สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 6
__เพราะคุณแกล้งพูดทีเล่นทีจริง ว่าให้เธอไปหาหมอ
(ทำไมคุณไม่ชักชวนจริงจัง ?)
__เพราะคุณ ไม่ปกป้องลูกอย่างเต็มที่ พอเธอหาเรื่องทะเลาะต่อหน้าลูก คุณก็หยุด
(ทำไมคุณไม่สงสารลูกบ้าง ? คุณเดินหนีไปร้องไห้คนเดียว นี่หรือ คือสิ่งที่คนเป็นพ่อควรทำ ?)
ขนาดวิญญาณแม่เธอที่ตายไป ยังทนไม่ไหว ยังต้องกลับมาเตือน คุณเป็นคน เป็นสามี ทำไมถึงทำอะไรไม่ได้เลย ?
__เพราะคุณ มอบสิทธิ์ขาดให้เธอริดรอน ความสุขของลูกๆ ความสุขของคุณ และความสุขของตัวเธอเอง ด้วยการตามใจเธอ
(คุณกลัวอะไรนักหนา ? ทำไมปล่อยให้เธอทำผิด ลุกลามมาหลายปีขนาดนี้ ?)
ขออภัยค่ะ สามย่อหน้าแรก เราจงใจจะพูดแรง เพราะอยากให้ตัวอักษรเขย่าความรู้สึกคุณแรงๆ ให้ได้สติจริงๆ
คุณรู้ไหมคะ ว่าเด็กที่ถูกเลี้ยงดูด้วยยักษ์ เติบโตมาจะเป็นอะไร ?
คุณพูดขนาดว่า กลัวลูกสาวจะเครียด และฆ่าตัวตาย
คุณรู้ตัวว่า จิตใจตัวเอง ก็จืดจางคลายรักในตัวภรรยาลงไปเยอะแล้ว เพราะนิสัยนี้ของเธอ (จริงๆรักยังเหลืออยู่ไหมก็ไม่รู้)
เอาล่ะค่ะ …
ถ้าคุณอ่านมาถึงบรรทัดนี้แล้ว จิตใจยังห่อเหี่ยว ป้อแป้ ร้องไห้เงียบๆ และยังเฝ้ามองเด็กสามคนถูกทำร้ายได้เรื่อยๆ
ไม่ต้องอ่านความเห็นของเราต่อค่ะ ข้ามไปเลย … รอท่านอื่นมาพูดคุย ช่วยคุณคิดแก้ปัญหาดีกว่า
แต่ถ้าคุณอ่านแล้วเหมือนถูกตีแสกหน้า รู้สึกตาสว่าง มีพลัง และความจริงใจที่จะแก้ปัญหานี้อย่างจริงจัง
“โดยยอมแลกทุกอย่าง” ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เพื่อช่วงชิง ความสุข ในวัยเด็กของลูกๆคุณคืนมา
เรามาแก้ไขปัญหานี้ ตามสเตปดังนี้นะคะ
1. เริ่มจากส่งสัญญาณให้เธอรู้ คุณ และลูกๆ ต้องบอกให้เธอรู้ ว่า “เธอคือ ต้นเหตุ” ทำให้พวกคุณไม่มีความสุข
มนุษย์เรา บางที เอาตัวเองเป็นศูนย์กลางซะจน “ไม่รู้” ได้จริงๆค่ะ
และคุณมีหน้าที่ ที่จะต้องทำให้เธอรู้ เริ่มจากการพูดคุย ถ้ายังไม่ฟัง ให้เขียน ถ้ายังไม่ฟังอีก
ให้นัดไปพบจิตแพทย์ทั้งคู่ ให้มีคนกลาง มาคอยให้คำแนะนำ ให้คุณสองคน รับ และ ส่งสารกันให้เข้าใจ
ย้ำว่า คุณทั้งคู่ ต้องพบจิตแพทย์ค่ะ
แฟนคุณโมโหร้าย จากวัยแล้วก็ไม่น่าจะเกี่ยวกับฮอร์โมน แต่ก็ควรไปตรวจเช็คให้ละเอียดสักทีค่ะ
คุณเองก็ปวกเปียก ผิดสภาพหัวหน้าครอบครัวไปมาก การไปพบผู้เชี่ยวชาญ น่าจะช่วยดึงสติคุณได้ ไปตรวจเช็คให้ดี
เผื่อมีเคมีในสมองส่วนไหนผิดปกติไป
2. คุณทั้งคู่มีเงิน ให้ใช้เงินแก้ปัญหาค่ะ
จ้างพี่เลี้ยงเด็กมาดูแลลูกและหลาน สักสองคน อย่าเสียดายเงินตรงนี้
ให้แฟนคุณได้มีโอกาสแต่งตัวสวยๆ มีเวลาอยู่กับตัวเอง หรือจะตามใจซื้อทริปเที่ยวต่างประเทศให้เธอไปคลายเครียดก็ได้
แต่ที่จะได้ผลจริงๆ คือ ให้เธอเข้าคอร์สปฏิบัติธรรม สำหรับผู้เริ่มต้น เพื่อให้เธอหัดเจริญสติ รู้เท่าทันตัวเองเวลาอารมณ์ขึ้น
ลองหาคลิป มาให้เธอฟังก่อน ดูว่าเธอถูกจริต สำนักใด หาทางอัดฉีด หารางวัลล่อใจ ให้เธอไปให้ได้สักสิบวัน
สิบวันจะเป็นเวลาที่ต่อเนื่องนานพอ ที่จะทำให้คน “เริ่ม” เห็นตัวเอง ในมุมมองใหม่ค่ะ
(ไปไม่กี่วันอาจจะไม่ได้ผล แต่ก็ดีกว่าไม่ไปเลยนะคะ)
3. แสดงให้เธอเห็นว่า คุณรักเธอ และเพราะรักเธอมากนี่แหละ คุณจะไม่ทน ให้เธอทำร้ายตัวเอง ด้วยนิสัยแย่ๆแบบนี้
และลามมาทำร้าย ดวงใจของคุณทั้งสอง ที่คุณสร้างพวกเขาขึ้นมาด้วย
แสดงให้เธอเห็นว่า ปัญหานี้ คุณต้องการแก้ไข และ “หวังผล”
เธอต้อง “พยายามมากกว่านี้ / ต้องพยายามให้สุดตัว” ที่จะแก้ไขตัวเอง
เธอต้องเสียสละ เพื่อลูก และ เพื่อคุณบ้าง
หากเธอยังไม่รู้สึกตัว หากใช้พระคุณก็แล้ว ใช้ไม้อ่อนก็แล้ว
เธอยังยืนกราน ราวกับว่า ในครอบครัวนี้ ทุกคนเป็นทาส เธอคือนางพญา
ให้คุณ จัดการให้เด็ดขาดค่ะ ขอแยกกันอยู่ หรือ จะร่างหนังสือหย่าขึ้นมา และขอเป็นผู้มีอำนาจปกครองบุตรแต่เพียงผู้เดียว
(เราไม่ปรารถนาจะให้คุณหย่ากันจริงๆ แต่คุณต้องแสดงให้สมจริง ให้เธอเห็นว่าถ้าเธอไม่เปลี่ยนนิสัย คุณก็พร้อมจะเปลี่ยนสถานะ)
ขอให้บุญคุ้มครอง เด็กน้อยสามคนนี้ ขอให้คุณและภรรยา กลับตัวกลับใจ
เป็นผู้ใหญ่ ที่รู้หน้าที่ และเลี้ยงดูให้พวกเขาโตมาอย่างมีความสุข และมีสุขภาพจิตที่ดีเยี่ยมนะคะ
(ทำไมคุณไม่ชักชวนจริงจัง ?)
__เพราะคุณ ไม่ปกป้องลูกอย่างเต็มที่ พอเธอหาเรื่องทะเลาะต่อหน้าลูก คุณก็หยุด
(ทำไมคุณไม่สงสารลูกบ้าง ? คุณเดินหนีไปร้องไห้คนเดียว นี่หรือ คือสิ่งที่คนเป็นพ่อควรทำ ?)
ขนาดวิญญาณแม่เธอที่ตายไป ยังทนไม่ไหว ยังต้องกลับมาเตือน คุณเป็นคน เป็นสามี ทำไมถึงทำอะไรไม่ได้เลย ?
__เพราะคุณ มอบสิทธิ์ขาดให้เธอริดรอน ความสุขของลูกๆ ความสุขของคุณ และความสุขของตัวเธอเอง ด้วยการตามใจเธอ
(คุณกลัวอะไรนักหนา ? ทำไมปล่อยให้เธอทำผิด ลุกลามมาหลายปีขนาดนี้ ?)
ขออภัยค่ะ สามย่อหน้าแรก เราจงใจจะพูดแรง เพราะอยากให้ตัวอักษรเขย่าความรู้สึกคุณแรงๆ ให้ได้สติจริงๆ
คุณรู้ไหมคะ ว่าเด็กที่ถูกเลี้ยงดูด้วยยักษ์ เติบโตมาจะเป็นอะไร ?
คุณพูดขนาดว่า กลัวลูกสาวจะเครียด และฆ่าตัวตาย
คุณรู้ตัวว่า จิตใจตัวเอง ก็จืดจางคลายรักในตัวภรรยาลงไปเยอะแล้ว เพราะนิสัยนี้ของเธอ (จริงๆรักยังเหลืออยู่ไหมก็ไม่รู้)
เอาล่ะค่ะ …
ถ้าคุณอ่านมาถึงบรรทัดนี้แล้ว จิตใจยังห่อเหี่ยว ป้อแป้ ร้องไห้เงียบๆ และยังเฝ้ามองเด็กสามคนถูกทำร้ายได้เรื่อยๆ
ไม่ต้องอ่านความเห็นของเราต่อค่ะ ข้ามไปเลย … รอท่านอื่นมาพูดคุย ช่วยคุณคิดแก้ปัญหาดีกว่า
แต่ถ้าคุณอ่านแล้วเหมือนถูกตีแสกหน้า รู้สึกตาสว่าง มีพลัง และความจริงใจที่จะแก้ปัญหานี้อย่างจริงจัง
“โดยยอมแลกทุกอย่าง” ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เพื่อช่วงชิง ความสุข ในวัยเด็กของลูกๆคุณคืนมา
เรามาแก้ไขปัญหานี้ ตามสเตปดังนี้นะคะ
1. เริ่มจากส่งสัญญาณให้เธอรู้ คุณ และลูกๆ ต้องบอกให้เธอรู้ ว่า “เธอคือ ต้นเหตุ” ทำให้พวกคุณไม่มีความสุข
มนุษย์เรา บางที เอาตัวเองเป็นศูนย์กลางซะจน “ไม่รู้” ได้จริงๆค่ะ
และคุณมีหน้าที่ ที่จะต้องทำให้เธอรู้ เริ่มจากการพูดคุย ถ้ายังไม่ฟัง ให้เขียน ถ้ายังไม่ฟังอีก
ให้นัดไปพบจิตแพทย์ทั้งคู่ ให้มีคนกลาง มาคอยให้คำแนะนำ ให้คุณสองคน รับ และ ส่งสารกันให้เข้าใจ
ย้ำว่า คุณทั้งคู่ ต้องพบจิตแพทย์ค่ะ
แฟนคุณโมโหร้าย จากวัยแล้วก็ไม่น่าจะเกี่ยวกับฮอร์โมน แต่ก็ควรไปตรวจเช็คให้ละเอียดสักทีค่ะ
คุณเองก็ปวกเปียก ผิดสภาพหัวหน้าครอบครัวไปมาก การไปพบผู้เชี่ยวชาญ น่าจะช่วยดึงสติคุณได้ ไปตรวจเช็คให้ดี
เผื่อมีเคมีในสมองส่วนไหนผิดปกติไป
2. คุณทั้งคู่มีเงิน ให้ใช้เงินแก้ปัญหาค่ะ
จ้างพี่เลี้ยงเด็กมาดูแลลูกและหลาน สักสองคน อย่าเสียดายเงินตรงนี้
ให้แฟนคุณได้มีโอกาสแต่งตัวสวยๆ มีเวลาอยู่กับตัวเอง หรือจะตามใจซื้อทริปเที่ยวต่างประเทศให้เธอไปคลายเครียดก็ได้
แต่ที่จะได้ผลจริงๆ คือ ให้เธอเข้าคอร์สปฏิบัติธรรม สำหรับผู้เริ่มต้น เพื่อให้เธอหัดเจริญสติ รู้เท่าทันตัวเองเวลาอารมณ์ขึ้น
ลองหาคลิป มาให้เธอฟังก่อน ดูว่าเธอถูกจริต สำนักใด หาทางอัดฉีด หารางวัลล่อใจ ให้เธอไปให้ได้สักสิบวัน
สิบวันจะเป็นเวลาที่ต่อเนื่องนานพอ ที่จะทำให้คน “เริ่ม” เห็นตัวเอง ในมุมมองใหม่ค่ะ
(ไปไม่กี่วันอาจจะไม่ได้ผล แต่ก็ดีกว่าไม่ไปเลยนะคะ)
3. แสดงให้เธอเห็นว่า คุณรักเธอ และเพราะรักเธอมากนี่แหละ คุณจะไม่ทน ให้เธอทำร้ายตัวเอง ด้วยนิสัยแย่ๆแบบนี้
และลามมาทำร้าย ดวงใจของคุณทั้งสอง ที่คุณสร้างพวกเขาขึ้นมาด้วย
แสดงให้เธอเห็นว่า ปัญหานี้ คุณต้องการแก้ไข และ “หวังผล”
เธอต้อง “พยายามมากกว่านี้ / ต้องพยายามให้สุดตัว” ที่จะแก้ไขตัวเอง
เธอต้องเสียสละ เพื่อลูก และ เพื่อคุณบ้าง
หากเธอยังไม่รู้สึกตัว หากใช้พระคุณก็แล้ว ใช้ไม้อ่อนก็แล้ว
เธอยังยืนกราน ราวกับว่า ในครอบครัวนี้ ทุกคนเป็นทาส เธอคือนางพญา
ให้คุณ จัดการให้เด็ดขาดค่ะ ขอแยกกันอยู่ หรือ จะร่างหนังสือหย่าขึ้นมา และขอเป็นผู้มีอำนาจปกครองบุตรแต่เพียงผู้เดียว
(เราไม่ปรารถนาจะให้คุณหย่ากันจริงๆ แต่คุณต้องแสดงให้สมจริง ให้เธอเห็นว่าถ้าเธอไม่เปลี่ยนนิสัย คุณก็พร้อมจะเปลี่ยนสถานะ)
ขอให้บุญคุ้มครอง เด็กน้อยสามคนนี้ ขอให้คุณและภรรยา กลับตัวกลับใจ
เป็นผู้ใหญ่ ที่รู้หน้าที่ และเลี้ยงดูให้พวกเขาโตมาอย่างมีความสุข และมีสุขภาพจิตที่ดีเยี่ยมนะคะ
ความคิดเห็นที่ 15
ขังลูกในห้องน้ำ จับหลานมัดตากแดด โอ้ยแต่ละอย่าง ถ้าอยู่เมืองนอกนี่โดนจับไปแล้วนะข้อหา child abuse
คุณบอกว่าเวลาขัดแย้งกันคุณเดินหนีไปร้องไห้ เสร็จแล้วถึงออกมาง้อภรรยา คุณรู้ตัวมั้ยว่าพฤติกรรมนี้มันส่งสัญญาณอะไรให้ภรรยาและลูก
1. มันทำให้ภรรยาเสียนิสัย และมันยิ่งสนับสนุนพฤติกรรมแย่ๆ ของเค้าไปอีก เพราะเค้ารู้ว่าเค้าไม่จำเป็นต้องคุมอารมณ์อะไร อาละวาดยังไงก็ได้ใครผิดใครถูกไม่สนเพราะสุดท้ายสามีก็ต้องมาง้อ เหมือนเด็กที่ไม่ได้ดั่งใจแล้วอาละวาดแต่แทนที่ผู้ใหญ่จะห้ามก็กลับตามใจ เด็กก็จะอาละวาดต่อไปเรื่อยๆ เพราะทำแบบนี้แล้วมันได้ผล
2. เพราะเหตุนี้มันจะเป็นตัวอย่างที่ผิดให้ลูกๆ เห็นแม่ตวาดพ่อแล้วได้ผลมากๆ เข้า เดี๋ยวเด็กก็จะจำไปว่านี่คือการแก้ปัญหา เหตุผลและความถูกต้องช่างมัน เสียงดังไว้ก่อนโวยวายไว้ก่อนเดี๋ยวชนะเอง
3. นี่ยังไม่ต้องพูดถึงว่า ลูกจะได้ความมั่นคงทางอารมณ์มาจากไหน แม่อารมณ์ขึ้นๆ ลงๆ เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย พ่อก็พึ่งไม่ได้ ในบ้านไม่มีใครปกป้องเค้าได้ สุดท้ายบ้านก็ไม่ใช่เซฟโซน
ได้เวลาคุณพ่อลุกขึ้นมาลงมือแก้ปัญหาอย่างจริงจังแล้วนะคะ ไม่ใช่ต้องลุกขึ้นมารุนแรงทำเลาะกันต่อหน้าลูกนะ แต่ควรคุยกันอย่างจริงจังว่าพฤติกรรมแบบนี้มันไม่โอเค
1. ควรจับเข่าคุย บอกไปเลยว่ารับไม่ไหว เลิกโกหกว่ารักเท่าเดิมทั้งๆ ที่จริงๆ แล้วความรู้สึกมันหดหายไปทุกวัน ให้เค้าได้รับรู้ความจริงจากผลการกระทำของตัวเองบ้างค่ะ ไม่ใช่ให้ภรรยานึกมโนไปเองว่าฉันทำตัวแย่แค่ไหนสามีก็ยังรัก
แต่ในขณะเดียวกัน ก็ยืนยันด้วยว่าคุณยังอยากจะไปต่อและพร้อมจะช่วยเค้าแก้ปัญหา และช่วยกันหาต้นตอของอารมณ์เสีย ถ้าเครียดเพราะเลี้ยงลูกตลอดเวลาก็ให้เวลาภรรยาไปทำอะไรส่วนตัวบ้าง เซอร์ไพรส์เค้าซื้อคอร์สสปาเสริมสวยอะไรบ้างก็ได้ หรือจ้างพี่เลี้ยงเลยก็ได้ถ้าเงินไม่ใช่ปัญหา
2. ยื่นเงื่อนไขให้ภรรยาว่าเค้าต้องไปหาจิตแพทย์ค่ะ ในขณะที่คุณพร้อมช่วยเค้า เค้าก็ต้องออกแรงปรับปรุงตัวเองด้วย ไม่ใช่ว่าเค้าบ้า แต่เค้าต้องเรียนรู้เรื่อง anger control และการปล่อยวางเวลาลูกไม่ได้ดั่งใจ โตแล้วค่ะ เวลาไม่ได้ดั่งใจต้องแก้ปัญหาให้ดีกว่านี้ไม่ใช่อาละวาดเป็นเด็กอายุ 3 ขวบ
3. เลิกสนับสนุนพฤติกรรมแย่ๆ ของภรรยา เวลามีเรื่องขัดแย้งกัน เลิกเดินหนีมาร้องไห้คนเดียว (คือแม้แต่ตัวคุณยังไม่ชอบเวลาภรรยาเป็นแบบนั้นแต่คุณก็ปล่อยลูกให้เจออารมณ์ร้ายของแม่คนเดียวเนี่ยนะ?) คุณควรพาลูกออกมาด้วย ให้แม่เค้าสงบสติอารมณ์ก่อน ภรรยาจะได้เรียนรู้ว่าเวลาอารมณ์เสียมันไม่มีใครอยากคุยด้วยหรืออยากอยู่ใกล้หรอกเพราะมัน toxic
ใหม่ๆ เราคิดว่าภรรยาคงอาละวาดหนักกว่าเดิม ซึ่งคุณต้องหนักแน่น ยืนยันว่าคุณและลูกจะไม่คุยกับเค้าจนกว่าจะสงบสติอารมณ์ก่อน จะพาลูกหนีไปบ้านพ่อแม่เลยก็ได้ค่ะ
4. คุยกับลูกด้วยค่ะ คุยนอกรอบพ่อลูกก่อนก็ได้ ว่าเวลาโดนแม่ตวาด ตะคอก จับขังห้องน้ำ เค้ารู้สึกแย่ขนาดไหน ขอโทษลูกที่ก่อนหน้านี้พ่อห้ามแม่ไม่ได้ จากนั้นค่อยคุยทั้งครอบครัวให้แม่ได้รับฟีดแบ็คจากลูกบ้างจะได้รู้ตัวเอง อย่าลืมให้สัญญากับลูกด้วยค่ะว่าจากนี้จะปกป้องลูกมากกว่าเดิม แล้วทำให้ได้อย่างที่สัญญาด้วยนะคะ
เป็นกำลังใจให้นะคะ ถ้าสุดท้ายมันจะถึงทางตัน ต้องแยกทางก็ต้องแยกค่ะ มีพ่อคนเดียวแต่มีความมั่นคงทางอารมณ์ ดีกว่ามีพ่อแม่พร้อมแต่เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายหาความสงบไม่เจอ รีบแก้ก่อนที่ลูกจะเป็นเด็กมีปัญหาถาวรค่ะ
เพิ่มเติมอีกอย่าง คุยกับภรรยาเลยค่ะว่าหลานชายน่ะส่งคืนที่บ้านไปเถอะ ลูกตัวเองยังเอาไม่รอดเลยอย่าหาปัญหามาเพิ่มค่ะ บอกเค้าไปตรงๆ นั่นแหละว่าเลี้ยงไม่ไหว
คุณบอกว่าเวลาขัดแย้งกันคุณเดินหนีไปร้องไห้ เสร็จแล้วถึงออกมาง้อภรรยา คุณรู้ตัวมั้ยว่าพฤติกรรมนี้มันส่งสัญญาณอะไรให้ภรรยาและลูก
1. มันทำให้ภรรยาเสียนิสัย และมันยิ่งสนับสนุนพฤติกรรมแย่ๆ ของเค้าไปอีก เพราะเค้ารู้ว่าเค้าไม่จำเป็นต้องคุมอารมณ์อะไร อาละวาดยังไงก็ได้ใครผิดใครถูกไม่สนเพราะสุดท้ายสามีก็ต้องมาง้อ เหมือนเด็กที่ไม่ได้ดั่งใจแล้วอาละวาดแต่แทนที่ผู้ใหญ่จะห้ามก็กลับตามใจ เด็กก็จะอาละวาดต่อไปเรื่อยๆ เพราะทำแบบนี้แล้วมันได้ผล
2. เพราะเหตุนี้มันจะเป็นตัวอย่างที่ผิดให้ลูกๆ เห็นแม่ตวาดพ่อแล้วได้ผลมากๆ เข้า เดี๋ยวเด็กก็จะจำไปว่านี่คือการแก้ปัญหา เหตุผลและความถูกต้องช่างมัน เสียงดังไว้ก่อนโวยวายไว้ก่อนเดี๋ยวชนะเอง
3. นี่ยังไม่ต้องพูดถึงว่า ลูกจะได้ความมั่นคงทางอารมณ์มาจากไหน แม่อารมณ์ขึ้นๆ ลงๆ เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย พ่อก็พึ่งไม่ได้ ในบ้านไม่มีใครปกป้องเค้าได้ สุดท้ายบ้านก็ไม่ใช่เซฟโซน
ได้เวลาคุณพ่อลุกขึ้นมาลงมือแก้ปัญหาอย่างจริงจังแล้วนะคะ ไม่ใช่ต้องลุกขึ้นมารุนแรงทำเลาะกันต่อหน้าลูกนะ แต่ควรคุยกันอย่างจริงจังว่าพฤติกรรมแบบนี้มันไม่โอเค
1. ควรจับเข่าคุย บอกไปเลยว่ารับไม่ไหว เลิกโกหกว่ารักเท่าเดิมทั้งๆ ที่จริงๆ แล้วความรู้สึกมันหดหายไปทุกวัน ให้เค้าได้รับรู้ความจริงจากผลการกระทำของตัวเองบ้างค่ะ ไม่ใช่ให้ภรรยานึกมโนไปเองว่าฉันทำตัวแย่แค่ไหนสามีก็ยังรัก
แต่ในขณะเดียวกัน ก็ยืนยันด้วยว่าคุณยังอยากจะไปต่อและพร้อมจะช่วยเค้าแก้ปัญหา และช่วยกันหาต้นตอของอารมณ์เสีย ถ้าเครียดเพราะเลี้ยงลูกตลอดเวลาก็ให้เวลาภรรยาไปทำอะไรส่วนตัวบ้าง เซอร์ไพรส์เค้าซื้อคอร์สสปาเสริมสวยอะไรบ้างก็ได้ หรือจ้างพี่เลี้ยงเลยก็ได้ถ้าเงินไม่ใช่ปัญหา
2. ยื่นเงื่อนไขให้ภรรยาว่าเค้าต้องไปหาจิตแพทย์ค่ะ ในขณะที่คุณพร้อมช่วยเค้า เค้าก็ต้องออกแรงปรับปรุงตัวเองด้วย ไม่ใช่ว่าเค้าบ้า แต่เค้าต้องเรียนรู้เรื่อง anger control และการปล่อยวางเวลาลูกไม่ได้ดั่งใจ โตแล้วค่ะ เวลาไม่ได้ดั่งใจต้องแก้ปัญหาให้ดีกว่านี้ไม่ใช่อาละวาดเป็นเด็กอายุ 3 ขวบ
3. เลิกสนับสนุนพฤติกรรมแย่ๆ ของภรรยา เวลามีเรื่องขัดแย้งกัน เลิกเดินหนีมาร้องไห้คนเดียว (คือแม้แต่ตัวคุณยังไม่ชอบเวลาภรรยาเป็นแบบนั้นแต่คุณก็ปล่อยลูกให้เจออารมณ์ร้ายของแม่คนเดียวเนี่ยนะ?) คุณควรพาลูกออกมาด้วย ให้แม่เค้าสงบสติอารมณ์ก่อน ภรรยาจะได้เรียนรู้ว่าเวลาอารมณ์เสียมันไม่มีใครอยากคุยด้วยหรืออยากอยู่ใกล้หรอกเพราะมัน toxic
ใหม่ๆ เราคิดว่าภรรยาคงอาละวาดหนักกว่าเดิม ซึ่งคุณต้องหนักแน่น ยืนยันว่าคุณและลูกจะไม่คุยกับเค้าจนกว่าจะสงบสติอารมณ์ก่อน จะพาลูกหนีไปบ้านพ่อแม่เลยก็ได้ค่ะ
4. คุยกับลูกด้วยค่ะ คุยนอกรอบพ่อลูกก่อนก็ได้ ว่าเวลาโดนแม่ตวาด ตะคอก จับขังห้องน้ำ เค้ารู้สึกแย่ขนาดไหน ขอโทษลูกที่ก่อนหน้านี้พ่อห้ามแม่ไม่ได้ จากนั้นค่อยคุยทั้งครอบครัวให้แม่ได้รับฟีดแบ็คจากลูกบ้างจะได้รู้ตัวเอง อย่าลืมให้สัญญากับลูกด้วยค่ะว่าจากนี้จะปกป้องลูกมากกว่าเดิม แล้วทำให้ได้อย่างที่สัญญาด้วยนะคะ
เป็นกำลังใจให้นะคะ ถ้าสุดท้ายมันจะถึงทางตัน ต้องแยกทางก็ต้องแยกค่ะ มีพ่อคนเดียวแต่มีความมั่นคงทางอารมณ์ ดีกว่ามีพ่อแม่พร้อมแต่เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายหาความสงบไม่เจอ รีบแก้ก่อนที่ลูกจะเป็นเด็กมีปัญหาถาวรค่ะ
เพิ่มเติมอีกอย่าง คุยกับภรรยาเลยค่ะว่าหลานชายน่ะส่งคืนที่บ้านไปเถอะ ลูกตัวเองยังเอาไม่รอดเลยอย่าหาปัญหามาเพิ่มค่ะ บอกเค้าไปตรงๆ นั่นแหละว่าเลี้ยงไม่ไหว
ความคิดเห็นที่ 10
ไม่ต้องถามแล้วนะคะ ว่าภรรยาจะยอมไปหาหมอหรือ แต่ต้องไปหาหมอเท่านั้น ไม่งั้น จขกท ก็ขนลูกกลับบ้านพ่อแม่ตัวเองเลย
หลานชาย ถ้าไม่ไหวจริงๆ ส่งกลับบ้านไป โดยบอกทางบ้านเด็กได้เลยว่า ภรรยาคุณไม่สามารถควบคุมอารมณ์โกรธได้ และหลานเป็นสมาธิสั้น
ฟังแล้วสงสารเด็กๆ มากค่ะ แต่ละอย่าง ถ้าเป็นที่กฎหมายแรงๆ เข้าข่าย Child Abuse ไปแล้ว ดีไม่ดีจะโดนห้ามเข้าใกล้ลูกเลยด้วยซ้ำไป
อย่าปล่อยให้เวลาเนิ่นนานไปมากกว่านี้ มันจะมีผลเสียทั้งเรื่องการระงับอารมณ์โกรธของภรรยาคุณเอง
และสุขภาพจิตของเด็กๆ ด้วยค่ะ
จขกท ต้องจริงจังกับการแก้ปัญหาได้แล้ว
หลานชาย ถ้าไม่ไหวจริงๆ ส่งกลับบ้านไป โดยบอกทางบ้านเด็กได้เลยว่า ภรรยาคุณไม่สามารถควบคุมอารมณ์โกรธได้ และหลานเป็นสมาธิสั้น
ฟังแล้วสงสารเด็กๆ มากค่ะ แต่ละอย่าง ถ้าเป็นที่กฎหมายแรงๆ เข้าข่าย Child Abuse ไปแล้ว ดีไม่ดีจะโดนห้ามเข้าใกล้ลูกเลยด้วยซ้ำไป
อย่าปล่อยให้เวลาเนิ่นนานไปมากกว่านี้ มันจะมีผลเสียทั้งเรื่องการระงับอารมณ์โกรธของภรรยาคุณเอง
และสุขภาพจิตของเด็กๆ ด้วยค่ะ
จขกท ต้องจริงจังกับการแก้ปัญหาได้แล้ว
แสดงความคิดเห็น
ภรรยาชอบดุลูกแรง ๆ
ผมกับภรรยาแต่งงานมาปีนี้ครบ 10 ปี (่เป้นแฟนกันมาก่อนอีก 8 ปี) มีลูกสาวด้วยกัน 2 คน ตอนเป็นแฟนกันก็ดูเป็นคนร่าเริงแจ่มใสตามปกติ แต่ลึก ๆ จะอารมณ์ขี้โมโห งอนง่าย ทำเรื่องเล็กเป็นเรื่องใหญ่ แต่ผมในตอนนั้นก็พอจะทนได้ ประกอบกับเธอก็ดูจะรู้ตัวบางครั้ง ก็มีเข้ามาขอโทษผม ซึ่งผมก็โอเคนะ
หลังจากแต่งงานกัน (แต่งงานตอนอายุ 33 และเราอายุเท่ากัน) และมีลูกสาวคนแรก เธอก็รักลูกน้อยเฉกเช่นแม่ทั่ว ๆ ไป พอลูกสาวอายุได้ 2 ขวบครึ่ง เราก็มีลูกสาวคนที่สอง ทุกอย่างดำเนินไปตามปกติ มีงอนมีทะเลาะบ้างก็ประปรายทั่วไป แต่พอลูกสาวคนโตเข้าสู่วัยกำลังซน (สัก 4 ขวบ) ผมสังเกตว่าภรรยาเริ่มมีความเครียดกับลูก เมื่อก่อนเคยพูดจาดี ๆ กับลูก ก็เริ่มเปลี่ยนเป็นการใส่อารมณ์ด้านลบกับลูกมากขึ้น (ผมไม่ได้ปล่อยให้ภรรยาเลี้ยงลูกคนเดียวนะ ผมก็ช่วยเลี้ยงสุดความสามารถด้วย) ซึ่งพอจะเข้าใจได้เพราะภรรยาเป็นแม่บ้านต้องเผชิญกับความซนความดื้อของเด็ก 2 คนตลอดเวลา
แต่ทีนี้พอผ่านไปนานวันเข้า ๆ อารมณ์ลบของภรรยามันเริ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ เธอดุลูก (ไม่ได้ด่าลูกนะครับ ไม่มีคำหยาบ) แบบตะโกนลั่นบ้าน หน้าดำคร่ำเครียด ด้วยเหตุที่ลูกทำผิดหรือทำไม่ได้ดั่งใจ (ตอนนั้นลูกสาวคนโตก็ประมาณอนุบาล 1-2 เท่านั้นเอง) หนังสือวิธีเลี้ยงลูกเธอซื้อมาเต็มบ้านแต่เชื่อไหมครับว่าไม่เคยเปิดเลยแม้แต่หน้าเดียว (ผมมาคิด ๆ ว่าเธอน่าจะเป็นโรคชอบสะสมหนังสือแต่ไม่อ่าน เพราะเล่มอื่น ๆ ก็เป็นแบบนี้) เธอเริ่มมีวิธีการแปลก ๆ ที่จะทำให้ลูกกลัวและยอมเชื่อฟัง เช่น เอาลูกไปขังในห้องน้ำ ในห้องเก็บของ ตะคอกลูกอย่างดุเดือดเสียงดังไปถึงถนนหน้าบ้าน ผมพยายามบอกเธอว่าดุลูกสั่งสอนลูกน่ะทำได้ แต่ขอให้เบา ๆ เสียงลง อย่าตะคอก ตะเบ็ง ตะโกน ซึ่งตอนนั้นเธอก็เหมือนจะรู้สึกตัวและทำตามอยู่บ้าง
แต่สิ่งแรกที่ทำให้ภรรยาเจ้าอารมณ์มากขึ้นไปอีก คือ การที่ต้องรับเลี้ยงหลานชายของภรรยาให้มาเรียนมาอยู่ด้วยกัน (มาเข้าอนุบาล 1) เพราะพ่อแม่เขายุ่งกับการขายของทั้งวันและอยากให้ได้มาเรียนโรงเรียนที่ดีกว่าแถวบ้าน ซึ่งใหม่ ๆ เธอก็ดุหลานชายไปตามปกติทั่วไป แต่เนื่องจากเจ้าหลานชายมีพฤติกรรมที่ดื้อเงียบ ตีมึนกับคำสั่งบ่อย ๆ ทำให้ภรรยาเริ่มอารมณ์เสียมากยิ่งขึ้น เคยขังหลานชายไว้ในห้องน้ำ เอาเชื่อกมัดไพล่หลังแล้วให้นั่งตากแดดหลังบ้าน ฯลฯ ซึ่งผมก็เคยพูดแล้วว่าอย่าทำ แต่เธอก็บอกนี่หลานเธอ ผมเลยนิ่งเสีย (แต่ก็พยายามแซะ ๆ บ้างตอนเธออารมณ์ดี) โชคดีที่หลานชายไม่ไปฟ้องพ่อแม่เขาเพราะคงยังเด็กและคิดว่าเป็นเรื่องปกติ หรือมิฉะนั้นก็คงกลัวได้กลับไปเรียนโรงเรียนแถวบ้านเพราะมีเพื่อนที่นี่ไปแล้ว
ภายหลังผมแอบสงสัยพฤติกรรมผิดปกติบางอย่างของหลานชายเลยสืบค้นพบว่าน่าจะเป็น สมาธิสั้น ก็เลยพาไปหาหมอเพื่อตรวจเช็คซึ่งผลก็เป็นสมาธิสั้นจริง ๆ สิ่งนี้แทนที่ภรรยาจะเข้าใจและทำตามคำแนะนำในการเลี้ยงดูเด็กสมาธิสั้น กลับปรากฎว่าเธอเหมือนเข้าใจเป็นพัก ๆ แต่บทที่จะดุรุนแรงเธอก็ทำโดยไม่ใส่ใจหลานชายเลยว่าเป็นสมาธิสั้น (ตรงนี้ผมเข้าใจภรรยาอยู่หน่อยนึงเพราะเจ้าหลานชายบางทีก็แกล้งมึน แกล้งลืม โกหก ดื้อเงียบจริง ๆ ไอ้ครั้นทุกอย่างจะโยนมาที่การเป็นสมาธิสั้นอย่างเดียวก็ไม่น่าจะใช่ น่าจะเป็นนิสัยส่วนตัวด้วย) การกระตุ้นอารมณ์โมโหจากหลานชายก็ลามไปสู่การใส่อารมณ์กับลูกสาวทั้งสองด้วย พฤติกรรมการตะคอกตะโกนใส่ลูกเริ่มมีอย่างต่อเนื่อง ยิ่งพอผมพูดผมปรามกลับยิ่งโมโห และลงเอยด้วยการทะเลาะกันต่อหน้าลูก ด้วยประสบการณ์ที่ไม่ดีในวัยเด็กของผมทำให้ผมไม่อยากทำกับลูกแบบที่ผมเคยโดนมาก่อน เกือบทุกครั้งผมจะเป็นฝ่ายเดินหนีไปหลบร้องไห้อยู่บนห้องนอนอีกห้องหนึ่งคนเดียว ต่อด้วยการทะเลาะกันต่อในแชต และแน่นอนว่าสิ่งนี้ยิ่งทำให้เธออารมณ์ร้ายมากยิ่งขึ้น เธอยิ่งประชดผมด้วยการดุลูกอย่างรุนแรงให้ดังทั่วบ้านกว่าเดิม ตอนนั้นผมสงสารลูกมาก วันต่อมาผมเลยยอมที่จะมาง้อแม้ว่าผมจะไม่ผิดก็ตาม เพื่อให้สถานการณ์มันดีขึ้น เพื่อไม่ให้ลูกรู้สึกแย่ไปกว่านี้
เรื่องต่อมาที่ทำให้เธออารมณ์ร้ายมากขึ้นจนผมคิดว่าผมไม่ไหวแล้ว คือ การสูญเสียคุณแม่ของภรรยาซึ่งแม้จะทำใจกันไว้ล่วงหน้าแต่ก็ไม่คิดว่าท่านจะไปเร็วกว่าคาด แม่ภรรยาเป็นคนใจดีใจเย็น ภรรยาเคยเล่าว่าสอนลูก ๆ ด้วยความนุ่มนวล มียกตัวอย่างประกอบ (ซึ่งผมงงมากว่าทำไมภรรยาผมไม่ได้จากแม่เขาเลย แต่เดาว่าได้จากย่าของเขาที่ชอบถือไม้เรียวเดินฟาดลูกหลาน) วันแรกของงานศพ เธอแอบเดินมากระซิบกับผมว่า ต่อไปนี้เธอจะเลิกอารมณ์เสียแล้ว ซึ่งผมแอบดีใจมากและคิดว่าคงเพราะเธออยากเปลี่ยนไปเป็นในแบบที่แม่ของเธอเป็นและเพื่อให้วิญญาณแม่สบายใจ แต่สิ่งที่ผมคิดมันผิดถนัด หลังงานศพผ่านพ้นไปเธอก็ทำพฤติกรรมเหมือนเดิมอีก และแถมหงุดหงิดกับเด็ก ๆ ง่ายกว่าเดิมอีกด้วยอย่างเห็นได้ชัด เธอแทบไม่เคยโอบกอดลูกเลยยกเว้นตอนที่ลูกได้รางวัลทางวิชาการหรือกีฬา (ลูกสาวเป็นคนเรียนหนังสือเก่ง) มีวันหนึ่งภรรยาเจอเพื่อนในวัยเด็กซึ่งสนใจเรื่องธรรมะโดยบังเอิญที่สุสานคนญวน (มาเคารพแม่ที่เสียไปแล้วเหมือนกัน) เพื่อนเธอบอกว่าแม่เธอมาบอกผ่านเพื่อนเธอมาว่าอย่าอารมณ์เสียกับลูกกับผัว (ซึ่งภรรยาตกใจมากเพราะเป็นไปไม่ได้ที่คนนอกจะรู้เรื่อง เลยเชื่อว่าแม่มาเตือนเธอจริง ๆ) แต่กระนั้นถึงแม้วิญญาณแม่ของเธอถึงขนาดมาบอกด้วยตัวเอง แต่เธอก็ยังคงทำพฤติกรรมเหมือนเดิม
และแน่นอนว่า นอกจากจะอารมณ์เสียกับลูกอย่างรุนแรงแล้ว เธอก็หันมาอารมณ์เสียกับผมด้วยแม้แต่ในเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ จนถึงบางครั้งพาดพิงถึงครอบครัวผมด้วย ซึ่งผมไม่เคยคิดว่าภรรยาจะเป็นคนแบบนี้ ผมเองเคารพไม่เคยพาดพิงครอบครัวเขาเลย แต่ว่าการพาดพิงยังถือว่าไม่รุนแรงมากนัก ผมพอทนได้ แต่ผมกังวลเรื่องลูกมากกว่า
ผมควรทำอย่างไรดีครับ ผมกลัวลูกสาวผมสักวันจะเครียดและฆ่าตัวตาย ลูกจะมีค่าก็ต่อเมื่อมีรางวัลบางอย่างมาให้แม่เขาโพสอวดในเฟสบุ๊ค ผมรักภรรยามากแต่ด้วยเหตุการณ์ต่าง ๆ ผมยอมรับเลยว่าความรักมันน้อยลงเรื่อย ๆ (ทุกวันนี้ผมต้องโกหกว่ายังรักเหมือนเดิมถ้าวันไหนเขาถาม) ผมพยายามบอกเขาให้ใจเย็นและค่อยพูดจากับลูกก็ได้แต่สุดท้ายก็จบด้วยการทะเลาะกัน และก็เป็นผม (เกือบทุกครั้ง) ที่ต้องไปง้อคืนดีเพราะสงสารลูก (เธอเป็นคนง้อยากมาก จนผมเหนื่อยมาก) ไม่อยากให้ลูกเห็นพ่อแม่เป็นแบบนี้ ผมเคยบอกว่าทุกอย่างผมอดทนได้ ผมไม่เคยขออะไร ของขวัญปีใหม่วันเกิดผมไม่ต้องการ ขออย่างเดียวคือให้ใจเย็นกับลูก แต่ก็ไม่เป็นผล ผมเคยคิดจะเลิกแต่ก็กลัวผลกระทบต่อจิตใจเด็กและเอาจริงก็กลัวว่าเธอจะยิ่งหนักข้อกับลูกกว่าเดิมเป็นทวีคูณ ที่สำคัญความคิดที่จะเลิกกันแทบไม่เคยอยู่ในหัวผมมาก่อน ผมเคยคิดแต่จะประคองไปให้นานที่สุดเพราะไม่อยากให้ลูกรู้สึกแย่ ภรรยาผมยามอารมณ์ดีเขาก็ดีแต่ถ้ามีอะไรมาสะกิดนิดเดียวจะเปลี่ยนโหมดทันที เรื่องนี้พี่น้องเขารู้กันหมดแต่พูดเตือนไม่ได้เลย ผมเคยพูดสนุก ๆ ตอนเขาอารมณ์ดีว่าเธอน่าจะไปหาหมอเช๋็คโรคซึมเศร้านะ แต่ภรรยาก็บอกว่าเธอไม่น่าจะเป็นหรอก แต่ผมว่าเธอน่าจะต้องผิดปกติบางอย่างแน่ ๆ แต่ผมจะไปบังคับให้เธอไปหาหมอหรือแกล้งให้ทำแบบทดสอบได้อย่างไรถ้าเธอไม่ยอม
นานวันเข้าเรื่องนี้มันกัดกร่อนจิตใจผมเรื่อย ๆ ผมควรต้องทำอย่างไรดีครับ จะให้สวดมนต์นั่งสมาธิภรรยาก็คงไม่ทำ เพราะเธอเชื่อว่าเธอไม่ผิด ผิดที่ลูกไม่ยอมเป็นดั่งใจเธอต้องการต่างหาก ผมบอกลูกยังเด็กโตไปก็ค่อย ๆ ดีขึ้น เธอก็เถียงว่าตอนเด็กยังขนาดนี้แล้วตอนโตจะขนาดไหน ทุกวันนี้ผมได้แต่อดทน นิ่งเสีย ทำเท่าที่ทำได้ด้วยการกอดเด็ก ๆ บ่อย ๆ พูดดี ๆ เป็นการชดเชยในสิ่งที่แม่เขาทำ
ขอบคุณที่ทำให้ผมมีที่ระบาย ผมไม่กล้าเล่าเรื่องนี้ให้ใครฟังเลย เก็บมันไว้คนเดียว ผมอาจเรียบเรียงได้ไม่ดีนัก ต้องขอโทษล่วงหน้าด้วยครับ