เกิดขึ้นได้ไหม ? หมอวินิจฉัยโรคผิดกลายเป็นผู้ป่วยมะเร็งแต่ที่จริงแล้วไม่ได้เป็น

สวัสดีค่ะทุกท่านวันนี้เรามีสิ่งที่อยากทราบและอยากรู้ หรือ อยากอ่านประสบการณ์จากท่านอื่นๆ ที่ได้รับการรักษาตัวอยู่ หรือ มีญาติ คนรู้จักที่ได้รับการรักษาตัวอยู่ เจอเหตุการณ์แบบนี้เหมือนกันหรือไม่ ก็คงเป็นไปตามหัวข้อเลยค่ะ 
ว่าในกรณีนี้มันเกิดขึ้นได้จริงไหม หรือ เกิดขึ้นไม่ได้เลย การตั้งกระทู้นี้ขึ้นมาไม่ได้อยากดิสเครดิตโรงพยาบาลไหนและงดถามโรงพยาบาลที่กำลังรับการรักษาตัวอยู่นะคะ เพื่อป้องกันการดราม่าและข้อกฎหมายยการหมิ่นประมาทที่อาจเกิดขึ้นได้
แต่ทั้งนี้ที่ตั้งกระทู้นี้ขึ้นมาเพราะมีความสงสัยกับสิ่งที่กำลังเผชิญอยู่จริงๆค่ะ 

ขอบคุณค่ะ ยิ้ม 

โดยการตั้งคำถาม จะเป็นการเล่าเรื่องไปด้วยเพื่อยกเหตุการณ์คร่าวๆแบบสั้นๆให้ได้เข้าใจเหตุการณ์นั้นๆนะคะ 

- โรงพยาบาลสามารถวินิจฉัยโรคผิดได้หรือไม่คะ
   >> กรณีที่เจออยู่ ( เรื่องที่ 1) : ด้วยอาการที่มีผลวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็ง และก่อนเข้าการรักษาจึงต้องมีผลการตรวจชิ้นเนื้อที่แน่ชัดจากทางห้องแลป 
                                เราได้ทำหัตถการนี้ ถึง 2 ครั้งคือการเจาะชิ้นเนื้อไปตรวจ ครั้งที่ 1 ผลออกมาแน่ชัดว่า "ไม่ใช่มะเร็ง "แต่ก้อนเนื้อนั้นคือ"ก้อนไขมัน"
                               แต่  ทางหมอที่ไม่ใช่เข้าของเคส แต่เป็นลูกน้องของคุณหมอเจ้าของเคสแจ้งว่า ไม่มั่นใจเพราะคิดว่ายังไงก็มะเร็ง 100% และตบท้ายด้วยคำพูดที่ว่า ถ้าไม่เจาะวันนี้คุณก็อยู่ได้อีกแค่ไม่กี่เดือนนะคับเพราะมันจะไม่ได้รับการรักษาต่อ และจะหลุดจากการเป็นผู้ป่วยโรงพยาบาลนี้นะถ้ากลับมาอีกทีเพื่อรักษาคือต้องเริ่มนับ 1 ใหม่ทั้งหมด  ซึ่งตอนที่ทางเขาแจ้งว่าจะต้องทำหัตถการเจาะตับเพื่อเอาชิ้นเนื้ออีกครั้ง เราเองไม่ยอม แต่ถ้ายืนยันจะตรวจให้ได้ และทางครอบครัวกลัวว่าจะมีปัญหาภายหลังเลยให้ยินยอมไป และแน่นอนผลแลปครั้งที่ 2 ออกมาว่า "เป็นมะเร็ง" 

เสริมจากเรื่องข้างบน : ก่อนหน้าที่จะตัดสินใจเข้ารักษาตัวกับที่โรงพยาบาลนี้ทางเราได้เคยไปตรวจหาสาเหตุของโรคจากโรงพยาบาลเอกชนชื่อดังมาแล้ว 1 ครั้งซึ่งตอนนั้นทางคุณหมอก็แนะนำให้ทำการตรวจชิ้นเนื้อที่ตับไปเลย จะได้รู้แนวทางการรักษาต่อไป ซึ่งการวินิจฉัยที่ได้ผลแน่นอนเลย 100% คือการเจาะชิ้นเนื้อที่ตับโดยตรงไปตรวจ ซึ่งผลที่ได้จะรู้ได้แน่แท้ 100% ว่าก้อนเนื้อที่เกิดขึ้นนั้นคือก้อนอะไร
 แต่ด้วยเรื่อวค่าใช้จ่ายที่โรงพยาบาลนั้นสูงอยู๋ที่ 6 หลัก ทางเราไม่ไหวที่จะจ่าย และบวกกับว่ามีคนแนะนำ อาจารย์หมอที่โรงพยาบาลปัจจุบันที่กำลังรักษาอยู่ และ สามารถเบิกค่าใช้จ่ายได้ตามสิทธิ์ที่เรามีเลยตัดสินใจมาที่นี้ 

  >> กรณีที่เจออยู่ (เรื่องที่ 2) : อาการติดเชื้อแทรกซ้อนที่เกิดขึ้น แต่พอถามอาการหรือ ผลจากคุณหมอคุณหมอแจ้งว่าไม่ทราบว่าคือติดเชื้อจากอะไร และ ต้องกินยาฆ่าเชื้อจนถึงเมื่อไหร่ และต้องรักษาอาการติดเชื้อนี้อยู่ประมาณ 1 เดือนกว่าๆ โดยการแอดมิด และ วันนึงก็พบว่าเชื้อที่ติดอยู๋นั้นกลายเป็นเชื้อประจำถิ่นของตัวเราเอง และเป็นเชื้อดื้อยา ต้องกินยาฆ่าเชื้อไปเรื่อยๆ ถึงแม้ว่า ผลเลือดจะออกมาว่าค่าติดเชื้อไม่มีแล้วก็ตาม และการที่เรากลายเป็นมีเชื้อประจำถิ่นของตัวเราเอง และเป็นเชื้อดื้อยา ทำให้การต้องแอดมิดในแต่ละครั้งเราต้องจองเป็นห้องเดี่ยว 3000+ ขึ้นไป และหลายครั้งที่เราต้องเสียเวลาและจ่ายค่าห้องไปฟรีๆ เพราะรอหมอประจำวอดมาตรวจ แต่ก็ไม่มาและเราก็ไม่ได้มีหัตถการอื่นๆที่ทำ พอเราถามพยาบาล พยาบาลให้คำตอบว่า คุณหมอขึ้นมาวอดแล้วนะคะ คุณหมอไม่ได้มาหาหรอกหรอ และการที่หมอไม่ได้มาพบทำให้หมอไม่ได้เขียนรายงาน และไม่สามารถที่จะออเดอร์ยา หรือ ทำอะไรต่อได้ และจุดพีคที่สุดที่เรารู้สึกว่า มันน่าจะแปลกและเราเองคงไม่ได้คิดไปเองคือ 

มีพยาบาล 1 คนเข้ามาทำเช็คอัพประจำวันเป็นพยาบาลที่ค่อนข้างมีตำแหน่งในวอดนั้นบอกกับเราว่า เรานอนอยู่ทำไมนะ ทำไมหมอไม่ให้กลับบ้านสะที ทั้งๆที่ไม่ได้เป็นอะไรแล้ว เสียดายค่าห้อง และก็เล่าเรื่องราวการยืดเวลาให้คนไข้แอดมิดไปแบบเสียฟรีที่ได้ฟังแล้วก็ไม่คิดว่าเขาจะทำจริงๆ แต่สิ่งที่เจออยู่มันก็ชวนให้คิดว่าก็คงมีมูล + กับเรื่องการเอาคนไข้เป็นการทดลองสูตรการศึกษาโดยที่คนไข้ไม่รับรู้เรื่องนี้ ตามที่แจ้งเมื่อครู่นี้ว่า ไม่คิดว่าจะเป็นเรื่องจริงถ้าสิ่งที่เจออยู่มันไม่ชวนให้คิด 

>> กรณีที่เจออยู่ (เรื่องที่ 3) : ตำแหน่งและลักษณะของมะเร็งที่ชวนงง 
                                           ครั้งแรกที่หมอแจ้ง หมอแจ้งว่าเป็นก้อนใหญ่และมีลักษณะมีขาออกมาจากตัวก้อน5ขาเกาะอยู่ที่ตับ ครั้งที่สองบอกว่าเป็นลักษณะการกระจาย ออกไปแต่ละจุด ไม่ได้มีลักษณะเป็นก้อน ซึ่งครั้งล่าสุดที่เห็นผลจาก TC scanแล้ว ก็เป็นลักษณะการกระจายออกไปแต่ละจุด แล้วสรุปมันยังไงแล้วก้อนแรกไปไหนแล้ว ก็แอบสงสัย ซึ่งได้ทำการถามแล้วแต่ก็ไม่ได้คำตอบ ได้แค่ว่า เป็นลักษณะการกระจายออกไปแต่ละจุด แค่นั้น และจากครั้งแรกตำแหน่งอยู่ที่ตับ แต่ครั้งที่ 2 อยู่ที่ท่อน้ำดี เข้าใจว่าทางกายภาพมันเป็นจุดที่เชื่อมต่อกัน แต่ก้อนมะเร็งจริงๆแล้วมันสามารถเคลื่อนย้ายตัวเองได้หรือ มันไม่ได้เป็นการเกาะและเป็นก้อนอยู่ในตำแหน่งนั้นๆหรอ 

>> กรณีที่เจออยู่ (เรื่องที่ 4) : การแจ้งคนไข้และญาติที่ดูกลับไปกลับมา 
                                           เรื่องนี้คงเป็นเรื่องการจ่ายยา การตรวจในแต่ละครั้ง และการแจ้งอาการที่ฟังแล้วสรุปยังไงจะดีขึ้นไหมนะ
ซึ่งกรณีเกิดขึ้นหลายครั้ง และหลายครั้งก็คิดว่า เราเองที่ฟังและตีความไม่ดีเองรึเปล่านะ จนครั้งนึงชวนคนที่เข้าใจเรื่อง และมีประสบการณ์กับการดูแลผู้ป่วยมะเร็งมารับฟังด้วยกันเพื่อจับใจความให้เรา ผลที่ได้คือ คนนั้นก็มีความสับสนกับสารที่ได้ จนต้องรีแคปกับหมออยู่หลายครั้งและสรุปอาการอีกหลายๆครั้ง ถามย้ำอีกหลายครั้ง ว่าแบบนี้เข้าใจถูกมั้ย 
                                           การจ่ายยา ช่วงเเรกของบทสนทนาหมอแจ้งว่าอาการน่าเป็นห่วงอาจจะต้องปรับยาที่แรงขึ้นนะ เราเลยสอบถามเพื่อหาทางออกที่ดีที่สุด เรื่องตัวยาฆ่าเชื้อตัวเดิมที่ทานต่อเนื้องมาเป็นเวลาหลายเดือน บวกกับเชื้อดื้อยาที่เรามี เราเลยปรึกษาคุณหมอว่า เราควรเปลี่ยนยาหรือ ปรับยาไหม และหมอบอกว่าใช่ และ ขอแอดมิดยาวๆอีกครั้งอย่างน้อย 7 วัน เพราะรักษาอาการติดเชื้อ  ทางเราไม่สะดวกที่จะแอดมิดด้วยเหตุและผลหลายอย่าง และบวกกับอาการที่เรามีมันไม่ได้หนักเท่ากับครั้งก่อนๆที่เคยเป็น และผลเลือดมันก็ไม่ถึงขนาดที่ต้องแอดมิด  หลักจากคุยกันไปมาจบด้วยที่การไม่ได้แอดมิด และหมอจะจ่ายยาฆ่าเชื้อกลับไปทานที่บ้าน เราเลยถามว่าปรับยาใช่มั้ย แต่หมอแจ้งว่าไม่ปรับ คิดว่ายาตัวเดิมน่าจะพยุงได้อยู่  สรุป น่าเป็นห่วง หรือ ไม่น่าเป็นห่วงกันแน่นะ 

>> เรื่องที่ 5 ​: ความสงสัยว่า โรงพยาบาลขนาดใหญ่สามารถส่งผลเลือดคนไข้ผิดได้หรือไม่ เพราะ ใน1 วันคนไข้ที่ต้องตรวจเลือดค่อนข้างเยอะ และ ขวดเลือดที่เจาะไปไม่ได้มีสติกเกอร์ติดชื่อ แต่เป็นเทรย์ใส่หลอดเลือดเท่านั้นที่มีกระดาษแปะไว้ ที่สงสัยเพราะ ร่างกายเรา และ อาการของเรามันดูตรงกันข้ามกับผลเลือดที่ออกมา 

>> เรื่องที่ 6 :  ก่อนที่จะได้รับคีโม หรือ หลังจากผลออกว่าเป็นมะเร็งเราเองแทบจะไม่มีอาการอะไรของมะเร็งเลย ทั้งอาการเจ็บ ปวด หรือ อะไรหลายๆอย่างที่เขาหมอ และหมอพยายามจะมากดท้องเรา ทำอัลตร้าซาวเรา ถามเราย้ำๆว่า ไม่เจ็บเลยหรอ เอ้อแปลกแหะ ไม่เคยเจอ 
ลยอยากทราบว่า อาการเจ็บ ปวด หรือ อาการที่เป็นผลข้างเคียงในมะเร็งนั้นมันจำเป็นหรือไม่ที่ต้องเกิดขึ้นกับทุกคน

และนี่คงเป็นเหตุการณ์คร่าวๆที่เอามายกตัวอย่างและตั้งคำถามในหัวข้อหลักที่ว่า 

" โรงพยาบาล สามารถตรวจ หรือ วินิจฉัยโรคที่เราเป็นผิดได้หรือไม่ "

ปล : หลายคงที่อ่านจบคงมีข้อสงสัยที่เกิดขึ้นในใจว่า เจอขนาดนี้ แล้วทำไมไม่ย้ายโรงพยาบาล ที่ไม่ได้ย้ายก็ด้วยเพราะเหตุผลจากทางครอบครัวที่กลัวการย้ายโรงพยาบาลว่า ถ้าย้ายอีกจะเจอที่แย่กว่านี้ และ กลัวเวลาว่าถ้าย้ายไปต้องไปรอคิวนาน และ ต้องเริ่มการรักษาใหม่ทั้งหมด ซึ่งมันก็จะทำให้ดึงการรักษาออกไป ว่าง่ายๆ เขากลัวเราตายเลยไม่ให้ย้าย เคยทะเลาะกันไปแล้ว แต่เขายังยืนยัน บวกกับคนที่จ่ายค่ารักษาพยาบาลส่วนเกินตรงนี้เป็นคนตัดสินใจ 

ขอบคุณทุกคนล่วงหน้านะคะ ตามเดิมที่แจ้งไม่ได้ต้องการมาดิสเครดิตโรงพยาบาลไหน แค่อยากรู้ว่าสิ่งที่เจออยู่มันเกิดขึ้นได้ไหม และ มีใครเคยเจอรึเปล่า เท่านั้นค่ะ 

ขอบคุณค่ะ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่