สวัสดีค่ะ วันนี้เราจะมาขอแชร์เรื่องของเราให้ฟัง เป็นอุทาหรณ์และข้อคิดให้เพื่อนในพันทิพทุกคนได้ฟังกัน “เรื่องการทำธุรกิจร่วมกับเพื่อนสนิท” เพราะเรื่องนี้ยังทำให้เรารู้สึกแย่ และเสียใจ แม้เวลาจะผ่านไปนานหลายปี โดยในชีวิตจริงเราไม่เคยเล่าหรือแสดงอารมณ์ใดๆกับเรื่องนี้เลย แต่ว่าเรื่องนี้ก็ติดใจเรามานาน เรื่องนี้อาจจะยาวและมีรายละเอียดเยอะมาก แต่เราจะพยายามเล่าแต่ Fact โดยที่ไม่เข้าข้างตัวเอง หรือเข้าข้างใคร
เกริ่นนำก่อนช่วง 3-4ปีที่แล้ว ตอนที่เรากลับมาอยู่เมืองไทย หลังจากไปทำงานที่ต่างประเทศมา เราเก็บตังมาได้ก้อนนึงไม่ได้เยอะมาก ประมาณ1ล้านบาท ตอนนั้นเรามีเพื่อนสนิท 2คน (2คนนี้จะเป็นตัวเอกของเรื่องนี้นะคะ) คนที่ 1 เราตั้งชื่อให้ว่า “เหมียว” คนที่ 2 เราตั้งชื่อให้ว่า “แมว” เรา เหมียว และแมว เป็นเพื่อนกันมานานมาก แต่เป็นเพราะว่าเราไม่ค่อยได้กลับเมืองไทย 2คนนั้นก็เลยสนิทกันมากกว่า แต่พอเรากลับมาทุกคนก็ยังสนิทกันเหมือนเดิม
เหมียวมีตึกแถวอยู่หลังนึง ที่พอจะเปิดธุรกิจอะไรได้ เลยมาถามเราว่าอยากทำธุรกิจร่วมกันมั้ย ช่วงนั้นเรากลับไทยแรกๆ เงินเดือนที่เคยได้เยอะก็น้อยลง บวกกับว่าอยากทำกับเพื่อนด้วยแล้ว ก็เลยดีใจแฮปปี้ กระดี้กระด้า จะได้มีธุรกิจแรกในชีวิต เหมียวถามว่าจะเปิดร้านอาหาร คาเฟ่ หรือ อะไรดี? สุดท้ายก็ตกลงกันว่า เออ แมวมันเป็นช่างเสริมสวย เก่งด้วยมีความสามารถ ก็ชวนมันมาร่วมหุ้น เปิดร้านเสริมสวยด้วยกันมั้ยหล่ะ สุดท้ายแมวก็ตกลงจะลาออกจากร้านเก่าที่เป็นพนักงานมาทำร้านด้วยกัน แต่ติดปัญหาเรื่องเงิน เพราะว่าแมวไม่มีเงินลงทุน ส่วนเหมียวมีเงินลงทุนอยู่แค่ครึ่งเดียว เราเลยบอกว่า เดี๋ยวใช้เงินของเราลงทุนไปก่อน เดี๋ยวพอร้านได้กำไร ก็หักมาคืนทุกเดือน ประมาณ 1ปีก็หน้าจะหมดแล้ว หลังจากคืนทุน ทุกคนก็จะได้กำไรกัน หาร3
สรุปคร่าวๆ เงินลงทุนทั้งหมด 600,000 บาท (หาร3 เป็นคนละ 200,000 บาท)
(เหมียว)
- มีเงินลงทุนครึ่งเดียว 100,000 บาท
- เหมียวเลยยืมเรา 100,000 บาท
- เหมียวให้ใช้พื้นที่ตึกได้ฟรี ไม่ต้องเสียค่าเช่า
(แมว)
- ไม่มีเงินลงทุน แมวเลยยืมเงินเรา 200,000 บาท
- แต่แมวจะมาทำงานที่ร้านแบบ Full-Time เราเลยตกลงกันว่า จะให้เงินเดือนแมวเดือนละ 15,000 บาท บวกกับค่าคอมแต่ละงานที่ทำให้ลูกค้า 10%
สรุปคร่าวๆ การลงทุนนี้ เราจ่ายคนเดียวไปก่อน 500,000 บาท เหมียวจ่าย 100,000 บาท
โดยหน้าที่แต่ละคน แบ่งได้ประมาณดังนี้…
❤️ เรา : ทำบัญชี / ดูแลค่าใช้จ่ายทั้งหมด / โปรโมทร้าน
❤️เหมียว : ช่างซ่อมบำรุงร้าน ถ้ามีอะไรเสียก็ให้เหมียวจัดการ / สั่งของเข้าร้าน / ดูแลความสะอาด
❤️แมว : เป็นเมเนเจอร์ เป็นตัวหลักของร้าน ดูแลลูกน้อง
หลังจากนั้นพวกเรากลัวว่าแมวจะเหนื่อยก็เลยจ้างลูกน้องมาให้แมว 1คน เงินเดือน 15,000บาทเท่าแมว + ค่าคอม 10%
ช่วงแรกๆ ธุรกิจไปได้ด้วยดี เพราะว่าร้านเราตกแต่งสวยงาม ลูกค้าอยากเข้าอยากมา รวมถึงแมวมีลูกค้าประจำที่ติดตามมาจากทุกหนทุกแห่ง เพราะว่าแมวเป็นคนน่ารัก พูดเก่งคุยเก่ง มีเพื่อนเยอะ และแมวก็ฝีมือดี ระหว่างที่ทำร้านกันมา เราไม่ค่อยได้เข้าร้านเท่าไหร่ เพราะว่าเราทำงานประจำอยู่ด้วย ส่วนมากก็จะเข้ามาทำบัญชี เก็บเงินสดที่ร้านกลับบ้าน ก็จะมีเหมียวที่เข้ามาเฝ้าร้านเป็นเพื่อนแมวตลอด แม้เหมียวจะไม่ได้เงินเดือนก็ตาม เพราะว่าเหมียวว่างงาน
ตอนนั้นเอาตรงๆกำไรรายเดือนช่วงพีคๆ ได้ประมาณเดือนละ 30,000 บาท พอหารกันแล้วก็ตกเดือนละ 10,000 บาท ซึ่งมันก็ไม่ใช่เงินที่เยอะอะไร แต่ว่าเราก็เปิดกันไป หวังว่ามันจะดีขึ้นเรื่อยๆ และประสบความสำเร็จในที่สุด ทุกๆเดือนเราก็จะเก็บกำไร มาหักกับทุนที่เราจ่ายไปก่อน พอผ่านไป 1ปี เงินที่เหมียวยืมเรามาก็ครบพอดี หลังจากนั้นเหมียวก็ได้กำไร 1/3 ปกติ แต่ส่วนของแมวยังไม่ครบ น่าจะขาดอีกประมาณ 100,000 บาท
ระหว่างทางการเปิดร้านมาด้วยกัน ด้วยเหตุที่ว่าเหมียวกับแมวมักอยู่ด้วยกันบ่อยๆ ทำให้เกิดความเห็นไม่ตรงกันในหลายๆเรื่อง ซึ่งเราก็เป็นคนกลาง ฟังความทั้งสองฝ่าย โดยส่วนตัวแล้วเหมียวจะเป็นคนที่เข้มงวดมากเรื่องความสะอาด และขี้บ่นตัวแม่ บางครั้งก็ทำให้แมวรู้สึกแย่ เสียใจ และรำคาญใจ แต่เหมียวกับแมวก็ยังเห็นกันเป็นเพื่อน พยายามยอมรับกันและกัน แต่การที่อดทนอดกลั้นกันมานาน วันนึงก็คงถึงเวลาระเบิด...
พอมาช่วงโควิด ร้านต้องปิดตามที่รัฐกำหนด ขาดรายได้หนักมาก บางครั้งแมวก็ขอมาใช้พื้นทีร้าน รับงานเสริมสวยเป็นจ๊อบๆ ให้ลูกค้าประจำ ทุกคนก็ให้ใช้ปกติ โดยที่ไม่ได้เก็บเงินส่วนนั้นเข้าร้านเลย เพราะเข้าใจว่าเพื่อนขาดรายได้
หลังจากที่เปิดร้านได้ปกติแล้ว ลูกค้าน้อยลงมาก แต่ละเดือนรายรับ 30,000-50,000 บาท แต่เราก็ยังให้เงินเดือนแมวและลูกน้องเหมือนเดิม มีบางช่วงหนักๆ ต้องลดเงินเดือนเหลือ 10,000 เดียว แต่ก็พยายามที่สุดที่จะเปิดร้านต่อไป บางเดือนหารกำไรออกมา เหลือแค่เดือนละ 2000-3000 บาท บวกกับช่วงโควิด เคราะห์ซ้ำกรรมซัดเรามาก เราโดนเชิญออกจากบริษัท รายได้ที่ได้จากร้าน เราก็ไม่พอกิน
เราเลยชวนเหมียวที่ว่างงานอยู่แล้ว มาขายของออนไลน์แทน ซึ่งเราขายได้ปังมาก ขายดีเป็นเทน้ำเทท่า จนผลิตไม่ทัน เราใช้เวลาทุกวันผลิตสินค้ากับเหมียว ซึ่งเราคิดว่าตรงนั้นเริ่มเป็นจุดแตกหัก ระหว่าง เรา เหมียว กับแมว (ต่อจากนี้เป็นความคิดของเรานะ เพราะว่า เราไม่รู้ว่าแมวคิดแบบนั้นรึเปล่า เพราะแมวไม่เคยบอกเรา) เรารู้สึกว่าแมวเริ่มน้อยใจ เพราะว่าเรากับเหมียวไม่ค่อยสนใจร้านเสริมสวยเท่าไหร่ เนื่องด้วยที่เรายุ่งมากๆ แทบไม่มีเวลากินเวลานอน เพราะว่าคิดว่าสินค้าที่เราทำ มันขายได้ตอนนี้เท่านั้น อยากจะทำเงินให้มากที่สุด แมวน่าจะรู้สึกว่าตัวเองถูกทิ้งให้อยู่คนเดียว ต้องเฝ้าร้านทุกวันคนเดียว ไม่มีเพื่อนๆมาช่วยเหลือ แมวบอกว่าทุกๆวันเห็นว่าร้านเสริมสวยได้กำไรน้อยมาก ก็เครียดแทนเรา กับเงินที่เราลงไปไม่คืนทุนซักที
มีบางครั้งที่แม่ของเหมียว และแม่ของเรามาที่ร้าน เห็นว่าแมวว่างอยู่ แล้วร้านไม่สะอาด จึงบอกแมวให้ทำความสะอาดร้านสิ ร้านจะได้สะอาดๆ แต่แมวไม่พอใจ เพราะคิดว่าใช้แมวเหมือนคนรับใช้
หลังจากนั้นแมวเริ่มเปลี่ยนไปไม่เหมือนเดิม ไม่ร่าเริงเหมือนเหมือนแต่ก่อน ซึ่งเราก็เป็นห่วง แต่ว่าเราก็ไม่มีกระจิตกระใจมา Concentrate เรื่องของแมวมากนัก จนตอนนี้เราก็ยังรู้สึกผิด ที่ไม่สามารถซัพพอตเพื่อนได้ แต่ตอนนั้นเราก็เครียดมากเหมือนกัน เพราะเราก็พึ่งตกงาน ต้องผ่อนบ้าน ผ่อนรถ...
หลังจากนั้นเราก็พยายามมาตลอดให้บรรยากาศดีขึ้น ทำให้เหมียวกับแมว จากที่ตึงๆกัน ได้พูดคุยกัน ปรับความเข้าใจ ต่อหน้าเราสองคนก็พยายามยิ้มให้กัน ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเกรงใจเรารึเปล่า แต่เหมือนว่า ความสัมพันธ์ของสองคนมันไม่เหมือนเดิมแล้ว
เวลาผ่านไป 3-4 เดือน ร้านเสริมสวยเริ่มไปไม่ไหวแล้วจริงๆ เรากับเหมียวเลยไปตกลงกับแมวว่า จะปิดร้านดีมั้ย หรือจะทำยังไงดีให้มันอยู่ได้ สุดท้ายก็ตัดสินใจให้ลูกน้องออก แต่ก็ให้แมวทำงานเหมือนเดิม โดยเพิ่มเงินเดือนจาก 10,000 เป็น 15,000 +ค่าคอม 10% เมื่อลูกค้าไม่ค่อยเยอะเท่าเหมือนก่อนแล้ว แมวทำคนเดียวน่าจะไหว แมวจะได้เงินเยอะขึ้นด้วย
แต่ 1 อาทิตย์หลังจากนั้น แมวก็บอกว่าแมวจะถอนตัว ไม่ทำแล้ว เราก็ไม่รู้จะทำยังไงดี เพราะเรากับเหมียวแทบไม่มีความรู้เรื่องงานเสริมสวยเลย สุดท้ายจึงต้องตัดสินใจปิดร้าน ถึงตรงนี้เรายังไม่ได้ทุนคืนจากตอนแรกที่ลงทุนไปเลย เราจึงเอาเฟอร์นิเจอร์ อุปกรณ์เสริมสวยทุกอย่างไปขาย จนสุดท้าย ขาดทุนอยู่ที่ คนละ 50,000 บาท โดยที่แมวสัญญาว่าจะหาเงินมาคืนให้ ตอนที่แมวมีเงิน
หลังจากนั้นจนถึงตอนนี้น่าจะผ่านมา 2ปีกว่าแล้ว แมวก็หายไปจากชีวิตเราเลย ไม่ได้ติดต่อกลับมา บล๊อคเฟสบุ๊ค ไลน์ และ ช่องทางการติดต่อทั้งหมดของเรากับเหมียว เพื่อนๆคนอื่นๆในกลุ่มของเราก็หายไปจากเรากับเหมียวเช่นกัน เราไม่รู้ว่าแมวไปพูดอะไรกับเพื่อนๆว่ามีปัญหากันเรื่องอะไร ทำไมถึงปิดร้าน และแยกย้ายกัน แต่ที่เราได้ฟังมา แมวบอกคนอื่นว่า เรากับเหมียวจิกหัวแมวใช้แมวเหมือนทาส มีความสุขมากที่จะออกมาจากร้านที่เปิดด้วยกันซักที
สุดท้ายนี้ เราเสียทั้งธุรกิจ เงินและเพื่อน ที่มาเล่า เล่าให้ฟังว่า “บางครั้งธุรกิจมันเดินไปกับเพื่อนไม่ได้” เพราะตัวเราเองไม่สามารถบาลานซ์สองสิ่งเอาไว้ได้ โฟกัสธุรกิจมากเกินไปความสัมพันธ์กับเพื่อนก็พัง ตามใจเพื่อนมาเกินไปธุรกิจก็พัง จะบอกว่ามาถึงวันนี้เราก็ยังงงๆ อยู่ว่าเรื่องมันเกิดขึ้นมาได้ยังไง และปัญหามันเกิดขึ้นตอนไหน อาจจะเป็นเพราะเราไม่ใช่คนคิดเยอะ หรือคิดไม่ถี่ถ้วน หรือเราอาจจะรักเพื่อนไม่พอที่จะคอยซัพพอตจิตใจของเพื่อนในทุกเวลา โควิดทำให้คนเจ็บมาเยอะ และเราก็เป็นหนึ่งในนั้น ตอนนี้ถึงแมวจะไม่คิดจะติดต่อเราเพื่อมาคืนเงินหรือถามสารทุกข์สุกดิบกันแล้ว และแม้ชีวิตเราจะลำบากอยู่บ้าง ไม่ได้ใช้เงินสุรุ่ยสุร่ายได้ แต่เราก็คิดว่าชั่งมันเถอะ เงินก็แค่ของนอกกาย ก็ขอให้จบกันแค่นี้...
มีความสุขมากๆนะแมว......
อุทาหรณ์ “ลงทุนธุรกิจ” ร่วมกับเพื่อนสนิท สุดท้าย “เสียทั้งเพื่อนทั้งธุรกิจ”
เกริ่นนำก่อนช่วง 3-4ปีที่แล้ว ตอนที่เรากลับมาอยู่เมืองไทย หลังจากไปทำงานที่ต่างประเทศมา เราเก็บตังมาได้ก้อนนึงไม่ได้เยอะมาก ประมาณ1ล้านบาท ตอนนั้นเรามีเพื่อนสนิท 2คน (2คนนี้จะเป็นตัวเอกของเรื่องนี้นะคะ) คนที่ 1 เราตั้งชื่อให้ว่า “เหมียว” คนที่ 2 เราตั้งชื่อให้ว่า “แมว” เรา เหมียว และแมว เป็นเพื่อนกันมานานมาก แต่เป็นเพราะว่าเราไม่ค่อยได้กลับเมืองไทย 2คนนั้นก็เลยสนิทกันมากกว่า แต่พอเรากลับมาทุกคนก็ยังสนิทกันเหมือนเดิม
เหมียวมีตึกแถวอยู่หลังนึง ที่พอจะเปิดธุรกิจอะไรได้ เลยมาถามเราว่าอยากทำธุรกิจร่วมกันมั้ย ช่วงนั้นเรากลับไทยแรกๆ เงินเดือนที่เคยได้เยอะก็น้อยลง บวกกับว่าอยากทำกับเพื่อนด้วยแล้ว ก็เลยดีใจแฮปปี้ กระดี้กระด้า จะได้มีธุรกิจแรกในชีวิต เหมียวถามว่าจะเปิดร้านอาหาร คาเฟ่ หรือ อะไรดี? สุดท้ายก็ตกลงกันว่า เออ แมวมันเป็นช่างเสริมสวย เก่งด้วยมีความสามารถ ก็ชวนมันมาร่วมหุ้น เปิดร้านเสริมสวยด้วยกันมั้ยหล่ะ สุดท้ายแมวก็ตกลงจะลาออกจากร้านเก่าที่เป็นพนักงานมาทำร้านด้วยกัน แต่ติดปัญหาเรื่องเงิน เพราะว่าแมวไม่มีเงินลงทุน ส่วนเหมียวมีเงินลงทุนอยู่แค่ครึ่งเดียว เราเลยบอกว่า เดี๋ยวใช้เงินของเราลงทุนไปก่อน เดี๋ยวพอร้านได้กำไร ก็หักมาคืนทุกเดือน ประมาณ 1ปีก็หน้าจะหมดแล้ว หลังจากคืนทุน ทุกคนก็จะได้กำไรกัน หาร3
สรุปคร่าวๆ เงินลงทุนทั้งหมด 600,000 บาท (หาร3 เป็นคนละ 200,000 บาท)
(เหมียว)
- มีเงินลงทุนครึ่งเดียว 100,000 บาท
- เหมียวเลยยืมเรา 100,000 บาท
- เหมียวให้ใช้พื้นที่ตึกได้ฟรี ไม่ต้องเสียค่าเช่า
(แมว)
- ไม่มีเงินลงทุน แมวเลยยืมเงินเรา 200,000 บาท
- แต่แมวจะมาทำงานที่ร้านแบบ Full-Time เราเลยตกลงกันว่า จะให้เงินเดือนแมวเดือนละ 15,000 บาท บวกกับค่าคอมแต่ละงานที่ทำให้ลูกค้า 10%
สรุปคร่าวๆ การลงทุนนี้ เราจ่ายคนเดียวไปก่อน 500,000 บาท เหมียวจ่าย 100,000 บาท
โดยหน้าที่แต่ละคน แบ่งได้ประมาณดังนี้…
❤️ เรา : ทำบัญชี / ดูแลค่าใช้จ่ายทั้งหมด / โปรโมทร้าน
❤️เหมียว : ช่างซ่อมบำรุงร้าน ถ้ามีอะไรเสียก็ให้เหมียวจัดการ / สั่งของเข้าร้าน / ดูแลความสะอาด
❤️แมว : เป็นเมเนเจอร์ เป็นตัวหลักของร้าน ดูแลลูกน้อง
หลังจากนั้นพวกเรากลัวว่าแมวจะเหนื่อยก็เลยจ้างลูกน้องมาให้แมว 1คน เงินเดือน 15,000บาทเท่าแมว + ค่าคอม 10%
ช่วงแรกๆ ธุรกิจไปได้ด้วยดี เพราะว่าร้านเราตกแต่งสวยงาม ลูกค้าอยากเข้าอยากมา รวมถึงแมวมีลูกค้าประจำที่ติดตามมาจากทุกหนทุกแห่ง เพราะว่าแมวเป็นคนน่ารัก พูดเก่งคุยเก่ง มีเพื่อนเยอะ และแมวก็ฝีมือดี ระหว่างที่ทำร้านกันมา เราไม่ค่อยได้เข้าร้านเท่าไหร่ เพราะว่าเราทำงานประจำอยู่ด้วย ส่วนมากก็จะเข้ามาทำบัญชี เก็บเงินสดที่ร้านกลับบ้าน ก็จะมีเหมียวที่เข้ามาเฝ้าร้านเป็นเพื่อนแมวตลอด แม้เหมียวจะไม่ได้เงินเดือนก็ตาม เพราะว่าเหมียวว่างงาน
ตอนนั้นเอาตรงๆกำไรรายเดือนช่วงพีคๆ ได้ประมาณเดือนละ 30,000 บาท พอหารกันแล้วก็ตกเดือนละ 10,000 บาท ซึ่งมันก็ไม่ใช่เงินที่เยอะอะไร แต่ว่าเราก็เปิดกันไป หวังว่ามันจะดีขึ้นเรื่อยๆ และประสบความสำเร็จในที่สุด ทุกๆเดือนเราก็จะเก็บกำไร มาหักกับทุนที่เราจ่ายไปก่อน พอผ่านไป 1ปี เงินที่เหมียวยืมเรามาก็ครบพอดี หลังจากนั้นเหมียวก็ได้กำไร 1/3 ปกติ แต่ส่วนของแมวยังไม่ครบ น่าจะขาดอีกประมาณ 100,000 บาท
ระหว่างทางการเปิดร้านมาด้วยกัน ด้วยเหตุที่ว่าเหมียวกับแมวมักอยู่ด้วยกันบ่อยๆ ทำให้เกิดความเห็นไม่ตรงกันในหลายๆเรื่อง ซึ่งเราก็เป็นคนกลาง ฟังความทั้งสองฝ่าย โดยส่วนตัวแล้วเหมียวจะเป็นคนที่เข้มงวดมากเรื่องความสะอาด และขี้บ่นตัวแม่ บางครั้งก็ทำให้แมวรู้สึกแย่ เสียใจ และรำคาญใจ แต่เหมียวกับแมวก็ยังเห็นกันเป็นเพื่อน พยายามยอมรับกันและกัน แต่การที่อดทนอดกลั้นกันมานาน วันนึงก็คงถึงเวลาระเบิด...
พอมาช่วงโควิด ร้านต้องปิดตามที่รัฐกำหนด ขาดรายได้หนักมาก บางครั้งแมวก็ขอมาใช้พื้นทีร้าน รับงานเสริมสวยเป็นจ๊อบๆ ให้ลูกค้าประจำ ทุกคนก็ให้ใช้ปกติ โดยที่ไม่ได้เก็บเงินส่วนนั้นเข้าร้านเลย เพราะเข้าใจว่าเพื่อนขาดรายได้
หลังจากที่เปิดร้านได้ปกติแล้ว ลูกค้าน้อยลงมาก แต่ละเดือนรายรับ 30,000-50,000 บาท แต่เราก็ยังให้เงินเดือนแมวและลูกน้องเหมือนเดิม มีบางช่วงหนักๆ ต้องลดเงินเดือนเหลือ 10,000 เดียว แต่ก็พยายามที่สุดที่จะเปิดร้านต่อไป บางเดือนหารกำไรออกมา เหลือแค่เดือนละ 2000-3000 บาท บวกกับช่วงโควิด เคราะห์ซ้ำกรรมซัดเรามาก เราโดนเชิญออกจากบริษัท รายได้ที่ได้จากร้าน เราก็ไม่พอกิน
เราเลยชวนเหมียวที่ว่างงานอยู่แล้ว มาขายของออนไลน์แทน ซึ่งเราขายได้ปังมาก ขายดีเป็นเทน้ำเทท่า จนผลิตไม่ทัน เราใช้เวลาทุกวันผลิตสินค้ากับเหมียว ซึ่งเราคิดว่าตรงนั้นเริ่มเป็นจุดแตกหัก ระหว่าง เรา เหมียว กับแมว (ต่อจากนี้เป็นความคิดของเรานะ เพราะว่า เราไม่รู้ว่าแมวคิดแบบนั้นรึเปล่า เพราะแมวไม่เคยบอกเรา) เรารู้สึกว่าแมวเริ่มน้อยใจ เพราะว่าเรากับเหมียวไม่ค่อยสนใจร้านเสริมสวยเท่าไหร่ เนื่องด้วยที่เรายุ่งมากๆ แทบไม่มีเวลากินเวลานอน เพราะว่าคิดว่าสินค้าที่เราทำ มันขายได้ตอนนี้เท่านั้น อยากจะทำเงินให้มากที่สุด แมวน่าจะรู้สึกว่าตัวเองถูกทิ้งให้อยู่คนเดียว ต้องเฝ้าร้านทุกวันคนเดียว ไม่มีเพื่อนๆมาช่วยเหลือ แมวบอกว่าทุกๆวันเห็นว่าร้านเสริมสวยได้กำไรน้อยมาก ก็เครียดแทนเรา กับเงินที่เราลงไปไม่คืนทุนซักที
มีบางครั้งที่แม่ของเหมียว และแม่ของเรามาที่ร้าน เห็นว่าแมวว่างอยู่ แล้วร้านไม่สะอาด จึงบอกแมวให้ทำความสะอาดร้านสิ ร้านจะได้สะอาดๆ แต่แมวไม่พอใจ เพราะคิดว่าใช้แมวเหมือนคนรับใช้
หลังจากนั้นแมวเริ่มเปลี่ยนไปไม่เหมือนเดิม ไม่ร่าเริงเหมือนเหมือนแต่ก่อน ซึ่งเราก็เป็นห่วง แต่ว่าเราก็ไม่มีกระจิตกระใจมา Concentrate เรื่องของแมวมากนัก จนตอนนี้เราก็ยังรู้สึกผิด ที่ไม่สามารถซัพพอตเพื่อนได้ แต่ตอนนั้นเราก็เครียดมากเหมือนกัน เพราะเราก็พึ่งตกงาน ต้องผ่อนบ้าน ผ่อนรถ...
หลังจากนั้นเราก็พยายามมาตลอดให้บรรยากาศดีขึ้น ทำให้เหมียวกับแมว จากที่ตึงๆกัน ได้พูดคุยกัน ปรับความเข้าใจ ต่อหน้าเราสองคนก็พยายามยิ้มให้กัน ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเกรงใจเรารึเปล่า แต่เหมือนว่า ความสัมพันธ์ของสองคนมันไม่เหมือนเดิมแล้ว
เวลาผ่านไป 3-4 เดือน ร้านเสริมสวยเริ่มไปไม่ไหวแล้วจริงๆ เรากับเหมียวเลยไปตกลงกับแมวว่า จะปิดร้านดีมั้ย หรือจะทำยังไงดีให้มันอยู่ได้ สุดท้ายก็ตัดสินใจให้ลูกน้องออก แต่ก็ให้แมวทำงานเหมือนเดิม โดยเพิ่มเงินเดือนจาก 10,000 เป็น 15,000 +ค่าคอม 10% เมื่อลูกค้าไม่ค่อยเยอะเท่าเหมือนก่อนแล้ว แมวทำคนเดียวน่าจะไหว แมวจะได้เงินเยอะขึ้นด้วย
แต่ 1 อาทิตย์หลังจากนั้น แมวก็บอกว่าแมวจะถอนตัว ไม่ทำแล้ว เราก็ไม่รู้จะทำยังไงดี เพราะเรากับเหมียวแทบไม่มีความรู้เรื่องงานเสริมสวยเลย สุดท้ายจึงต้องตัดสินใจปิดร้าน ถึงตรงนี้เรายังไม่ได้ทุนคืนจากตอนแรกที่ลงทุนไปเลย เราจึงเอาเฟอร์นิเจอร์ อุปกรณ์เสริมสวยทุกอย่างไปขาย จนสุดท้าย ขาดทุนอยู่ที่ คนละ 50,000 บาท โดยที่แมวสัญญาว่าจะหาเงินมาคืนให้ ตอนที่แมวมีเงิน
หลังจากนั้นจนถึงตอนนี้น่าจะผ่านมา 2ปีกว่าแล้ว แมวก็หายไปจากชีวิตเราเลย ไม่ได้ติดต่อกลับมา บล๊อคเฟสบุ๊ค ไลน์ และ ช่องทางการติดต่อทั้งหมดของเรากับเหมียว เพื่อนๆคนอื่นๆในกลุ่มของเราก็หายไปจากเรากับเหมียวเช่นกัน เราไม่รู้ว่าแมวไปพูดอะไรกับเพื่อนๆว่ามีปัญหากันเรื่องอะไร ทำไมถึงปิดร้าน และแยกย้ายกัน แต่ที่เราได้ฟังมา แมวบอกคนอื่นว่า เรากับเหมียวจิกหัวแมวใช้แมวเหมือนทาส มีความสุขมากที่จะออกมาจากร้านที่เปิดด้วยกันซักที
สุดท้ายนี้ เราเสียทั้งธุรกิจ เงินและเพื่อน ที่มาเล่า เล่าให้ฟังว่า “บางครั้งธุรกิจมันเดินไปกับเพื่อนไม่ได้” เพราะตัวเราเองไม่สามารถบาลานซ์สองสิ่งเอาไว้ได้ โฟกัสธุรกิจมากเกินไปความสัมพันธ์กับเพื่อนก็พัง ตามใจเพื่อนมาเกินไปธุรกิจก็พัง จะบอกว่ามาถึงวันนี้เราก็ยังงงๆ อยู่ว่าเรื่องมันเกิดขึ้นมาได้ยังไง และปัญหามันเกิดขึ้นตอนไหน อาจจะเป็นเพราะเราไม่ใช่คนคิดเยอะ หรือคิดไม่ถี่ถ้วน หรือเราอาจจะรักเพื่อนไม่พอที่จะคอยซัพพอตจิตใจของเพื่อนในทุกเวลา โควิดทำให้คนเจ็บมาเยอะ และเราก็เป็นหนึ่งในนั้น ตอนนี้ถึงแมวจะไม่คิดจะติดต่อเราเพื่อมาคืนเงินหรือถามสารทุกข์สุกดิบกันแล้ว และแม้ชีวิตเราจะลำบากอยู่บ้าง ไม่ได้ใช้เงินสุรุ่ยสุร่ายได้ แต่เราก็คิดว่าชั่งมันเถอะ เงินก็แค่ของนอกกาย ก็ขอให้จบกันแค่นี้...
มีความสุขมากๆนะแมว......