สวัสดีค่ะ เนื่องจากเจ้าของกระทู้เป็นหนึ่งในผู้ที่เกิดก้อนเนื้อบริเวณหลังโคนหูด้านซ้าย
สังเกตเห็นตอนแรก ก้อนเนื้อค่อนข้างเล็ก และไม่มีอาการระคายเคืองใดใด
แต่ด้วยภาระงาน และปัญหาเรื่องวันหยุดวันลาที่วุ่นวาย จึงทำให้เราหลงลืม และละเลยไปเลยว่าควรไปพบแพทย์
จนกระทั่งหลายเดือนผ่านไป (ประมาณ 3-4 เดือน) ก้อนเนื้อมีขนาดโตขึ้น + กับวันนั้นถอดแมส แล้วคุณยายเห็นเข้า
คุณยายทักก่อนเลยว่า เป็นคางทูมหรอ เราเองก็ไม่รู้ว่าเจ้าก้อนเนื้อนี้คือก้อนอะไร
พยาพยามเสิร์ชหา แต่ก็ไม่พบว่ามันจะเป็นก้อนอะไรได้บ้าง
จากนั้นจึงตัดสินใจโทรนัดหมายกับโรงพยาบาลเพื่อขอพบแพทย์
ซึ่งคุณหมอวินิจฉัยตั้งแต่แรกเจอเลยว่า น่าจะเป็นเนื้องอกต่อมน้ำลายไพลาทิส
วันนั้นยังไม่ตื่นเต้นมากเพราะคุณหมอแจ้งว่า ถึงจะไม่ได้พบเจอได้บ่อย แต่ก็เคยผ่าตัดมาหลายเคส
เรากลับบ้านมาก็มานั่งเสิร์ชต่อว่า เนื้องอกต่อมน้ำลายคืออะไร มีใครเคยแชร์ประสบการณ์ไว้บ้าง
ทำให้พบว่าข้อมูลล่าสุดที่มีผู้แชร์ประสบการณ์ตั้งกระทู้ไว้ ก็ปี 2562 ตอบกระทู้ล่าสุดก็มีปี 2564
เราจึงบอกกับตัวเองไว้ว่า ถ้าทำการรักษาเสร็จสิ้น จะต้องมาแชร์ประการณ์ไว้
เพื่อเป็นข้อมูลอัพเดต ให้กับเพื่อน ๆ ที่อาจจะเจอก้อนเนื้อนี้เหมือนกัน
แบบสรุป คือ การผ่าตัดไม่ได้น่ากลัวอย่างที่เราคิด และไม่มีการเจ็บปวดโอดโอยทุรนทุรายหลังผ่าค่ะ
เราต้องปล่อยใจให้สบาย เชื่อมั่นในคุณหมอ ทำตามขั้นตอนที่คุณหมอแนะนำ
และไม่ต้องไปจับไปลูบไปคลำหรือไปกดตัวเนื้องอกที่พบนะคะ มันอาจไปกระตุ้นให้เค้าโตเร็วได้ค่ะ
ก่อนอื่นเลยนะคะ เจ้าของกระทู้อยากขอบพระคุณทีมแพทย์และพยาบาล
โรงพยาบาลศิริราช จากใจจริงค่ะ ถึงแม้จะเป็นโรงพยาบาลรัฐ และเข้ารักษาโดยใช้สวัสดิการ
แต่ทุกท่านดูแลเราอย่างเต็มความสามารถตลอดการรักษาทุกขั้นตอน เราซาบซึ้งใจมาก ๆ จริง ๆ ค่ะ
มาถึงขั้นตอนการรักษา เจ้าของกระทู้ขอเล่าแบบคร่าว ๆ นะคะ
หากต้องการสอบถามเพิ่มเติม ก็ถามมาได้เลยค่ะ (นัดแรก 29 ก.ย. 65 // นัดผ่า 2 ธ.ค. 65 ค่ะ)
1. โทรเข้าโรงพยาบาลเพื่อขอทำนัด ซึ่งของเราคุณพยาบาลนัดคุณหมอplastic(ศัลยแพทย์)ให้ค่ะ
2. ไปตามนัดที่คุณพยาบาลทำนัดไว้ให้ เมื่อพบคุณหมอplastic และได้รับการวินิจฉัยโรคแล้วคุณหมอจะส่งให้เราไปจอง CT SCAN ค่ะ
3. ไปจอง CT SCAN และมาทำ CT SCAN ตามนัด จุดนี้เราก็แอบกลัวนิดนึงเพราะทราบว่าต้องมีการฉีดสีเข้าร่างกาย ไม่เคยทำมาก่อนก็เลยกลัวนำไปก่อน แอบน้ำตาปริ่ม ๆ ตอนโดนเข็มจิ้มคาแขนไว้ แต่แล้วก็พบว่า ไม่มีอะไรน่ากลัวเลยค่ะ แพทย์พยาบาลที่อยู่ตรงจุดห้องรังสีดูแลคนไข้ทุกคนดีมาก ๆ คอยปลอบ คอยบอกขั้นตอนเรา ขอเพียงเราทำตาม แปปเดียวก็เสร็จแล้วค่ะ
4. ไปพบคุณหมอplastic เพื่อฟังผล CT SCAN จุดนี้น่าจะเป็นจุดที่พาเราเครียดที่สุดแล้วค่ะ ก้อนเนื้อของเราค่อนข้างโตมากกว่าที่ตาเห็นภายนอก เพราะเค้าโตไปเบียดกับเส้นเลือดดำของเรา รวมถึงเบียดเส้นประสาทต่าง ๆ ตรงบริเวณนั้น คุณหมอก็บอกถึงความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้น เช่น อาจจะมีหน้าเบี้ยว (ชั่วคราว) หรือหากผ่าไปโดนเส้นเลือดก็อาจจะต้องมีการซ่อมเส้นเลือดเกิดขึ้นได้ ซึ่งในจุดนี้บอกเลยว่าเรานั่งมึนไปเลยค่ะ แต่คุณหมอก็ให้ความมั่นใจว่าเดี๋ยวจัดนัดให้เราเจอกับคุณหมอหลอดเลือดก่อน แล้วจึงจะนัดวันผ่าให้ เสร็จจากตรงนี้คุณหมอได้ส่งเราไปเจาะชิ้นเนื้อค่ะ
5. มาเจาะชิ้นเนื้อตามนัด ตอนแรกเราฟังแล้วก็จินตนาการไม่ออกว่าเจาะยังไง แต่เมื่อเผชิญกับสถานการณ์จริงก็พบว่า คุณหมอจะใช้เข็ม ซึ่งน่าจะ ไซส์ไม่ต่างจากการเจาะเลือดมากนัก เจาะเข้าไปที่จุดที่ก้อนเนื้ออยู่ ดึง ๆ ทึ้ง ๆ แล้วก็ดึงเข็มออกมา ก็ถือว่าเสร็จสิ้นค่ะ จากนั้นเราก็เอาชิ้นเนื้อไปส่งที่จุดวิเคราะห์ก็เป็นอันเสร็จสิ้นวันนั้น คุณหมอจะโทรมาแจ้งผลชิ้นเนื้อให้เราทราบค่ะ แต่ของเราผลไม่ค่อนชัดเจนทางคุณหมอจึงขอให้เรารอผลหลังผ่าตัดอีกทีเพื่อความชัวร์ค่ะ
6. นัดพบคุณหมอplastic เพื่อนัดวันผ่า และพบคุณหมอหลอดเลือดค่ะ ในวันนี้คุณหมอทำการนัดวันผ่าให้เราโดยพยายามหาคิวที่เร็วที่สุดให้ เนื่องจากน้องก้อนเนื้อของเราค่อนข้างโตขึ้นจากวันแรกที่มาหาคุณหมอพอสมควร (ประมาณ เดือนเศษๆ) เมื่อได้วันผ่าแล้วก็พบทีมคุณหมอหลอดเลือด ทำการซาวดูจุดที่ชิ้นเนื้ออยู่ว่าใกล้ชิดกับเส้นเลือดแค่ไหน จากนั้นก็ให้เราตัดสินใจไว้ก่อนว่าหากมีการโดนเส้นเลือดเกิดขึ้นเราจะเลือดมัดเส้นเลือด หรือเอาเส้นเลือดตรงจุดอื่นมาต่อเชื่อม ในวันนี้คุณหมอplastic ได้ออกใบจองเตียงให้เราไปติดต่อห้องจองเตียง ซึ่งจะมีเตียงให้เราเลือก 3 แบบค่ะ คือ พิเศษเดี่ยว พิเศษรวม และสามัญ ซึ่งจากงบที่เรามี เราตัดสินใจเลือกพิเศษรวมค่ะ (หักจากสวัสดิการข้าราชการ เราต้องจ่ายเพิ่มประมาณ 900 บาท/คืนค่ะ) และเนื่องจากมีความเสี่ยงของการผ่าโดนหลอดเลือดเคสของเราจึงมีการจองเตียง ICU ไว้เผื่อฉุกเฉินหลังผ่าตัดด้วย ทางคุณพยาบาลได้ประเมินค่าใช้จ่ายโดยให้เราเผื่อไว้ประมาณ 2-3 หมื่นบาทค่ะ
7. เจาะเลือด เอกซเรย์ปอด ตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ และพบวิสัญญีแพทย์ วันนี้น่าจะเป็นวันที่เดินเยอะที่สุดแล้วค่ะ แต่ทุกอย่างก็ผ่านพ้นไปได้ด้วยดี เอกซเรย์ปอดต้องเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดของโรงพยาบาล ตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจต้องถอดช่วงบนออก และจะมีเครื่องมือมาติดบริเวณหน้าอกค่ะ ส่วนการพบวิสัญญีแพทย์ แพทย์จะทำการวิเคราะห์สุขภาพของเราผ่านผลเลือด น้ำหนัก ส่วนสูง และข้อมูลประวัติการรักษาต่าง ๆ ของเรา และจะนำมาสังเคราะห์เป็นวิธีการดูแลตนเองเพื่อเตรียมเข้ารับการผ่าตัดต่อไปค่ะ ซึ่งสำหรับเจ้าของกระทู้ ได้รับคำแนะนำให้ทานอาหารที่มีธาตุเหล็กมากขึ้นเพื่อเตรียมพร้อมกับการเสียเลือดในห้องผ่าตัดค่ะ
8. ก่อนแอดมิด 1 วัน มาเจาะเลือด และตรวจโควิด19 ค่ะ
9. แอดมิดตามวันนัด โดยเราได้อยู่ตึกอุบัติเหตุ ชั้น 3 ห้องอุบัติเหตุพิเศษ 3 ตึกอาจจะดูเก่าไปหน่อยแต่ดีกว่าที่คิดไว้มากค่ะ ห้องพิเศษรวมจะมีเตียงคนไข้ 2 เตียง แบ่งสัดส่วนโดยใช้ผ้าม่านกั้นค่ะ แต่ละเตียงจะมีผู้เฝ้าไข้ ได้ 1 คนและต้องอยู่ตลอด 24 ชม. นะคะ โดยมีโซฟา หมอน ผ้าห่มให้ผู้เฝ้าไข้ และมีตู้เย็น 1 ตู้ เก้าอี้ 1 ตัว ห้องน้ำเป็นห้องน้ำรวมค่ะ ไม่มีห้องน้ำในตัว (ห้องน้ำสะอาดมากค่ะ สบายใจได้) พี่ ๆ พยาบาลที่ตึกนี้น่ารักมาก ดูแลดีมาก ใส่ใจคนไข้สุด ๆ ลบภาพพยาบาลหน้าโหด ๆ เสียงดุ ๆ ออกจากหัวเราไปเลยค่ะ // ในวันแอดมิดจะมีทีมแพทย์ที่จะทำการผ่าตัดให้เรามาพบเราเพื่อทำการสรุปกันอีกครั้งค่ะ ว่าเราจะผ่าอะไร อย่างไร สำหรับเราจะมี ศัลยแพทย์ และแพทย์หลอดเลือดที่มาค่ะ เราก็บอกกับแพทย์หลอดเลือดไปค่ะ ว่าขอให้เราไม่ต้องเจอกันในห้องผ่าตัดนะคะ // ในวันนี้เราจะต้องงดน้ำงดอาหารหลังเที่ยงคืนค่ะ
10. วันผ่าตัด ช่วงเช้าจะมีรถเข็นจากห้องผ่าตัดมารับเราค่ะ จากนั้นก็ไปนอนรอในห้องพักรอ เข้าห้องผ่าตัด เจอทีมวิสัญญีแพทย์ คุยไปคุยมาเราหลับไปตอนไหนไม่รู้ค่ะ ตื่นมาอีกทีก็มาอยู่ห้องพักรอหลังผ่าตัดแล้ว และก็สะลึมสะลือมาตลอด แต่จากที่คุณหมอวิสัญญีเล่าก็คือ คุณหมอจะปลุกเราโดยเรียกชื่อค่ะ เมื่อเราตื่นมาจะให้เราทำตามคำสั่งต่างๆ เช่น ลืมตา กรอกตา เป็นต้น เสร็จแล้วจึงจะย้ายเรากลับห้องพัก ซึ่งตอนถูกเข็นออกมาขณะสะลึมสะลืมก็ยังมองหาแต่ญาติค่ะ เห็นเสื้อแดง ๆ มาก็โอเคสบายใจละ จากนั้นกว่าเราจะรู้สึกตัวจริงจังก็ประมาณ 2 - 3 ทุ่ม ตื่นมาก็สังเกตตัวเองก่อนเลยค่ะ พบว่าตัวเอง มีสายน้ำเกลือ มีสายระบายเลือดออกจากแผลเพิ่มมาด้วย ฟังดูน่ากลัว แต่จริง ๆ แล้วไม่มีโอดโอย เจ็บ ปวด เลยค่ะ เพราะคุณหมอplastic มาเล่าทีหลังว่าได้ฉีดยาชาที่แผลมาให้เรา รวมถึงการผ่าตัดโดนเส้นประสาท จึงมีการชาและจะไม่รู้สึกไปอีกสักพัก
11. หลังวันผ่าตัด 1 วัน คุณหมอplasticที่ทำการผ่าตัดให้เราก็มาค่ะ มาสรุปเคสให้ฟัง รวมถึงสภาพก้อนเนื้อที่เจอ ซึ่งคุณหมอได้แจ้งเราว่าก้อนเนื้อของเรากำลังส่งตรวจ การผ่าตัดผ่านพ้นไปได้ด้วยดี ไม่โดนเส้นเลือดที่กังวลกันในตอนแรก แต่ก้อนเนื้อที่พบต้องรอลุ้นกันต่อไป และจากสภาพการณ์ของเราซึ่งเริ่มลุกเดิน ไปห้องน้ำเองได้ แผลไม่อักเสบรุนแรง ไม่บวมมาก คุณหมอจึงอนุญาตให้กลับบ้านในวันถัดไปได้ค่ะ
12. กลับบ้าน ในวันกลับ พยาบาลจะนำใบสรุปยอดค่าใช้จ่ายมาให้เราค่ะ จากที่เตรียมไว้ 3 หมื่น สรุปว่าเลขที่ออกคือ 4 พันกว่าบาทค่ะ เมื่อญาติไปชำระเงินเสร็จก็กลับบ้านกันค่ะ เมื่อกลับบ้านมาแล้ว สายระบายเลือดก็กลับมาด้วยนะคะ เราต้องถือน้องไปด้วยทุกที่ อาจจะลำบากขึ้นหน่อย แต่ก็ไม่ได้ลำบากมากมายอะไรค่ะ เพียงแต่อย่าไปกระตุกหรือกระชากแค่นั้นเอง (เราได้ถอดสายระบายเลือดในวันล้างแผลนัดแรกค่ะ หลังจากกลับบ้านมาประมาณ 6 วัน)
การดูแลตัวเองตอนอยู่บ้าน
เราจะประคบเย็นบ่อยๆ รักษาความสะอาดบริเวณแผล ไม่ให้เปียก หรือชื้นเลยค่ะ พยายามอย่าให้เหงื่อออก อดทน ถนอมตัวเองหน่อยนะคะ
การทำความสะอาดร่างกายใช้วิธีการเช็ดตัว และไม่สระผมค่ะ เรารวบตึงไปด้านขวาตลอด 2 สัปดาห์ เราจะพยายามนอนให้หัวตั้ง ๆ ค่ะ คือเหมือนนั่งหลับ เอาหมอนมาหนุนหลังไว้ เพื่อให้สายระบายอยู่ในแนวดิ่ง และเพื่อให้ตัวเราไม่เผลอนอนทับสาย หรือพลิกตะแคงตัวทับแผลด้วยค่ะ อันนี้แล้วแต่ถนัดนะคะ ในระหว่างวันที่พักอยู่บ้านพยายามหาอะไรเบา ๆ ทำค่ะ อย่านอนเฉย ๆ ให้ฟุ้งซ่าน เช่น เล่นเกม ดูซีรีย์ เดินออกกำลัง ทำงานบ้าน เป็นต้นค่ะ
กลับบ้านมาเราก็รอวันนัดไปล้างแผล และวันนัดพบกับคุณหมอplasticที่ทำการผ่าให้เรา
ซึ่งคุณหมอจะให้เราพักหลังผ่าประมาณ 2 สัปดาห์แล้วจึงนัดมาตัดไหมค่ะ
ปัจจุบันนี้ เจ้าของกระทู้ไปตัดไหมมาแล้วนะคะ และผลชิ้นเนื้อก็ออกมาแล้วด้วยเช่นกัน ปรากฏว่าไม่ใช่เนื้อร้ายค่ะ
ในส่วนของเส้นประสาท
ใบหน้าของเราแบบปกติไม่เบี้ยวค่ะ จะมีเบี้ยวคือตอนยิ้มเห็นฟัน
ปากข้างซ้ายล่างตอนยิ้มเห็นฟันยังไม่กลับมาค่ะ ซึ่งคุณหมอคาดว่าต้องใช้เวลาฟื้นตัวอีกสักพัก
ส่วนของ
ใบหูตอนนี้ยังไม่ค่อยรู้สึกค่ะ แต่ภายในหูและการได้ยินยังปกติดีค่ะ
ในส่วนของ
บาดแผล ร่องรอยจากการผ่าตัด ต้องบอกว่าค่อนข้างยาว
น่าจะตามขนาดชิ้นเนื้อค่ะ โดยหลังตัดไหม คุณหมอได้ให้ยาทาฆ่าเชื้อ และ dermatix มาค่ะ
เจ้าของกระทู้จะมีนัดกับคลินิคเนื้องอกอีกครั้งเพื่อรีวิวผลในสัปดาห์หน้า และนัดกับคุณหมอplastic อีกครั้งในเดือนหน้าค่ะ
ผลเป็นยังไงต่อไป ถ้ามีคนสนใจจะมาอัพเดตให้ฟังนะคะ ขอบพระคุณที่อ่านจนจบค่ะ ขอให้ทุกคนมีสุขภาพแข็งแรง
หากต้องพบเจอกับเรื่องแย่ ๆ ก็ขอให้ทุกอย่างผ่านพ้นไปได้ด้วยดีนะคะ
เจ้าของกระทู้อยากเป็นกำลังใจให้กับเพื่อน ๆ ทุกคนที่ต้องพบเจอกับก้อนเนื้อแบบนี้นะคะ
อยากบอกว่าการมีกำลังใจดีดีนั้นสำคัญที่สุดแล้วค่ะ ทั้งกำลังใจจากตัวเราเอง และกำลังใจจากคนรอบข้าง
เจ้าของกระทู้เองบอกกับตัวเองเสมอว่า ไม่ว่ามันจะออกมาดีหรือไม่ดี ก็จะยอมรับ และทำการรักษาตามขั้นตอน
ทำทุกวันให้ดี ใช้ชีวิตปกติ ทำจิตใจของเราเข้มแข็ง และพลังบวกของเราจะส่งผลถึงคนรอบตัวของเราเอง
เราไม่เครียด เค้าไม่เครียด เค้าไม่เครียด เราก็ไม่เครียด และเมื่อไม่เครียดเราทุกคนก็จะมีแรงทำหน้าที่ของตัวเองต่อไป
ใส่สปอยภาพรวมก่อนผ่าและหลังผ่ามาค่ะ
ลักษณะการปิดแผล การมัดผมที่สะดวก และการเบี้ยวของใบหน้าตอนยิ้ม (ภาพที่ถ่ายหลังผ่าตัดประมาณ 10 วันค่ะ)
เจ้าของกระทู้หวังว่ากระทู้นี้จะมีประโยชน์กับผู้อ่านทุกท่านนะคะ ขอบคุณค่ะ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
เนื้องอกต่อมน้ำลาย 2565 แชร์ประสบการณ์การเข้ารับการผ่าตัด และขั้นตอนการรักษาอย่างย่อค่ะ
สังเกตเห็นตอนแรก ก้อนเนื้อค่อนข้างเล็ก และไม่มีอาการระคายเคืองใดใด
แต่ด้วยภาระงาน และปัญหาเรื่องวันหยุดวันลาที่วุ่นวาย จึงทำให้เราหลงลืม และละเลยไปเลยว่าควรไปพบแพทย์
จนกระทั่งหลายเดือนผ่านไป (ประมาณ 3-4 เดือน) ก้อนเนื้อมีขนาดโตขึ้น + กับวันนั้นถอดแมส แล้วคุณยายเห็นเข้า
คุณยายทักก่อนเลยว่า เป็นคางทูมหรอ เราเองก็ไม่รู้ว่าเจ้าก้อนเนื้อนี้คือก้อนอะไร
พยาพยามเสิร์ชหา แต่ก็ไม่พบว่ามันจะเป็นก้อนอะไรได้บ้าง
จากนั้นจึงตัดสินใจโทรนัดหมายกับโรงพยาบาลเพื่อขอพบแพทย์
ซึ่งคุณหมอวินิจฉัยตั้งแต่แรกเจอเลยว่า น่าจะเป็นเนื้องอกต่อมน้ำลายไพลาทิส
วันนั้นยังไม่ตื่นเต้นมากเพราะคุณหมอแจ้งว่า ถึงจะไม่ได้พบเจอได้บ่อย แต่ก็เคยผ่าตัดมาหลายเคส
เรากลับบ้านมาก็มานั่งเสิร์ชต่อว่า เนื้องอกต่อมน้ำลายคืออะไร มีใครเคยแชร์ประสบการณ์ไว้บ้าง
ทำให้พบว่าข้อมูลล่าสุดที่มีผู้แชร์ประสบการณ์ตั้งกระทู้ไว้ ก็ปี 2562 ตอบกระทู้ล่าสุดก็มีปี 2564
เราจึงบอกกับตัวเองไว้ว่า ถ้าทำการรักษาเสร็จสิ้น จะต้องมาแชร์ประการณ์ไว้
เพื่อเป็นข้อมูลอัพเดต ให้กับเพื่อน ๆ ที่อาจจะเจอก้อนเนื้อนี้เหมือนกัน
แบบสรุป คือ การผ่าตัดไม่ได้น่ากลัวอย่างที่เราคิด และไม่มีการเจ็บปวดโอดโอยทุรนทุรายหลังผ่าค่ะ
เราต้องปล่อยใจให้สบาย เชื่อมั่นในคุณหมอ ทำตามขั้นตอนที่คุณหมอแนะนำ
และไม่ต้องไปจับไปลูบไปคลำหรือไปกดตัวเนื้องอกที่พบนะคะ มันอาจไปกระตุ้นให้เค้าโตเร็วได้ค่ะ
ก่อนอื่นเลยนะคะ เจ้าของกระทู้อยากขอบพระคุณทีมแพทย์และพยาบาล
โรงพยาบาลศิริราช จากใจจริงค่ะ ถึงแม้จะเป็นโรงพยาบาลรัฐ และเข้ารักษาโดยใช้สวัสดิการ
แต่ทุกท่านดูแลเราอย่างเต็มความสามารถตลอดการรักษาทุกขั้นตอน เราซาบซึ้งใจมาก ๆ จริง ๆ ค่ะ
มาถึงขั้นตอนการรักษา เจ้าของกระทู้ขอเล่าแบบคร่าว ๆ นะคะ
หากต้องการสอบถามเพิ่มเติม ก็ถามมาได้เลยค่ะ (นัดแรก 29 ก.ย. 65 // นัดผ่า 2 ธ.ค. 65 ค่ะ)
1. โทรเข้าโรงพยาบาลเพื่อขอทำนัด ซึ่งของเราคุณพยาบาลนัดคุณหมอplastic(ศัลยแพทย์)ให้ค่ะ
2. ไปตามนัดที่คุณพยาบาลทำนัดไว้ให้ เมื่อพบคุณหมอplastic และได้รับการวินิจฉัยโรคแล้วคุณหมอจะส่งให้เราไปจอง CT SCAN ค่ะ
3. ไปจอง CT SCAN และมาทำ CT SCAN ตามนัด จุดนี้เราก็แอบกลัวนิดนึงเพราะทราบว่าต้องมีการฉีดสีเข้าร่างกาย ไม่เคยทำมาก่อนก็เลยกลัวนำไปก่อน แอบน้ำตาปริ่ม ๆ ตอนโดนเข็มจิ้มคาแขนไว้ แต่แล้วก็พบว่า ไม่มีอะไรน่ากลัวเลยค่ะ แพทย์พยาบาลที่อยู่ตรงจุดห้องรังสีดูแลคนไข้ทุกคนดีมาก ๆ คอยปลอบ คอยบอกขั้นตอนเรา ขอเพียงเราทำตาม แปปเดียวก็เสร็จแล้วค่ะ
4. ไปพบคุณหมอplastic เพื่อฟังผล CT SCAN จุดนี้น่าจะเป็นจุดที่พาเราเครียดที่สุดแล้วค่ะ ก้อนเนื้อของเราค่อนข้างโตมากกว่าที่ตาเห็นภายนอก เพราะเค้าโตไปเบียดกับเส้นเลือดดำของเรา รวมถึงเบียดเส้นประสาทต่าง ๆ ตรงบริเวณนั้น คุณหมอก็บอกถึงความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้น เช่น อาจจะมีหน้าเบี้ยว (ชั่วคราว) หรือหากผ่าไปโดนเส้นเลือดก็อาจจะต้องมีการซ่อมเส้นเลือดเกิดขึ้นได้ ซึ่งในจุดนี้บอกเลยว่าเรานั่งมึนไปเลยค่ะ แต่คุณหมอก็ให้ความมั่นใจว่าเดี๋ยวจัดนัดให้เราเจอกับคุณหมอหลอดเลือดก่อน แล้วจึงจะนัดวันผ่าให้ เสร็จจากตรงนี้คุณหมอได้ส่งเราไปเจาะชิ้นเนื้อค่ะ
5. มาเจาะชิ้นเนื้อตามนัด ตอนแรกเราฟังแล้วก็จินตนาการไม่ออกว่าเจาะยังไง แต่เมื่อเผชิญกับสถานการณ์จริงก็พบว่า คุณหมอจะใช้เข็ม ซึ่งน่าจะ ไซส์ไม่ต่างจากการเจาะเลือดมากนัก เจาะเข้าไปที่จุดที่ก้อนเนื้ออยู่ ดึง ๆ ทึ้ง ๆ แล้วก็ดึงเข็มออกมา ก็ถือว่าเสร็จสิ้นค่ะ จากนั้นเราก็เอาชิ้นเนื้อไปส่งที่จุดวิเคราะห์ก็เป็นอันเสร็จสิ้นวันนั้น คุณหมอจะโทรมาแจ้งผลชิ้นเนื้อให้เราทราบค่ะ แต่ของเราผลไม่ค่อนชัดเจนทางคุณหมอจึงขอให้เรารอผลหลังผ่าตัดอีกทีเพื่อความชัวร์ค่ะ
6. นัดพบคุณหมอplastic เพื่อนัดวันผ่า และพบคุณหมอหลอดเลือดค่ะ ในวันนี้คุณหมอทำการนัดวันผ่าให้เราโดยพยายามหาคิวที่เร็วที่สุดให้ เนื่องจากน้องก้อนเนื้อของเราค่อนข้างโตขึ้นจากวันแรกที่มาหาคุณหมอพอสมควร (ประมาณ เดือนเศษๆ) เมื่อได้วันผ่าแล้วก็พบทีมคุณหมอหลอดเลือด ทำการซาวดูจุดที่ชิ้นเนื้ออยู่ว่าใกล้ชิดกับเส้นเลือดแค่ไหน จากนั้นก็ให้เราตัดสินใจไว้ก่อนว่าหากมีการโดนเส้นเลือดเกิดขึ้นเราจะเลือดมัดเส้นเลือด หรือเอาเส้นเลือดตรงจุดอื่นมาต่อเชื่อม ในวันนี้คุณหมอplastic ได้ออกใบจองเตียงให้เราไปติดต่อห้องจองเตียง ซึ่งจะมีเตียงให้เราเลือก 3 แบบค่ะ คือ พิเศษเดี่ยว พิเศษรวม และสามัญ ซึ่งจากงบที่เรามี เราตัดสินใจเลือกพิเศษรวมค่ะ (หักจากสวัสดิการข้าราชการ เราต้องจ่ายเพิ่มประมาณ 900 บาท/คืนค่ะ) และเนื่องจากมีความเสี่ยงของการผ่าโดนหลอดเลือดเคสของเราจึงมีการจองเตียง ICU ไว้เผื่อฉุกเฉินหลังผ่าตัดด้วย ทางคุณพยาบาลได้ประเมินค่าใช้จ่ายโดยให้เราเผื่อไว้ประมาณ 2-3 หมื่นบาทค่ะ
7. เจาะเลือด เอกซเรย์ปอด ตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ และพบวิสัญญีแพทย์ วันนี้น่าจะเป็นวันที่เดินเยอะที่สุดแล้วค่ะ แต่ทุกอย่างก็ผ่านพ้นไปได้ด้วยดี เอกซเรย์ปอดต้องเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดของโรงพยาบาล ตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจต้องถอดช่วงบนออก และจะมีเครื่องมือมาติดบริเวณหน้าอกค่ะ ส่วนการพบวิสัญญีแพทย์ แพทย์จะทำการวิเคราะห์สุขภาพของเราผ่านผลเลือด น้ำหนัก ส่วนสูง และข้อมูลประวัติการรักษาต่าง ๆ ของเรา และจะนำมาสังเคราะห์เป็นวิธีการดูแลตนเองเพื่อเตรียมเข้ารับการผ่าตัดต่อไปค่ะ ซึ่งสำหรับเจ้าของกระทู้ ได้รับคำแนะนำให้ทานอาหารที่มีธาตุเหล็กมากขึ้นเพื่อเตรียมพร้อมกับการเสียเลือดในห้องผ่าตัดค่ะ
8. ก่อนแอดมิด 1 วัน มาเจาะเลือด และตรวจโควิด19 ค่ะ
9. แอดมิดตามวันนัด โดยเราได้อยู่ตึกอุบัติเหตุ ชั้น 3 ห้องอุบัติเหตุพิเศษ 3 ตึกอาจจะดูเก่าไปหน่อยแต่ดีกว่าที่คิดไว้มากค่ะ ห้องพิเศษรวมจะมีเตียงคนไข้ 2 เตียง แบ่งสัดส่วนโดยใช้ผ้าม่านกั้นค่ะ แต่ละเตียงจะมีผู้เฝ้าไข้ ได้ 1 คนและต้องอยู่ตลอด 24 ชม. นะคะ โดยมีโซฟา หมอน ผ้าห่มให้ผู้เฝ้าไข้ และมีตู้เย็น 1 ตู้ เก้าอี้ 1 ตัว ห้องน้ำเป็นห้องน้ำรวมค่ะ ไม่มีห้องน้ำในตัว (ห้องน้ำสะอาดมากค่ะ สบายใจได้) พี่ ๆ พยาบาลที่ตึกนี้น่ารักมาก ดูแลดีมาก ใส่ใจคนไข้สุด ๆ ลบภาพพยาบาลหน้าโหด ๆ เสียงดุ ๆ ออกจากหัวเราไปเลยค่ะ // ในวันแอดมิดจะมีทีมแพทย์ที่จะทำการผ่าตัดให้เรามาพบเราเพื่อทำการสรุปกันอีกครั้งค่ะ ว่าเราจะผ่าอะไร อย่างไร สำหรับเราจะมี ศัลยแพทย์ และแพทย์หลอดเลือดที่มาค่ะ เราก็บอกกับแพทย์หลอดเลือดไปค่ะ ว่าขอให้เราไม่ต้องเจอกันในห้องผ่าตัดนะคะ // ในวันนี้เราจะต้องงดน้ำงดอาหารหลังเที่ยงคืนค่ะ
10. วันผ่าตัด ช่วงเช้าจะมีรถเข็นจากห้องผ่าตัดมารับเราค่ะ จากนั้นก็ไปนอนรอในห้องพักรอ เข้าห้องผ่าตัด เจอทีมวิสัญญีแพทย์ คุยไปคุยมาเราหลับไปตอนไหนไม่รู้ค่ะ ตื่นมาอีกทีก็มาอยู่ห้องพักรอหลังผ่าตัดแล้ว และก็สะลึมสะลือมาตลอด แต่จากที่คุณหมอวิสัญญีเล่าก็คือ คุณหมอจะปลุกเราโดยเรียกชื่อค่ะ เมื่อเราตื่นมาจะให้เราทำตามคำสั่งต่างๆ เช่น ลืมตา กรอกตา เป็นต้น เสร็จแล้วจึงจะย้ายเรากลับห้องพัก ซึ่งตอนถูกเข็นออกมาขณะสะลึมสะลืมก็ยังมองหาแต่ญาติค่ะ เห็นเสื้อแดง ๆ มาก็โอเคสบายใจละ จากนั้นกว่าเราจะรู้สึกตัวจริงจังก็ประมาณ 2 - 3 ทุ่ม ตื่นมาก็สังเกตตัวเองก่อนเลยค่ะ พบว่าตัวเอง มีสายน้ำเกลือ มีสายระบายเลือดออกจากแผลเพิ่มมาด้วย ฟังดูน่ากลัว แต่จริง ๆ แล้วไม่มีโอดโอย เจ็บ ปวด เลยค่ะ เพราะคุณหมอplastic มาเล่าทีหลังว่าได้ฉีดยาชาที่แผลมาให้เรา รวมถึงการผ่าตัดโดนเส้นประสาท จึงมีการชาและจะไม่รู้สึกไปอีกสักพัก
11. หลังวันผ่าตัด 1 วัน คุณหมอplasticที่ทำการผ่าตัดให้เราก็มาค่ะ มาสรุปเคสให้ฟัง รวมถึงสภาพก้อนเนื้อที่เจอ ซึ่งคุณหมอได้แจ้งเราว่าก้อนเนื้อของเรากำลังส่งตรวจ การผ่าตัดผ่านพ้นไปได้ด้วยดี ไม่โดนเส้นเลือดที่กังวลกันในตอนแรก แต่ก้อนเนื้อที่พบต้องรอลุ้นกันต่อไป และจากสภาพการณ์ของเราซึ่งเริ่มลุกเดิน ไปห้องน้ำเองได้ แผลไม่อักเสบรุนแรง ไม่บวมมาก คุณหมอจึงอนุญาตให้กลับบ้านในวันถัดไปได้ค่ะ
12. กลับบ้าน ในวันกลับ พยาบาลจะนำใบสรุปยอดค่าใช้จ่ายมาให้เราค่ะ จากที่เตรียมไว้ 3 หมื่น สรุปว่าเลขที่ออกคือ 4 พันกว่าบาทค่ะ เมื่อญาติไปชำระเงินเสร็จก็กลับบ้านกันค่ะ เมื่อกลับบ้านมาแล้ว สายระบายเลือดก็กลับมาด้วยนะคะ เราต้องถือน้องไปด้วยทุกที่ อาจจะลำบากขึ้นหน่อย แต่ก็ไม่ได้ลำบากมากมายอะไรค่ะ เพียงแต่อย่าไปกระตุกหรือกระชากแค่นั้นเอง (เราได้ถอดสายระบายเลือดในวันล้างแผลนัดแรกค่ะ หลังจากกลับบ้านมาประมาณ 6 วัน)
การดูแลตัวเองตอนอยู่บ้าน
เราจะประคบเย็นบ่อยๆ รักษาความสะอาดบริเวณแผล ไม่ให้เปียก หรือชื้นเลยค่ะ พยายามอย่าให้เหงื่อออก อดทน ถนอมตัวเองหน่อยนะคะ
การทำความสะอาดร่างกายใช้วิธีการเช็ดตัว และไม่สระผมค่ะ เรารวบตึงไปด้านขวาตลอด 2 สัปดาห์ เราจะพยายามนอนให้หัวตั้ง ๆ ค่ะ คือเหมือนนั่งหลับ เอาหมอนมาหนุนหลังไว้ เพื่อให้สายระบายอยู่ในแนวดิ่ง และเพื่อให้ตัวเราไม่เผลอนอนทับสาย หรือพลิกตะแคงตัวทับแผลด้วยค่ะ อันนี้แล้วแต่ถนัดนะคะ ในระหว่างวันที่พักอยู่บ้านพยายามหาอะไรเบา ๆ ทำค่ะ อย่านอนเฉย ๆ ให้ฟุ้งซ่าน เช่น เล่นเกม ดูซีรีย์ เดินออกกำลัง ทำงานบ้าน เป็นต้นค่ะ
กลับบ้านมาเราก็รอวันนัดไปล้างแผล และวันนัดพบกับคุณหมอplasticที่ทำการผ่าให้เรา
ซึ่งคุณหมอจะให้เราพักหลังผ่าประมาณ 2 สัปดาห์แล้วจึงนัดมาตัดไหมค่ะ
ปัจจุบันนี้ เจ้าของกระทู้ไปตัดไหมมาแล้วนะคะ และผลชิ้นเนื้อก็ออกมาแล้วด้วยเช่นกัน ปรากฏว่าไม่ใช่เนื้อร้ายค่ะ
ในส่วนของเส้นประสาท ใบหน้าของเราแบบปกติไม่เบี้ยวค่ะ จะมีเบี้ยวคือตอนยิ้มเห็นฟัน
ปากข้างซ้ายล่างตอนยิ้มเห็นฟันยังไม่กลับมาค่ะ ซึ่งคุณหมอคาดว่าต้องใช้เวลาฟื้นตัวอีกสักพัก
ส่วนของใบหูตอนนี้ยังไม่ค่อยรู้สึกค่ะ แต่ภายในหูและการได้ยินยังปกติดีค่ะ
ในส่วนของบาดแผล ร่องรอยจากการผ่าตัด ต้องบอกว่าค่อนข้างยาว
น่าจะตามขนาดชิ้นเนื้อค่ะ โดยหลังตัดไหม คุณหมอได้ให้ยาทาฆ่าเชื้อ และ dermatix มาค่ะ
เจ้าของกระทู้จะมีนัดกับคลินิคเนื้องอกอีกครั้งเพื่อรีวิวผลในสัปดาห์หน้า และนัดกับคุณหมอplastic อีกครั้งในเดือนหน้าค่ะ
ผลเป็นยังไงต่อไป ถ้ามีคนสนใจจะมาอัพเดตให้ฟังนะคะ ขอบพระคุณที่อ่านจนจบค่ะ ขอให้ทุกคนมีสุขภาพแข็งแรง
หากต้องพบเจอกับเรื่องแย่ ๆ ก็ขอให้ทุกอย่างผ่านพ้นไปได้ด้วยดีนะคะ
เจ้าของกระทู้อยากเป็นกำลังใจให้กับเพื่อน ๆ ทุกคนที่ต้องพบเจอกับก้อนเนื้อแบบนี้นะคะ
อยากบอกว่าการมีกำลังใจดีดีนั้นสำคัญที่สุดแล้วค่ะ ทั้งกำลังใจจากตัวเราเอง และกำลังใจจากคนรอบข้าง
เจ้าของกระทู้เองบอกกับตัวเองเสมอว่า ไม่ว่ามันจะออกมาดีหรือไม่ดี ก็จะยอมรับ และทำการรักษาตามขั้นตอน
ทำทุกวันให้ดี ใช้ชีวิตปกติ ทำจิตใจของเราเข้มแข็ง และพลังบวกของเราจะส่งผลถึงคนรอบตัวของเราเอง
เราไม่เครียด เค้าไม่เครียด เค้าไม่เครียด เราก็ไม่เครียด และเมื่อไม่เครียดเราทุกคนก็จะมีแรงทำหน้าที่ของตัวเองต่อไป
ใส่สปอยภาพรวมก่อนผ่าและหลังผ่ามาค่ะ
ลักษณะการปิดแผล การมัดผมที่สะดวก และการเบี้ยวของใบหน้าตอนยิ้ม (ภาพที่ถ่ายหลังผ่าตัดประมาณ 10 วันค่ะ)
เจ้าของกระทู้หวังว่ากระทู้นี้จะมีประโยชน์กับผู้อ่านทุกท่านนะคะ ขอบคุณค่ะ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้