JJNY : นโยบายค่าแรงในมุมมองนิสิต-นศ.|ก้าวไกลโคราช ลุยกระจายอำนาจท้องถิ่น| อดีต สสร.ร้อง 'สหายแสง'| นิ้วชี้หู ตู่ทำท่า

นโยบายค่าแรง600 ป.ตรี2.5หมื่น ในมุมมองนิสิต-นศ. เชื่อทำได้จริง ไม่เอื้อนายทุนใหญ่
https://www.khaosod.co.th/politics/news_7405615

นโยบายค่าแรง600 ป.ตรี2.5หมื่น ในมุมมองนิสิต-นศ. ช่วยลดปัญหาสมองไหล ตอบสนองเด็กจบใหม่กำลังจะก้าวเข้าสู่วัยทำงาน
 
วันที่ 8 ธ.ค.65 หลังจากพรรคเพื่อไทย ประกาศผลักดันนโยบายด้านเศรษฐกิจ เพื่อพลิกฟื้นเศรษฐกิจโดยเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำ 600 บาท และเงินเดือนปริญญาตรี เริ่มต้นที่ 25,000 บาท โดยยืนยันจะทำให้สำเร็จภายในปี 2570 หากพรรคเพื่อไทยได้จัดตั้งรัฐบาลหลังการเลือกตั้งปี 2566
 
นายสันติภาพ ราษฎรยินดี ประธานสโมสรนิสิตคณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (มศว) มองว่า ค่าแรง 300 บาท ไม่เพียงพอต่อประชาชนทั่วไป จึงเห็นด้วยกับการเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำ 600 บาท อย่างไรก็ตาม ส่วนตัวไม่ได้คาดหวังว่าต้องเพิ่มไปถึง 600 บาท แต่อย่างน้อยให้เพิ่มขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ ก็ถือว่านโยบายดังกล่าวประสบความสำเร็จแล้ว
 
สำหรับความกังวลต่อนโยบาย นายสันติภาพ ระบุว่า ยังมีความกังวลในส่วนหนึ่ง เพราะหากเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำแล้ว จะส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อสูงขึ้นด้วย จึงต้องหาจุดร่วมระหว่างผู้ประกอบการและหน่วยงานรัฐ
 
คาดหวังว่าน่าจะเป็นไปได้ เมื่อดูจากผลงานที่ผ่านมา พรรคเพื่อไทยก็สามารถแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจได้ในหลายส่วนเช่นกัน แต่ขอฝากไว้ว่าหากมีแนวคิดจะเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำ ทางพรรคเองควรหากลไกดูแลเรื่องค่าครองชีพด้วย คือหากค่าแรงเพิ่มขึ้นแล้ว ก็ต้องหาทางคุมไม่ให้ค่าครองชีพเพิ่มด้วย
 
ส่วนนโยบายเพิ่มเงินเดือนขั้นต่ำของเด็กจบใหม่ วุฒิการศึกษา ป.ตรี เริ่มต้นเงินเดือนที่ 25,000 บาทนั้น นายสันติภาพ กล่าวว่า สมเหตุสมผล เพราะทุกวันนี้เด็กจบใหม่ เงินเดือนก็เริ่มต้นที่ประมาณ 15,000 บาท บางสายอาชีพก็ประมาณ 9,000 บาท เช่น ครูที่ไม่ได้รับใบประกอบวิชาชีพที่ทำงานตามศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก จึงเห็นด้วยกับนโยบายเด็กจบใหม่ เริ่มต้นเงินเดือนที่ 25,000 บาท เพราะจะเป็นการช่วยลดปัญหาสมองไหลด้วย
 
ขณะที่ นายฐิติ ชิวชรัตน์ อดีตประธานสภานิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย คณะวิศวกรรมศาสตร์ ชั้นปี 4 มองว่า นโยบายเงินเดือน 25,000 บาท สำหรับผู้ที่จบปริญญาตรีนั้น ตอบสนองกับนิสิตนักศึกษาที่กำลังจะก้าวเข้าสู่วัยทำงานมาก เพราะเท่าที่ได้คุยกับเพื่อนๆ ในรุ่นพบว่า หนึ่งในความกังวลสำหรับเด็กจบใหม่คือ เรื่องเงินเดือนที่จะได้ เพราะทราบกันดีว่า ค่าครองชีพในกรุงเทพฯ ค่อนข้างจะมีราคาสูงขึ้นมาก ไม่ว่าจะเป็นค่าอาหาร ค่าเดินทาง
 
อีกทั้งค่าโดยสารรถไฟฟ้าที่มีแนวโน้มจะสูงขึ้นในปีต่อไป ยังไม่รวมถึงการที่ต้องทำงานเพื่อหาเลี้ยงดูครอบครัว หรือพ่อแม่ที่แก่ชราลงไปเรื่อยๆ และต้นทุนที่เด็กจบใหม่ต้องแบกรับเยอะกว่าเงินเดือนที่จะได้ หากอ้างอิงตามฐานเงินเดือนในปัจจุบัน ถ้ามีนโยบายที่การันตีได้ว่า นิสิต หรือนักศึกษาเมื่อจบมหาวิทยาลัยออกมาแล้วจะได้รับเงินเดือนเริ่มต้นที่ 25,000 บาท ก็เป็นเครื่องการันตีได้ว่า สามารถใช้ชีวิตในสังคมได้โดยมีรายรับมากกว่าต้นทุน
 
ขณะที่นโยบายค่าแรงขั้นต่ำ 600 บาทนั้น นายฐิติ มองว่า ต้องดูหลายๆ องค์ประกอบในสังคมรวมกัน แต่ตามเป้าหมายภายในระยะเวลา 5 ปีของพรรคเพื่อไทยที่ต้องการจะฟื้นฟูเศรษฐกิจไทยให้จีดีพีโตเฉลี่ย 5% มันก็สามารถทำให้ค่าแรงขั้นต่ำไปถึง 600 บาทได้ เมื่อภาคเศรษฐกิจดีขึ้น ภาคธุรกิจก็จะมีกำลังจ้างคนในอัตราที่มากขึ้น หรือจ้างด้วยเงินเดือนที่มากขึ้นตามลำดับ รวมถึงหากเศรษฐกิจเติบโตต่อไปได้ การจ้างคนด้วยอัตราค่าแรง 600 บาทจะไม่ได้เอื้อให้แก่นายทุนเอกชนรายใหญ่เท่านั้น แต่ยังเอื้อให้แรงงานทุกคนอีกด้วย
 


ก้าวไกลโคราช เปิดตัวว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.เขต ลุยผลักดันกระจายอำนาจท้องถิ่นให้สำเร็จ
https://www.matichon.co.th/politics/news_3717372

ก้าวไกลโคราช เปิดตัวว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.เขต ลุยผลักดันกระจายอำนาจท้องถิ่นให้สำเร็จ
 
เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 9 ธันวาคม ที่อาคารอเนกประสงค์ “อาภาญา” ชื่อเดิมห้างสรรพสินค้า “คลังพลาซ่าจอมสุรางค์” เขตเทศบาลนคร (ทน.) นครราชสีมา นางภัทรกาญจน์ ทองแดง ผู้ประสานงานพรรคก้าวไกล (กก.) โคราช จัดกิจกรรมสมาชิก กก.สัมพันธ์ โดยเปิดตัวว่าที่ผู้สมัคร ส.ส เขต จ.นครราชสีมา ซึ่งใช้พื้นที่เขตเดิมที่ กกต.ใช้ในเลือกตั้ง ส.ส เขต ปี 2548 ประกอบด้วย

เขต 1 นายฉัตร สุภัทรวณิชย์ เขต 2 นายศุทธสิทธิ์ พจน์ฐศักดิ์ เขต 3 นายปิยชาติ รูจิพรวศิน เขต 4 นายอัครพงศ์ วรรณพงษ์ เขต 5 นายธนภูมิ ตั้งสิทธิประเสริฐ เขต 6 นายสามารถ ชนะกุลชัยสุข เขต 7 นายครรชิต ต่อเงิน เขต 8 นายกรฉัตรชัย นาสมใจ เขต 9 นายชนะพล ศรีแสง เขต 10 นายสมศักดิ์ บุญเสริฐ เขต 12 นายชรินทร์ ทำดี เขต 13 นายวุฒิศักดิ์ พิมพ์พิสาร เขต 14 นายสาธิต ปิติวรา เขต 15 นายศุภวัฒน์ พันธ์นัทธีร์ เขต 16 นายเสนีย์ หาญศรี
 
จากนั้นเป็นการเสวนาแลกเปลี่ยนเรียนรู้ และถอดบทเรียนจากประสบการณ์หาเสียงเลือกตั้งที่ผ่านมา เพื่อกำหนดยุทธศาสตร์การเลือกตั้งรวมทั้งลงพื้นที่พบปะประชาชน เปิดรับฟังเสียงสะท้อนพร้อมสื่อสารสร้างการรับรู้ทำความเข้าใจการกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่น
  
นายฉัตร ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส. เขต 1 ในฐานะเคยเป็นสมาชิกสภา (สท.) ทน.นครราชสีมา หลายสมัย เปิดเผยสาระสำคัญของการกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่นและเลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัดที่มาจากประชาชนโดยตรง ว่า วิถีชีวิตประชาชนส่วนภูมิภาคมีความผูกพันกับท้องถิ่นซึ่งบริหารจัดการ สถานศึกษา ศูนย์แพทย์ชุมชน ศูนย์ดูแลผู้สูงอายุ ศูนย์เด็กเล็กก่อนวัยเรียน น้ำประปา เส้นทางคมนาคมและไฟฟ้าส่องสว่าง ท้องถิ่นจึงทราบปัญหา ความต้องการและสามารถแก้ปัญหาได้ตรงจุดแต่รัฐบาลปิดกั้นขัดขวางความเจริญของท้องถิ่น ทั้งๆที่ เราก็มีคนดี คนเก่ง สามารถบริหารองค์กรให้เติบโต เข้มแข็งด้วยตนเองได้แต่ติดขัดเรื่องโครงสร้างของอำนาจ หน้าที่ บุคลากรและขั้นตอนระบบราชการ โดยเฉพาะงบประมาณที่จัดสรรให้เพียงร้อยละ 20 เราขอแบ่งครึ่งให้แค่ 50 % ได้ไหม จะสามารถยกระดับการพัฒนาคุณภาพชีวิตได้ดีกว่าเดิม
 
ทั้งนี้ตนเชื่อนโยบาย กก. ที่ต้องการผลักดันการขับเคลื่อนกระจายอำนาจท้องถิ่นให้เป็นรูปธรรม เมื่อประชาชนทราบข้อเท็จจริงจะทำให้ กก.ชนะเลือกตั้งที่จะมีขึ้นในปีหน้าอย่างแน่นอน



อดีต สสร.ร้องกองปราบ เอาผิด 'สหายแสง' อ้างบุกรุกครอบครองที่ดินนับหมื่นไร่
https://www.khaosod.co.th/update-news/news_7406785

อดีต สสร.ร้องกองปราบ เอาผิด ‘สหายแสง’ รองประธานสภา อ้างบุกรุกครอบครองที่ดินของรัฐนับหมื่นไร่
 
วันที่ 9 ธ.ค.65 ที่ ศูนย์รับแจ้งความกองบัญขาการตำรวจสอบสวนกลาง ถนนพหลโยธิน จตุจักร กทม. นายเศวต ทินกูล อายุ 63 ปี อดีต สสร.ปี 2550
 ปัจจุบันเป็นเกษตรกร เดินทางเข้าพบพนักงานสอบสวน บก.ป. เพื่อร้องทุกข์กล่าวโทษ นายศุภชัย โพธิ์สุ หรือสหายแสง สส.นครพนม เขต 1 และปัจจุบันเป็นรองประธานสภาผู้แทนราษฎรไทยคนที่ 2 ข้อหาบุกรุกและครอบครองที่ดินของรัฐ ป่าดงพะทาย อ.ท่าอุเทน จ.นครพนม เป็นความผิดตามกฎหมาย
 
นายเศวต กล่าวว่า เดิมทีป่าดงพะทายเป็นป่าเสื่อมโทรม เนื้อที่กว่า 2 หมื่นไร่ กรมที่ดินได้เข้ามาจัดสรร โดยคณะกรรมการแก้ไขความยากจน ประกอบด้วยคณะกรรมการหลายฝ่ายจัดสรรให้ประชาชนเข้าทำกินในรูปแปลงใหญ่มีโรงเรียน, วัด, สุขศาลา, ถนน แยกเป็นส่วนที่เป็นบ้านพักอาศัย ส่วนที่ทำประโยชน์ทำการเกษตร
 
ต่อมา นายศุภชัย ซึ่งตอนนั้นเป็นครูอยู่ ขับขี่รถจยย.ผ่านมาเห็นเกิดความสนใจ ก่อนจะพาเกษตรกรเข้าไปปลูกอ้อยในที่ดินที่มีการจับจองกันอยู่ก่อน เมื่อปี 2552 ตนเห็นว่าเป็นการครอบครองที่ดินของรัฐโดยมิชอบ จึงได้ไปร้องเรียนต่อคณะกรรมาธิการ ป.ป.ช.ของสภาผู้แทนราษฎร เรื่องที่ร้องโดนแช่แข็งมาจนถึงรัฐบาลชุดปัจจุบันยังไม่มีความคืบหน้า ตนจึงเข้ารองต่อ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธิ์ เตมียเวส ประธานคณะกรรมาธิการ ป.ป.ช.ปัจจุบัน
 
และได้ตั้งอนุกรรมาธิการ ตั้งชุดทำงานมาตรวจสอบใหม่ พิจารณาแล้วชี้มูลว่ามีความผิด ฐานปกปิดบัญชีทรัพย์สินแจ้งบัญชีทรัพย์สินอันเป็นเท็จต่อ ป.ป.ช.ก่อนจะส่งให้ประธานสภา นายชวน หลีกภัย เพื่อส่งให้ ป.ป.ช.ต่อไป ขณะนี้เรื่องอยู่ระหว่างการพิจารณาของ ป.ป.ช.กรณีแจ้งบัญชีทรัพย์สินอันเป็นเท็จ และยังเห็นว่ามัพฤติกรรมที่ขัดต่อจริยธรรมของสภาผู้แทนราษฎร ก่อนจะนำเรื่องราวเสนอต่อ นายชวน หลีกภัย ให้สอบสวนในเรื่องจริยธรรมในสภาผู้แทนราษฏร
 
จากนั้นจังหวัดนครพนมได้มีคำสั่งเพิกถอนที่ดินตามใบจองป่าดงพะทาย 39 แปลง ที่ระบุชัดเจนว่าถือครองโดย นายศุภชัย โพธิสุ จำนวน 39 แปลง ทั้งนี้จะต้องเอาที่ดินผืนนี้คืนรัฐ นอกจากนี้ยังพบคลิปข่าวของนครพนมทันข่าวได้เผยแพร่การให้สัมภาษณ์ของ นายศุภชัย ว่าไม่ผิด ยืนยันว่าที่ดินตรงนี้เขายังถือครองอยู่ ซึ่งเป็นเจตนาทุจริตถือครองที่ดินอยู่ นอกจากนี้ยังนำเอาเอกสารที่ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนมดำเนินการจำหน่ายใบจองที่ นายศุภชัย ถือครองอยู่ แสดงให้เห็นว่า นายศุภชัย บุกรุกที่ดินของรัฐ
 
นอกจากนี้กรณีที่เป็นข่าวว่า นายศุภชัย ครองครองที่ดินของรัฐจำนวน 200 ไร่จาก 39 แปลง แต่ที่ตนไปตรวจสอบข้อมูลของกรมที่ดินมาพบว่าคนในครอบครัว โพธิ์สุขของ นายศุภชัย ครอบครองที่ดินรัฐจริง ๆ 938 แปลง เนื้อที่รวม 1 หมื่นกว่าไร่ ไม่ใช่ 200 ไร่ตามที่เป็นข่าว
 
ตนฝากไปถามอาจารย์ใหญ่ บุรีรัมย์ และหัวหน้าหนู ว่าสามารถจะรับเขาไปหรือไม่ เอาที่ดินจากชาวบ้านไปเป็นหมื่นๆ ไร่ ขณะพี่น้องเกษตรกรจะอดตายไม่มีที่ดินทำกิน ปัจจุบันกรมที่ดินได้จำหน่ายใบจองที่ดินบางส่วนไปแล้วจำนวน 140 กว่าแปลง มีของ นายศุภชัย 39 แปลง และจะดำเนินการเพิกถอนไปเรื่อยๆ
 
พบว่ามีการใช้อิทธิพลเข้ามาครอบงำจนทำให้เจ้าพนักงานที่ดินคนทำเรื่องจำหน่ายที่ดินโดนย้าย ผวจ.คนเซ็นคำสั่งอยู่ไปมาถึงปีก็โดนย้าย ตนก็โดนฟ้องแต่ศาลยกฟ้อง เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดนครพนมย้ายมาแค่ 5 เดือนก็โดนย้าย ใครที่เกี่ยวข้องที่ดินแปลงนี้มีอันเป็นไปอยู่ไม่ได้เจอภัยมืดทุกราย ยังเหลือที่ดินอีก 880 แปลงที่อยู่ระหว่างจำหน่าย ตนมาวันนี้นำหลักฐานการครอบครอบ 39 แปลง มาให้ตำรวจ ต้องการให้ดำเนินคดีกับ นายศุภชัย ก่อน ซึ่งความจริง นายศุภชัย ครอบครองที่ดินนับหมื่นไร่
 
เบื้องต้นพนักงานสอบสวน บก.ป.ตรวจสอบพบว่าอยู่ในอำนาจความรับผิดชอบของกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (บก.ปอท.) ที่ตั้งอยู่บางเขน จึงแนะนำผู้ร้องไปพบพนักงานสอบสวน บก.ปทส.ร้องทุกข์กล่าวโทษดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่