่านั้น เพราะมีทั้งประเด็นการทุจริตคอร์รัปชั่น และการใช้อำนาจหน้าที่โดยมิชอบ ซึ่งจะต้องรอดูว่าอาจจะมีตั๋วอีกรอบหนึ่งที่ไม่น้อยหน้าไปกว่าตั๋วภาคหนึ่ง และตั๋วภาคสอง นอกจากนี้ยังมีประเด็นเรื่องปากท้อง และการเกษตรที่จะถูกพูดถึงมากขึ้นในรอบนี้ รวมถึงกระบวนการยุติธรรม และเรื่องการเมือง ขณะเดียวกันยังมีประเด็นอดีตรัฐมนตรี และองคาพยพที่ไปเกี่ยวข้องกับองค์กรอิสระ เพราะทุกครั้งหลังการอภิปรายพรรคฝ่ายค้านจะยื่นเรื่องร้องเรียนไปยังองค์กรอิสระ แต่กลับไม่มีความคืบหน้า เราจึงใช้โอกาสนี้ซักฟอก และในตอนท้ายพรรค ก.ก.จะนำเสนอแนวทางให้รัฐบาลนำไปแก้ไข เพื่อให้เกิดประโยชน์กับพี่น้องประชาชน หากไม่รับไปทำพรรค ก.ก.จะนำไปใช้เป็นนโยบายหาเสียงเมื่อได้เป็นรัฐบาล
เมื่อถามว่า หากดูจากญัตติมีความเป็นไปได้ที่จะสะเทือนถึงผลการเลือกตั้งหรือไม่ นาย
ณัฐวุฒิกล่าวว่า ความจริง นั่นจะเป็นผลที่จะตามมามากกว่า เพราะการอภิปรายทั่วไปจะมีทั้งส่วนที่พูดถึงปัญหา และการเสนอแนะ แต่ย้ำว่าเป้าหมายของพรรคร่วมฝ่ายค้านคือ หากรัฐบาลรับข้อเสนอไปแก้ไขจริง แม้จะเป็นระยะเวลาสั้นๆ ก็น่าจะเป็นประโยชน์ เพราะหากเกิดการยุบสภา จะยังมีรัฐมนตรีที่รักษาการเพื่อทำงานต่อได้ ส่วนกรณีที่เกี่ยวข้องกับการทุจริตและประพฤติมิชอบ ซึ่งพบมากขึ้นในช่วงปลายรัฐบาล เช่น การใช้ตำแหน่งเอื้อประโยชน์ให้ได้เงินที่จะใช้ในการหาเสียง หากเนื้อหาดี ความจริงไม่ต้องให้ยกมือ รัฐมนตรีคนนั้นคงต้องแสดงความรับผิดชอบบางอย่าง อย่างไรก็ตาม คงไม่สามารถทำให้แต่ละพรรคร่วมรัฐบาลไปถอดถอนรัฐมนตรี หรือส่งผลสะเทือนต่อตำแหน่งได้ แต่จะทำให้ประชาชนเห็นอย่างชัดเจนว่า ฉายาที่สื่อมวลชนประจำทำเนียบรัฐบาลตั้งให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมว่า แปดเปื้อน โดยข้อเท็จจริงเป็นเช่นนั้น และอาจจะมากกว่านั้นด้วยซ้ำ
นาย
ประเสริฐ จันทรรวงทอง ส.ส.นครราชสีมา ในฐานะเลขาธิการพรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวว่า พรรค พท.ได้เตรียมขุนพลในการอธิบายไว้ประมาณ 15 คน และมีข้อมูลครบแล้ว ขณะนี้อยู่ระหว่างการซ้อมอภิปราย เพื่อให้การอภิปรายมีน้ำหนักมากขึ้น โดยจะเน้นอภิปรายไปที่นายกรัฐมนตรีเป็นหลัก เพราะเป็นหัวหน้ารัฐบาล ทั้งนี้การอภิปรายตามมาตรา 152 สามารถอภิปรายรัฐมนตรีได้ทั้งคณะ และเป็นการอภิปรายภาพรวมไม่ได้เจาะจงรัฐมนตรี ส่วนระยะเวลาการอภิปรายคาดว่า 3 วันน่าจะเหมาะสม เพราะเดิมได้แค่ 2 วัน แต่ครั้งนี้ปัญหาการบริหารราชการของรัฐบาลมีปัญหาจึงต้องได้รับคำแนะนำ และได้รับการแก้ไขเพราะการอภิปรายตามรัฐธรรมนูญตามมาตรา 152 เป็นการชี้ให้เห็น และให้คำแนะนำเพื่อแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นเมื่อปัญหามากก็ต้องใช้เวลาพอสมควร
เมื่อถามว่า หากดูจากญัตติมีความเป็นไปได้ที่จะสะเทือนถึงผลการเลือกตั้งหรือไม่ นายประเสริฐกล่าวว่า มีผลเพราะเราจะชี้ให้เห็นถึงความผิดพลาดและความล้มเหลว ซึ่งรัฐบาลเดินทางมาถึงปลายทางแล้ว คิดว่าเวลาที่เหลือแค่ 2 เดือนกว่า ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะหวังให้รัฐบาลมาแก้ไข แต่อย่างน้อยที่สุดบางเรื่องที่จะเกิดความเสียหาย ก็ไม่ควรจะทำต่อฉะนั้นเชื่อว่าการอภิปรายครั้งนี้จะเป็นประโยชน์ และจะสั่นสะเทือนรัฐบาลได้ โดยพรรค พท.ได้แบ่งประเด็นการอภิปรายประมาณ 10 ด้าน เช่น การไม่สามารถทำตามนโยบายที่บอกไว้กับประชาชนได้ บางนโยบายของรัฐบาลที่ไม่ควรเดินหน้าต่อ และการทำงานของรัฐบาลที่ส่อไปในทางทุจริต
ปลอดประสพ รับรันทดใจ เรื่องฉาวกรมอุทยาน เล่าย้อน 27 ปี วันนี้มีสิ่งน่ารังเกียจกลับมา
https://www.matichon.co.th/politics/news_3750523
เมื่อวันที่ 30 ธันวาคม นายปลอดประสพ สุรัสวดี อดีตรองนายกรัฐมนตรี และแกนนำพรรคเพื่อไทย ได้โพสต์ข้อเขียนผ่านเฟซบุ๊ก เรื่อง แด่กรมอุทยานฯด้วยความรัก และเศร้าใจ โดยมีเนื้อหาดังนี้
ผมเขียน FB ส่งท้ายปีเก่านี้ด้วยความรันทดเสียใจ ในฐานะเป็นผู้ก่อตั้งกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ในฐานะเป็นอธิบดีกรมป่าไม้มานานถึง 5 ปี ซึ่งเป็นต้นกำเนิดกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช พร้อมกับเป็นผู้ปฏิบัติหน้าที่อธิบดีคนแรกควบคู่ไปกับการเป็นปลัดกระทรวงด้วย จึงรู้สึกเศร้าใจและอับอายอย่างยิ่ง และขอถือโอกาสนี้ขอโทษประชาชนทุกคนไว้ด้วย
ผมจะไม่ตำหนิด่าว่าแบบหยาบคายให้เกิดความเสียหายไปมากกว่านี้ แต่ผมจะเล่าถึงเรื่องเดิมซึ่งคล้ายกันและครั้งหนึ่งแทบจะทำให้ศรัทธาต่อกรมป่าไม้ของสาธารณชนสูญสิ้นไป
เรื่องมีดังนี้
27 ปีมาแล้ว ป่าสาละวินมีการขโมยตัดไม้จำนวนมากมายจากเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าและอุทยานแห่งชาติสาละวิน ซึ่งอยู่ติดกับชายแดนพม่า โดยแอบอ้างว่า เป็นไม้จากพม่า มีการขนไม้เข้ากรุงเทพฯและถูกจับกุม มีขบวนการของข้าราชการเลวที่แอบปล่อยไม้ของกลาง มีการทำผิดติดสินบนเจ้าหน้าที่โดยเอาเงิน 5 ล้านบาท ใส่กล่องไปให้รองอธิบดีและพวก ท่านอดีตนายกรัฐมนตรีชวน หลีกภัย ตั้งคณะกรรมการสอบสวนระดับชาติ พบว่า มีการจ่ายเงินทั้งรายเดือน/รายกรณีให้เจ้าหน้าที่ของรัฐ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องถูกโยกย้ายและลงโทษหลายคนทั้งฝ่ายทหาร ตำรวจและพลเรือน โดยเฉพาะกรมป่าไม้ ท่านอดีตนายกฯบรรหาร ศิลปอาชา ได้เรียกผมไปพบและบอกว่า ต้องเปลี่ยนแปลงเลือดอธิบดีกรมป่าไม้แล้ว ต้องการคนที่เก่ง กล้าและมีประสบการณ์เป็นอธิบดีมาแล้ว และได้ถามว่า ผมพร้อมไหมในงานที่ยากและเสี่ยงแบบนี้
เมื่อผมมาเป็นอธิบดีกรมป่าไม้ ผมเป็นอธิบดีมาแล้ว 2 กรม 9 ปี และเป็นรองปลัดกระทรวงมาแล้ว และในวันแรกก็ได้ประกาศกฎและนโยบาย 101 ข้อ ผมประกาศว่า “คนไม่ใช่สัตว์” จึงเอามาค้าขายไม่ได้ การแต่งตั้งจะใช้ระบบอาวุโสเป็นสำคัญ และถ้าปรากฏมีการฝาก นอกจากไม่ได้ตำแหน่งแล้วยังจะถูกลงโทษทันที ต้องไม่มีการส่งเงินจากเปอร์เซ็นต์งบประมาณ อธิบดีจะไม่ทานข้าวประจำเดือนกับผู้ค้าไม้และโรงเลื่อย (ชอบลืมเงินไว้บนโต๊ะ) จะไม่เล่นการพนันกับลูกน้อง (แอบซุกเงินให้เล่นและแกล้งแพ้) ไม่รับกินเลี้ยง (เพราะมีกินมาแต่เกิด) ไม่รับแขกในห้อง (ใช้ห้องรับรอง) ไม่ให้มีตู้เซฟในห้องทำงาน และจะตรวจราชการทุก 2 อาทิตย์โดยจะค้างในหน่วย (ไม่ว่าจะอยู่ไกลแค่ไหน) หากมีการปฏิบัติการที่สำคัญอธิบดีจะนำทัพเอง จะนัดพบคุยแบบลูกผู้ชายกับกลุ่มผู้มีอิทธิพล โดยมีข้อตกลงในระดับคำว่า “ตาย” เป็นเดิมพัน พวกคุณต้องกล้าเผชิญกับนักการเมือง กับรัฐมนตรี ถ้าผิดก็ต้องจับแม้เขาจะย้ายคุณ ผมโดนมาแล้ว มติ ครม.ให้ย้ายแต่ไม่มีการโปรดเกล้าฯ
ในที่สุดหลายปีผ่านไป ทุกอย่างก็ดีขึ้น ไฟป่าลดลงมาก พื้นที่ป่าไม้ (วัดจาก forest cover) สูงสุดในรอบหลายสิบปี (33%) มีการปฏิบัติการจับกุมขนาดใหญ่เช่นที่ ดงลาน บ้านสามหลัง วังสามหมอ เกาะเสม็ดและโรงงานเถื่อนทำไม้เถื่อนริมชายแดนพม่า อุทยานและเขตรักษาพันธ์ุสัตว์ป่า 2 กลุ่มป่าใหญ่ได้รับการประกาศเป็นมรดกโลก อาคารบ้านเรือนในทุกอุทยาน และโดยเฉพาะในกรมป่าไม้เพิ่มขึ้น แม้แต่สลัมในกรมป่าไม้ 3 จุดก็หายมลายไป มีเครื่องแบบที่สง่างามเป็นที่เกรงขาม และมีอาวุธปืนยิงเร็วเพียงพอที่จะปฏิบัติงานป้องกันรักษาป่า ผู้คนท่องเที่ยวในอุทยานเพิ่มมากขึ้นหลายร้อยเท่า และต่อมาในภายหลัง คนจากกรมป่าไม้ก็สามารถเติบโตไปเป็นปลัดกระทรวงในกระทรวงอื่นๆ ถึง 3 กระทรวง เป็นอธิบดีได้เกือบทุกกรมในกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นที่ไว้วางพระราชหฤทัยเสด็จฯประทับแรมในป่าหลายๆ ครั้ง
แต่มาวันนี้ สิ่งที่น่าชิงชังรังเกียจกลับมาเกิดอีกแล้ว คนไม่ดีน่ะมีไม่มาก แต่คนเหล่านี้แหละที่เห็นกับประโยชน์ส่วนตนและทำให้กรมเสียหาย ต่อไปจงอย่ายอมก้มหัวให้ เกิดเป็นลูกผู้ชายอย่ากลัว ต้องกล้าหาญเผชิญภัยได้ทุกอย่าง อย่าให้คนเลวมีอำนาจ ผมเองก็ได้ปฏิบัติเช่นนั้นแม้ตัวเองจะมีภัยก็ยอม เวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์ความจริง จำไว้ “เป็นราชสีห์อย่าร้อง เอ๋ง”
เกือบ 30 ปีที่ผ่านมา ผมและพวกพี่ๆ ของพวกคุณเคยทำได้ สามารถกู้ชื่อเสียงของกรมไว้ได้ พวกคุณก็ต้องทำได้ ผมขอให้กำลังใจ สำหรับนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีก็ต้องเลือกเฟ้นคนที่ดีที่สุดมาทำงาน อย่าเอาแต่พรรคพวก และที่สำคัญอย่าได้เป็นต้นตอของการหาเงินเป็นอันขาด เพราะเรื่องนี้สังคมเขาเชื่อกันว่า เงินที่ได้มากมายนี้ถูกส่งต่อไปอีก (ไม่ใช่เพื่อแจกลูกน้องแน่นอนเพราะเพิ่งเก็บจากเขามา) กรมป่าไม้และกรมอุทยานฯล้วนก่อกำเนิดมาจากตราแผ่นดินที่ศักดิ์สิทธิ์ในรัชกาลที่ 5 นะครับ
เด็กก้าวไกล ย้อนอนุทิน อย่าเพิ่งคิดไกลได้เป็น รบ. มั่นใจ ปชช.ไม่เลือกคนไร้จุดยืน
https://www.matichon.co.th/politics/news_3750219
‘ณัฐชา’ เย้ย ‘เสี่ยหนู’ อย่าคิดไกลได้เป็น รบ. เชื่อ ปชช.ไม่เลือกพรรคไร้จุดยืน-นักการเมืองพลิกลิ้น
เมื่อวันที่ 30 ธันวาคม นาย
ณัฐชา บุญไชยอินสวัสดิ์ ส.ส.กทม.พรรคก้าวไกล (ก.ก.) กล่าวถึงกรณี นาย
อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย (ภท.) ระบุพร้อมร่วมรัฐบาลกับทุกพรรคว่าใครจะเป็นรัฐบาล ใครจะเป็นฝ่ายค้าน ให้ประชาชนเป็นคนตัดสิน ถ้านายอนุทินลองไปเดินตลาดเดินถนนน่าจะต้องพิจารณาตัวเองใหม่ เพราะประชาชนทั่วไปอยากเปลี่ยนขั้วรัฐบาล และพรรค ก.ก.มีแนวทางชัดเจนมาตั้งแต่อดีตพรรคอนาคตใหม่ว่าไม่มีทางร่วมรัฐบาลกับพรรคสืบทอดอำนาจเผด็จการทหาร
“
ผมจำได้ว่าก่อนเลือกตั้ง พรรค ภท.และนายอนุทินเองพูดปาวๆ ตามเวทีหาเสียงว่าไม่เอา พล.อ.ประยุทธ์ อยู่คนละขั้วกับพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) แต่พอเลือกตั้งเสร็จกลับคำไปร่วมรัฐบาลกับพรรค พปชร. ครั้งนี้เลยไม่อยากให้นายอนุทินด่วนสรุปว่าจะร่วมหรือไม่ร่วมกับใคร เดี๋ยวจะต้องลำบากกลับคำอีกเหมือนครั้งที่แล้ว จะเสียเครดิตเปล่าๆ” นาย
ณัฐชากล่าว
นาย
ณัฐชากล่าวต่อว่า สิ่งที่ทำให้หัวหน้าพรรค ภท.มองข้ามช็อตไปถึงการจับมือร่วมรัฐบาลกับพรรคโน้นพรรคนี้ คงไม่ใช่เพราะมั่นใจว่าประชาชนจะตัดสินใจเลือก แต่เพราะมั่นใจว่าพรรค ภท.มีพลังดูด ดูดแบบไม่เคารพการตัดสินใจของประชาชน และจะทำทุกอย่างเพื่อให้ได้เป็นรัฐบาล จะอยู่กับใครฝั่งไหนก็ได้ทั้งนั้น เชื่อว่าประชาชนจะไม่เทคะแนนให้นักการเมืองและพรรคการเมืองที่ไม่มีจุดยืนแบบนี้อย่างแน่นอน
JJNY : ก้าวไกล-เพื่อไทยจัด 30 ขุนพล| ปลอดประสพรับรันทดใจ เรื่องฉาวกรมอุทยาน | เด็กก้าวไกล ย้อนอนุทิน| “ชวน”คาด“ยุบสภา”
https://www.matichon.co.th/politics/news_3750702
ก้าวไกล-เพื่อไทย จัด 30 ขุนพลอภิปราย ม.152 หวังเด็ดบิ๊กตู่ ปมทุจริต-ปากท้อง
เมื่อวันที่ 30 ธันวาคม นายณัฐวุฒิ บัวประทุม ส.ส.บัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรคก้าวไกล (ก.ก.) ให้สัมภาษณ์ถึงการยื่นญัตติอภิปรายทั่วไปโดยไม่ลงมติ ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 152 ว่า สำหรับประเด็นที่จะใช้ในการอภิปรายพรรคร่วมฝ่ายค้านหารือร่วมกันมาตลอด และครั้งนี้เป็นการอภิปรายรัฐบาลในภาพรวม แต่ในข้อเท็จจริงจะมีรายละเอียดของรัฐมนตรีแต่ละกระทรวงเพิ่มเติม พรรค ก.ก.ไม่ได้เอารัฐมนตรีเป็นตัวตั้ง แต่เริ่มจากการที่ให้ ส.ส.นำเสนอประเด็นและข้อเสนอการแก้ปัญหาในเรื่องนั้นตามกรอบนโยบายของพรรค เบื้องต้นได้กลุ่ม ส.ส.ที่จะอภิปรายมาจำนวนหนึ่งแล้วคือประมาณ 15 คน แต่ยังไม่ได้หารือกันกับวิปฝ่ายค้าน วิปรัฐบาลหรือตัวแทนจากประธานสภา เพราะยังไม่รู้ว่าทางคณะรัฐมนตรี (ครม.) จะมีความพร้อมเมื่อไหร่ รวมถึงกรอบระยะเวลาที่จะได้ใช้ในการอภิปราย หากมีเวลา 4-5 วัน เราก็พร้อมที่จะใช้ ส.ส.อภิปราย 15 คน แต่หากไม่ถึงก็จะมาดูกันอีกครั้งว่าจะอภิปรายกี่คน
นายณัฐวุฒิกล่าวว่า การอภิปรายครั้งนี้แทบจะไม่แตกต่างจากการอภิปรายไม่ไว้วางใจที่มีการลงมติ ขาดแค่ไม่ได้มีการยกมือเท่านั้น เพราะมีทั้งประเด็นการทุจริตคอร์รัปชั่น และการใช้อำนาจหน้าที่โดยมิชอบ ซึ่งจะต้องรอดูว่าอาจจะมีตั๋วอีกรอบหนึ่งที่ไม่น้อยหน้าไปกว่าตั๋วภาคหนึ่ง และตั๋วภาคสอง นอกจากนี้ยังมีประเด็นเรื่องปากท้อง และการเกษตรที่จะถูกพูดถึงมากขึ้นในรอบนี้ รวมถึงกระบวนการยุติธรรม และเรื่องการเมือง ขณะเดียวกันยังมีประเด็นอดีตรัฐมนตรี และองคาพยพที่ไปเกี่ยวข้องกับองค์กรอิสระ เพราะทุกครั้งหลังการอภิปรายพรรคฝ่ายค้านจะยื่นเรื่องร้องเรียนไปยังองค์กรอิสระ แต่กลับไม่มีความคืบหน้า เราจึงใช้โอกาสนี้ซักฟอก และในตอนท้ายพรรค ก.ก.จะนำเสนอแนวทางให้รัฐบาลนำไปแก้ไข เพื่อให้เกิดประโยชน์กับพี่น้องประชาชน หากไม่รับไปทำพรรค ก.ก.จะนำไปใช้เป็นนโยบายหาเสียงเมื่อได้เป็นรัฐบาล
เมื่อถามว่า หากดูจากญัตติมีความเป็นไปได้ที่จะสะเทือนถึงผลการเลือกตั้งหรือไม่ นายณัฐวุฒิกล่าวว่า ความจริง นั่นจะเป็นผลที่จะตามมามากกว่า เพราะการอภิปรายทั่วไปจะมีทั้งส่วนที่พูดถึงปัญหา และการเสนอแนะ แต่ย้ำว่าเป้าหมายของพรรคร่วมฝ่ายค้านคือ หากรัฐบาลรับข้อเสนอไปแก้ไขจริง แม้จะเป็นระยะเวลาสั้นๆ ก็น่าจะเป็นประโยชน์ เพราะหากเกิดการยุบสภา จะยังมีรัฐมนตรีที่รักษาการเพื่อทำงานต่อได้ ส่วนกรณีที่เกี่ยวข้องกับการทุจริตและประพฤติมิชอบ ซึ่งพบมากขึ้นในช่วงปลายรัฐบาล เช่น การใช้ตำแหน่งเอื้อประโยชน์ให้ได้เงินที่จะใช้ในการหาเสียง หากเนื้อหาดี ความจริงไม่ต้องให้ยกมือ รัฐมนตรีคนนั้นคงต้องแสดงความรับผิดชอบบางอย่าง อย่างไรก็ตาม คงไม่สามารถทำให้แต่ละพรรคร่วมรัฐบาลไปถอดถอนรัฐมนตรี หรือส่งผลสะเทือนต่อตำแหน่งได้ แต่จะทำให้ประชาชนเห็นอย่างชัดเจนว่า ฉายาที่สื่อมวลชนประจำทำเนียบรัฐบาลตั้งให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมว่า แปดเปื้อน โดยข้อเท็จจริงเป็นเช่นนั้น และอาจจะมากกว่านั้นด้วยซ้ำ
นายประเสริฐ จันทรรวงทอง ส.ส.นครราชสีมา ในฐานะเลขาธิการพรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวว่า พรรค พท.ได้เตรียมขุนพลในการอธิบายไว้ประมาณ 15 คน และมีข้อมูลครบแล้ว ขณะนี้อยู่ระหว่างการซ้อมอภิปราย เพื่อให้การอภิปรายมีน้ำหนักมากขึ้น โดยจะเน้นอภิปรายไปที่นายกรัฐมนตรีเป็นหลัก เพราะเป็นหัวหน้ารัฐบาล ทั้งนี้การอภิปรายตามมาตรา 152 สามารถอภิปรายรัฐมนตรีได้ทั้งคณะ และเป็นการอภิปรายภาพรวมไม่ได้เจาะจงรัฐมนตรี ส่วนระยะเวลาการอภิปรายคาดว่า 3 วันน่าจะเหมาะสม เพราะเดิมได้แค่ 2 วัน แต่ครั้งนี้ปัญหาการบริหารราชการของรัฐบาลมีปัญหาจึงต้องได้รับคำแนะนำ และได้รับการแก้ไขเพราะการอภิปรายตามรัฐธรรมนูญตามมาตรา 152 เป็นการชี้ให้เห็น และให้คำแนะนำเพื่อแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นเมื่อปัญหามากก็ต้องใช้เวลาพอสมควร
เมื่อถามว่า หากดูจากญัตติมีความเป็นไปได้ที่จะสะเทือนถึงผลการเลือกตั้งหรือไม่ นายประเสริฐกล่าวว่า มีผลเพราะเราจะชี้ให้เห็นถึงความผิดพลาดและความล้มเหลว ซึ่งรัฐบาลเดินทางมาถึงปลายทางแล้ว คิดว่าเวลาที่เหลือแค่ 2 เดือนกว่า ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะหวังให้รัฐบาลมาแก้ไข แต่อย่างน้อยที่สุดบางเรื่องที่จะเกิดความเสียหาย ก็ไม่ควรจะทำต่อฉะนั้นเชื่อว่าการอภิปรายครั้งนี้จะเป็นประโยชน์ และจะสั่นสะเทือนรัฐบาลได้ โดยพรรค พท.ได้แบ่งประเด็นการอภิปรายประมาณ 10 ด้าน เช่น การไม่สามารถทำตามนโยบายที่บอกไว้กับประชาชนได้ บางนโยบายของรัฐบาลที่ไม่ควรเดินหน้าต่อ และการทำงานของรัฐบาลที่ส่อไปในทางทุจริต
ปลอดประสพ รับรันทดใจ เรื่องฉาวกรมอุทยาน เล่าย้อน 27 ปี วันนี้มีสิ่งน่ารังเกียจกลับมา
https://www.matichon.co.th/politics/news_3750523
เมื่อวันที่ 30 ธันวาคม นายปลอดประสพ สุรัสวดี อดีตรองนายกรัฐมนตรี และแกนนำพรรคเพื่อไทย ได้โพสต์ข้อเขียนผ่านเฟซบุ๊ก เรื่อง แด่กรมอุทยานฯด้วยความรัก และเศร้าใจ โดยมีเนื้อหาดังนี้
ผมเขียน FB ส่งท้ายปีเก่านี้ด้วยความรันทดเสียใจ ในฐานะเป็นผู้ก่อตั้งกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ในฐานะเป็นอธิบดีกรมป่าไม้มานานถึง 5 ปี ซึ่งเป็นต้นกำเนิดกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช พร้อมกับเป็นผู้ปฏิบัติหน้าที่อธิบดีคนแรกควบคู่ไปกับการเป็นปลัดกระทรวงด้วย จึงรู้สึกเศร้าใจและอับอายอย่างยิ่ง และขอถือโอกาสนี้ขอโทษประชาชนทุกคนไว้ด้วย
ผมจะไม่ตำหนิด่าว่าแบบหยาบคายให้เกิดความเสียหายไปมากกว่านี้ แต่ผมจะเล่าถึงเรื่องเดิมซึ่งคล้ายกันและครั้งหนึ่งแทบจะทำให้ศรัทธาต่อกรมป่าไม้ของสาธารณชนสูญสิ้นไป
เรื่องมีดังนี้
27 ปีมาแล้ว ป่าสาละวินมีการขโมยตัดไม้จำนวนมากมายจากเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าและอุทยานแห่งชาติสาละวิน ซึ่งอยู่ติดกับชายแดนพม่า โดยแอบอ้างว่า เป็นไม้จากพม่า มีการขนไม้เข้ากรุงเทพฯและถูกจับกุม มีขบวนการของข้าราชการเลวที่แอบปล่อยไม้ของกลาง มีการทำผิดติดสินบนเจ้าหน้าที่โดยเอาเงิน 5 ล้านบาท ใส่กล่องไปให้รองอธิบดีและพวก ท่านอดีตนายกรัฐมนตรีชวน หลีกภัย ตั้งคณะกรรมการสอบสวนระดับชาติ พบว่า มีการจ่ายเงินทั้งรายเดือน/รายกรณีให้เจ้าหน้าที่ของรัฐ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องถูกโยกย้ายและลงโทษหลายคนทั้งฝ่ายทหาร ตำรวจและพลเรือน โดยเฉพาะกรมป่าไม้ ท่านอดีตนายกฯบรรหาร ศิลปอาชา ได้เรียกผมไปพบและบอกว่า ต้องเปลี่ยนแปลงเลือดอธิบดีกรมป่าไม้แล้ว ต้องการคนที่เก่ง กล้าและมีประสบการณ์เป็นอธิบดีมาแล้ว และได้ถามว่า ผมพร้อมไหมในงานที่ยากและเสี่ยงแบบนี้
เมื่อผมมาเป็นอธิบดีกรมป่าไม้ ผมเป็นอธิบดีมาแล้ว 2 กรม 9 ปี และเป็นรองปลัดกระทรวงมาแล้ว และในวันแรกก็ได้ประกาศกฎและนโยบาย 101 ข้อ ผมประกาศว่า “คนไม่ใช่สัตว์” จึงเอามาค้าขายไม่ได้ การแต่งตั้งจะใช้ระบบอาวุโสเป็นสำคัญ และถ้าปรากฏมีการฝาก นอกจากไม่ได้ตำแหน่งแล้วยังจะถูกลงโทษทันที ต้องไม่มีการส่งเงินจากเปอร์เซ็นต์งบประมาณ อธิบดีจะไม่ทานข้าวประจำเดือนกับผู้ค้าไม้และโรงเลื่อย (ชอบลืมเงินไว้บนโต๊ะ) จะไม่เล่นการพนันกับลูกน้อง (แอบซุกเงินให้เล่นและแกล้งแพ้) ไม่รับกินเลี้ยง (เพราะมีกินมาแต่เกิด) ไม่รับแขกในห้อง (ใช้ห้องรับรอง) ไม่ให้มีตู้เซฟในห้องทำงาน และจะตรวจราชการทุก 2 อาทิตย์โดยจะค้างในหน่วย (ไม่ว่าจะอยู่ไกลแค่ไหน) หากมีการปฏิบัติการที่สำคัญอธิบดีจะนำทัพเอง จะนัดพบคุยแบบลูกผู้ชายกับกลุ่มผู้มีอิทธิพล โดยมีข้อตกลงในระดับคำว่า “ตาย” เป็นเดิมพัน พวกคุณต้องกล้าเผชิญกับนักการเมือง กับรัฐมนตรี ถ้าผิดก็ต้องจับแม้เขาจะย้ายคุณ ผมโดนมาแล้ว มติ ครม.ให้ย้ายแต่ไม่มีการโปรดเกล้าฯ
ในที่สุดหลายปีผ่านไป ทุกอย่างก็ดีขึ้น ไฟป่าลดลงมาก พื้นที่ป่าไม้ (วัดจาก forest cover) สูงสุดในรอบหลายสิบปี (33%) มีการปฏิบัติการจับกุมขนาดใหญ่เช่นที่ ดงลาน บ้านสามหลัง วังสามหมอ เกาะเสม็ดและโรงงานเถื่อนทำไม้เถื่อนริมชายแดนพม่า อุทยานและเขตรักษาพันธ์ุสัตว์ป่า 2 กลุ่มป่าใหญ่ได้รับการประกาศเป็นมรดกโลก อาคารบ้านเรือนในทุกอุทยาน และโดยเฉพาะในกรมป่าไม้เพิ่มขึ้น แม้แต่สลัมในกรมป่าไม้ 3 จุดก็หายมลายไป มีเครื่องแบบที่สง่างามเป็นที่เกรงขาม และมีอาวุธปืนยิงเร็วเพียงพอที่จะปฏิบัติงานป้องกันรักษาป่า ผู้คนท่องเที่ยวในอุทยานเพิ่มมากขึ้นหลายร้อยเท่า และต่อมาในภายหลัง คนจากกรมป่าไม้ก็สามารถเติบโตไปเป็นปลัดกระทรวงในกระทรวงอื่นๆ ถึง 3 กระทรวง เป็นอธิบดีได้เกือบทุกกรมในกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นที่ไว้วางพระราชหฤทัยเสด็จฯประทับแรมในป่าหลายๆ ครั้ง
แต่มาวันนี้ สิ่งที่น่าชิงชังรังเกียจกลับมาเกิดอีกแล้ว คนไม่ดีน่ะมีไม่มาก แต่คนเหล่านี้แหละที่เห็นกับประโยชน์ส่วนตนและทำให้กรมเสียหาย ต่อไปจงอย่ายอมก้มหัวให้ เกิดเป็นลูกผู้ชายอย่ากลัว ต้องกล้าหาญเผชิญภัยได้ทุกอย่าง อย่าให้คนเลวมีอำนาจ ผมเองก็ได้ปฏิบัติเช่นนั้นแม้ตัวเองจะมีภัยก็ยอม เวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์ความจริง จำไว้ “เป็นราชสีห์อย่าร้อง เอ๋ง”
เกือบ 30 ปีที่ผ่านมา ผมและพวกพี่ๆ ของพวกคุณเคยทำได้ สามารถกู้ชื่อเสียงของกรมไว้ได้ พวกคุณก็ต้องทำได้ ผมขอให้กำลังใจ สำหรับนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีก็ต้องเลือกเฟ้นคนที่ดีที่สุดมาทำงาน อย่าเอาแต่พรรคพวก และที่สำคัญอย่าได้เป็นต้นตอของการหาเงินเป็นอันขาด เพราะเรื่องนี้สังคมเขาเชื่อกันว่า เงินที่ได้มากมายนี้ถูกส่งต่อไปอีก (ไม่ใช่เพื่อแจกลูกน้องแน่นอนเพราะเพิ่งเก็บจากเขามา) กรมป่าไม้และกรมอุทยานฯล้วนก่อกำเนิดมาจากตราแผ่นดินที่ศักดิ์สิทธิ์ในรัชกาลที่ 5 นะครับ
เด็กก้าวไกล ย้อนอนุทิน อย่าเพิ่งคิดไกลได้เป็น รบ. มั่นใจ ปชช.ไม่เลือกคนไร้จุดยืน
https://www.matichon.co.th/politics/news_3750219
‘ณัฐชา’ เย้ย ‘เสี่ยหนู’ อย่าคิดไกลได้เป็น รบ. เชื่อ ปชช.ไม่เลือกพรรคไร้จุดยืน-นักการเมืองพลิกลิ้น
เมื่อวันที่ 30 ธันวาคม นายณัฐชา บุญไชยอินสวัสดิ์ ส.ส.กทม.พรรคก้าวไกล (ก.ก.) กล่าวถึงกรณี นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย (ภท.) ระบุพร้อมร่วมรัฐบาลกับทุกพรรคว่าใครจะเป็นรัฐบาล ใครจะเป็นฝ่ายค้าน ให้ประชาชนเป็นคนตัดสิน ถ้านายอนุทินลองไปเดินตลาดเดินถนนน่าจะต้องพิจารณาตัวเองใหม่ เพราะประชาชนทั่วไปอยากเปลี่ยนขั้วรัฐบาล และพรรค ก.ก.มีแนวทางชัดเจนมาตั้งแต่อดีตพรรคอนาคตใหม่ว่าไม่มีทางร่วมรัฐบาลกับพรรคสืบทอดอำนาจเผด็จการทหาร
“ผมจำได้ว่าก่อนเลือกตั้ง พรรค ภท.และนายอนุทินเองพูดปาวๆ ตามเวทีหาเสียงว่าไม่เอา พล.อ.ประยุทธ์ อยู่คนละขั้วกับพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) แต่พอเลือกตั้งเสร็จกลับคำไปร่วมรัฐบาลกับพรรค พปชร. ครั้งนี้เลยไม่อยากให้นายอนุทินด่วนสรุปว่าจะร่วมหรือไม่ร่วมกับใคร เดี๋ยวจะต้องลำบากกลับคำอีกเหมือนครั้งที่แล้ว จะเสียเครดิตเปล่าๆ” นายณัฐชากล่าว
นายณัฐชากล่าวต่อว่า สิ่งที่ทำให้หัวหน้าพรรค ภท.มองข้ามช็อตไปถึงการจับมือร่วมรัฐบาลกับพรรคโน้นพรรคนี้ คงไม่ใช่เพราะมั่นใจว่าประชาชนจะตัดสินใจเลือก แต่เพราะมั่นใจว่าพรรค ภท.มีพลังดูด ดูดแบบไม่เคารพการตัดสินใจของประชาชน และจะทำทุกอย่างเพื่อให้ได้เป็นรัฐบาล จะอยู่กับใครฝั่งไหนก็ได้ทั้งนั้น เชื่อว่าประชาชนจะไม่เทคะแนนให้นักการเมืองและพรรคการเมืองที่ไม่มีจุดยืนแบบนี้อย่างแน่นอน