เอสจี แคปปิตอล(SGC) พร้อมเทรดวันแรก 13 ธ.ค.นี้ - กูรูเคาะเป้า 6.20 บาท

กระทู้คำถาม
https://www.efinancethai.com/LastestNews/LatestNewsMain.aspx?release=y&ref=M&id=TitORFpXcXhGZW89
 
  "เอสจี แคปปิตอล (SGC)" ได้ฤกษ์ดีเข้าเทรด 13 ธ.ค.นี้ ด้วยมูลค่าหลักทรัพย์ ณ ราคา IPO 12,753 ลบ. ชู P/E ต่ำ ที่ 21.84 เท่า ด้านผู้บริหาร เล็งนำเงินใช้รองรับการขยายธุรกิจสินเชื่อ-ชำระคืนเงินกู้ SINGER อวดรายได้งวด 9 เดือน ปี 65 ที่ 1.66 พันลบ. โต 27% ด้านกูรูเคาะเป้า 6.20 บาท ลุ้นกําไรโตก้าวกระโดด 

*** ตลท.รับ "เอสจี แคปปิตอล (SGC)" เข้าเทรดวันแรก 13 ธ.ค.นี้
      นายแมนพงศ์ เสนาณรงค์ รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานผู้ออกหลักทรัพย์ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยว่าตลาดหลักทรัพย์ฯรับ บมจ. เอสจี แคปปิตอล เข้าจดทะเบียนและเริ่มซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ในกลุ่มอุตสาหกรรมธุรกิจการเงิน หมวดธุรกิจเงินทุนและหลักทรัพย์ โดยใช้ชื่อย่อในการซื้อขายหลักทรัพย์ว่า “SGC” ในวันที่ 13 ธ.ค.นี้
      โดย SGC ดำเนินธุรกิจให้บริการสินเชื่อที่มิใช่สถาบันการเงิน (Non-Bank) ภายใต้กลุ่ม SINGER โดยแบ่งเป็น 1.สินเชื่อเช่าซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้า ของใช้ในครัวเรือน และเครื่องจักร,2.สินเชื่อรถยนต์ภายใต้แบรนด์ “รถทำเงิน” (เน้นกลุ่มรถบรรทุก) ผ่านพนักงานขาย สาขาและแฟรนไชส์ของบริษัทในกลุ่ม เช่น SINGER และ Jaymart mobile กว่า 4,154 สาขา รวมถึงพันธมิตรร้านค้า เช่น go! Power และ Homehub เครือข่ายทางธุรกิจ Dealer และ Agent 1,859 ราย ครอบคลุมทุกภูมิภาคในประเทศไทยและขยายการให้บริการครอบคลุมถึงสินเชื่อสวัสดิการพนักงาน และสินเชื่อผ่อนทองออนไลน์ (Click2Gold) โดย ณ วันที่ 30 ก.ย.65 บริษัทมีพอร์ตลูกหนี้สินเชื่อทุกประเภท มูลค่ารวมกว่า 15,000 ล้านบาท
 
*** ชู P/E ราว 21.84 เท่า หลังเคาะราคา IPO หุ้นละ 3.90 บ.
  SGC มีทุนชำระแล้ว 3,270 ล้านบาท มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท ประกอบด้วยหุ้นสามัญเดิม 2,450 ล้านหุ้น และหุ้นสามัญเพิ่มทุนที่เสนอขายต่อประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) 820 ล้านหุ้น และมีการเสนอขายหุ้น IPO ในราคาหุ้นละ 3.90 บาท ซึ่งคิดเป็นมูลค่าระดมทุน 3,198 ล้านบาท โดยมีมูลค่าหลักทรัพย์ ณ ราคา IPO 12,753 ล้านบาท
  ทั้งนี้ การกำหนดราคาเสนอขายหุ้น IPO อ้างอิงตามมูลค่าเชิงเปรียบเทียบกับมูลค่าของหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์ฯที่สามารถอ้างอิงได้ (Market Comparable) โดยราคาที่เสนอขายคิดเป็นอัตราส่วนราคาต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น (P/E) เท่ากับ 21.84 เท่า เมื่อเทียบกับกำไรสุทธิของบริษัทที่ 0.18 บาท/หุ้น ซึ่งคำนวณจากกำไรสุทธิส่วนที่เป็นของผู้ถือหุ้นของบริษัทใหญ่ในช่วง 4 ไตรมาสย้อนหลังตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.64 ถึงวันที่ 30 ก.ย.65 หารด้วยจำนวนหุ้นสามัญภายหลังการเสนอขายครั้งนี้ (Fully Diluted)
  โดยมีบริษัทที่ปรึกษา เอเซีย พลัส จำกัด และบริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน และบล. เอเซีย พลัส จำกัด และบล. เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจัดจำหน่ายหุ้นสามัญร่วม 

*** ระดมทุนขยายธุรกิจสินเชื่อ-ชำระคืนเงินกู้ SINGER
  นางสาวบุษบา กุลศิริธรรม กรรมการผู้จัดการ บมจ. เอสจี แคปปิตอล (SGC) กล่าวว่าการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ จะช่วยให้บริษัทมีฐานทุนที่แข็งแกร่งขึ้นและเพิ่มศักยภาพในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนเพื่อขยายธุรกิจให้เติบโตอย่างต่อเนื่องและยั่งยืน โดยจะนำเงินที่ได้จากการระดมทุนมาใช้รองรับการขยายธุรกิจการให้บริการสินเชื่อ รองรับลูกค้ารายใหม่ และรองรับการขยายตัวของของพอร์ตสินเชื่อที่มีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่อง รวมถึงชำระคืนเงินกู้ยืมบางส่วนจาก SINGER
 
*** SINGER-JMART- RABBIT ถือหุ้นใหญ่ 3 ลำดับแรก
  สำหรับผู้ถือหุ้น 3 ลำดับแรกหลัง IPO ได้แก่ 1) บริษัท ซิงเกอร์ประเทศไทย จำกัด (มหาชน) (SINGER) ถือหุ้น 74.92% 2) บริษัท เจ มาร์ท จำกัด (มหาชน) (JMART) ถือหุ้น 4.46% และ 3) บริษัท แรบบิท โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) (RABBIT) ถือหุ้น 4.17%
  ทั้งนี้บริษัทมีนโยบายการจ่ายเงินปันผลในอัตราไม่ต่ำกว่า 50% ของกำไรสุทธิจากงบการเงินเฉพาะกิจการของบริษัท ภายหลังการหักภาษีเงินได้นิติบุคคลและการจัดสรรทุนสำรองตามกฎหมาย
 
*** อวดรายได้งวด 9 เดือน ปี 65 ที่ 1.66 พันลบ. โต 27%
  ขณะที่ไตรมาส 3/65 บริษัทมีรายได้รวมจำนวน 634 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 198 ล้านบาท หรือ 45% และในงวด 9 เดือน ปี 65 มีรายได้รวม 1,665 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 358 ล้านบาท หรือ 27% จากงวดเดียวกันของปีก่อน โดยมีสัดส่วนรายได้หลักมาจากรายได้ดอกเบี้ย ซึ่งประกอบด้วยรายได้ดอกเบี้ยจากสินเชื่อรถทำเงิน 46% และรายได้ดอกเบี้ยจากสินเชื่อเช่าซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้าและเครื่องจักรสัดส่วน 51% ที่เหลือเป็นรายได้ดอกเบี้ยสินเชื่อสวัสดิการพนักงานและดอกเบี้ยสินเชื่อผ่อนทองและสินเชื่ออื่นๆ พร้อมด้วยการควบคุมลูกหนี้ที่มีการด้อยค่าด้านเครดิต (NPL) ต่อสินเชื่อรวมอยู่ในระดับต่ำที่ 3.7 %
      อย่างไรก็ตามในงวดไตรมาส 3/65 บริษัทมีกำไรสุทธิ 160 ล้านบาท ลดลง 4% เทียบกับงวดเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 167 ล้านบาท และในงวด 9 เดือน ปี 65 มีกำไรสุทธิ 467 ล้านบาท ลดลง 9 ล้านบาท หรือ 2% จากงวดเดียวกันของปีก่อนที่อยู่ระดับ 476 ล้านบาท โดยมีสาเหตุหลักจากการขยายตัวอย่างต่อเนื่องของพอร์ตสินเชื่อรถทำเงินซึ่งมีอัตราส่วนรายได้ดอกเบี้ยต่อสินเชื่อรถทำเงินรวมต่ำกว่าอัตราส่วนรายได้ดอกเบี้ยสินเชื่อเช่าซื้อต่อสินเชื่อเช่าซื้อรวม ดังนั้นจึงมีผลให้อัตรากำไรสุทธิลดลง
 
*** โบรกฯเคาะเป้า 6.20 บ./หุ้น ลุ้นกําไรโตก้าวกระโดดในปี 66-67
      ด้านบริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เอเซีย พลัส จำกัด ประเมินราคาเป้าหมายปี 66 ของ SGC ที่ 6.20 บาท บาท อิง PBV 2.6 เท่า ตามวิธี Gordon Growth Model ที่ ROE เฉลี่ยระยะยาว 15.0% และการเติบโตเฉลี่ยระยะยาว (Terminal growth) ที่ 6.5% เทียบเท่า PER ปี 66 ที่ 22.0 เท่า และ PBV 2.6 เท่า
      โดยฝ่ายวิจัยประเมินว่า SGC มีศักยภาพในการเติบโตสูงในระยะยาว เนื่องจาก SGC เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการปล่อยสินเชื่อเช่าซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้าและจํานําทะเบียนรถบรรทุกที่มีศักยภาพเติบโตอีกมาก หลังระดมทุน IPO รองรับแนวโน้มความต้องการใช้สินเชื่อเพิ่มขึ้น โดยอุตสาหกรรมสินเชื่อจํานําทะเบียนรถบรรทุกที่ใหญ่มากและ SGC มีโอกาสเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดจากผู้ให้บริการสินเชื่อท้องถิ่นมากขึ้น จากจุดเด่นของ SGC ที่ให้บริการสินเชื่อดี อนุมัติเร็วและมีระบบพิจารณาความเสี่ยงของลูกหนี้ได้ดี
      ขณะที่คาดว่าแนวโน้มกําไรสุทธิปี 65-67 ของ SGC จะเติบโต 9%, 43% และ 36% จากปีก่อน ตามลําดับ เนื่องจากการเร่งปล่อยสินเชื่อจํานําทะเบียนรถบรรทุกมากขึ้น นอกจากนี้ยังได้ผลบวกจากแนวโน้มค่าใช้จ่ายทางการเงินลดลงหลังจากได้เงินระดมทุนจาก IPO

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่