จริงๆก็ตามหัวข้อเลยค่ะ เราไม่ได้เป็นคนโลกส่วนตัวสูงนะคะ จริงเป็นคนextrovertด้วยซ้ำ แต่พอน้องโควิดมาเท่านั้นแหละค่ะ ต้องอยู่บ้านตลอด2ปีแบบที่เรียกได้ว่าได้ออกจากบ้าน1ครั้งต่อเดือนก็ถือว่าแต้มบุญหมดแล้ว เราต้องสอบทีแคสช่วงนั้นพอดี ซึ่งคนที่เคยผ่านก็พอจะทราบว่ากดดันและเครียดเบอร์ไหน เราเครียดมาก เราอ่านหนังสือทั้งวัน อ่านจนตี2-3 ตื่นเวลา10โมง สิ่งที่กดดันคือ เวลาที่พี่หรือแม่เดินผ่านมักจะถามว่า เ
อ่านถึงไหนแล้ว จบบทหรือยัง จบไปกี่รอบแล้ว เราเครียดในแบบที่ สามารถร้องไห้ได้ทุกครั้งที่เห็นหน้า2คนนี้ เรารู้สึกว่าเวลากลางคืนคือเวลาของเรา เพราะเราไม่ต้องเจอใคร เราไม่อยากตื่นด้วยซ้ำ จนเรากินข้าวน้อยลง เฉื่อยชามากขึ้น ไม่ค่อยมีอารมณ์ขันนัก ไม่ค่อยยิ้มแย้ม ร้องไห้บ่อย จนไปทำแบบทดสอบพบว่าอยู่ในเกณฑ์โรคซึมเศร้า เราก็พอรู้ตัว แต่เราก็ยังพยายามสู้คนเดียวมาตลอด ซึ่งในตอนนั้นเรามีแฟนนะคะ แต่ไม่ได้บอกแฟนเพราะไม่อยากให้กังวลเป็นห่วง จนเราสอบติดอะไรไป เราก็หายจากกอาการนี้ เราย้ายไปอีกจังหวัด ซึ่งเรารู้สึกว่าเราคงได้อยู่คนเดียวแล้วล่ะ แต่เปล่าเลย พี่สาวของเราทำงานในบริเวณใกล้เคียง ทำให้เราต้องอยู่กับพี่สาว เราพูดตามจริงเลยว่า เราไม่ชอบ เคยบอกกับแม่แล้ว ว่าเราไม่อยากอยู่กับพี่ ส่วนพี่เราไม่พูดอะไร เพราะอยากได้เงินช่วยจ่ายค่าห้อง สุดท้ายเราก็ต้องมาอยู่กับพี่สาว และแน่นอนว่า แม่เราไม่ยอมอยู่คนเดียว แม่เราตามมาด้วย อยู่ในห้อง3คน เหมือนก่อนหน้านี้อย่างชัดเจน เราอึดอัด เราไม่ชอบความวุ่นวาย ไม่ว่าเราจะทำอะไรมันไม่มีความเป็นส่วนตัวเลย เราจะคุยกับแฟนก็ไม่ได้ อยากจะพูดอะไรก็ไม่ได้ เราไม่ชอบให้ใครมานั่งฟังเรา เวลาที่เราแยกไปคุยแม่ก็จะเริ่มจับจ้องเราว่านอนได้แล้วนะ ทำแบบนี้ได้แล้วนะ วางได้แล้วนะ ในขณะที่พี่สาวเราต้องตื่นมาทำงาน8/9โมง ตัวแกเองนอนตี1-2 แค่ตื่นมาทำงานยังไม่ไหว เราเรียนบ่ายตลอด ไม่เคยไปสายซักครั้ง เราโดนว่า ซึ่งช่วงหลังๆมาจนถึงตอนนี้ เราโดนว่าอีกครั้งว่าเราคุยกับแฟนนานไป ซึ่งให้เหตุผลว่า เราพูดเองหนิว่าเหนื่อย แล้วทำไมยังไม่นอน เราผิดเองรึเปล่าที่พูดคุยกับที่บ้านว่าเหนื่อย เพียงเพราะช่วงนี้เราเล่นกีฬา เราเล่นกีฬาช่วงเช้า ช่วงบ่ายเราไปเรียน เราก็พยายามเปิดใจคุยเรื่องชีวิตประจำวันกับที่บ้าน ว่าเราเหนื่อยจังเลยย ง่วงมากๆ เราคุยเหมือนคุยเล่นปกติ แต่ผลกลับเป็นแบบนี้ ในเวลาที่เขามาบอกว่าเราคุยนาน คุยดึกคือเวลา5ทุ่ม นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่รู้สึกว่า พอเราเปิดใจพูดอะไร มันคือจุดอ่อนยังไงก็ไม่รู้ที่สุดท้าย เราโดนตอกกลับเอง ครั้งก่อนหน้านี้ เราก็โดนทำนองนี้ มักโดนตอกกลับมาว่า ก็เห็นพูดเองหนิว่า..... เราเลยรู้สึกว่า เราพูดมากเกินไปหรอ เพราะพูดตามตรงเลยว่า เราเป็นคนขี้ระแวงมาก ตั้งแต่เหตุการณ์ทีแคสตอนนั้น เราระแวงครอบครัวมาก เราจะไม่เล่าอะไรให้ฟังมากจนเกินไป เราไม่ชอบตอบคำถามส่วนตัว เราไม่ชอบคุยเรื่องเชิงลึกกับครอบครัว แม่เราค่อนข้างที่จะพยายามพูดตลอดว่ามีอะไรเราก็คุยกัน แต่ในเมื่อเราคิดไม่เหมือนกัน เราก็ไม่จำเป็นต้องคุยหรือเปล่า ก่อนหน้านี้ เราไปเจาะหูรูที่3-4มา พอเราแกล้งๆถามแม่ แบบหยอกเล่นว่า แม่ไม่ว่าอะไรหรอที่ลูกไปเจาะไม่บอก แม่เราตอบว่าต้องบอกสิว่าจะเจาะตรงไหน จะเจาะรึยัง ตอนเราเจาะเราก็ไม่ได้บอกหรอกค่ะ เพราะก่อนหน้านี้แม่พูดไว้ว่าห้ามเจาะเพิ่มจนกว่าจะอข้ามหาละย อยากเป็นสก๊อยนักหรอ พูดตามตรงเลยว่าทำไมการเจาะหูหลายรูกเป็นสก๊อยไปได้ เราคิดว่านี่คือร่างกายเรารึเปล่า เราไม่ได้ทำให้ร่างกายของเราบาดเจ็บหนักถึงขั้นที่เราดูแลตัวเองไม่ได้เลย เราเข้าใจที่แม่เป็นห่วงนะ แต่ชีวิตใครชีวิตมันรึเปล่า รู้ว่าในตอนนี้เรายังต้องให้เขาดูแล แต่เขาไม่คิดที่จะให้อิสระอันน้อยนิดกับเราหน่อยหรอ ตอนนั้นเราก็หอยนะคะ แต่พอผ่านไปเราก็ลืม จริงๆเราไม่มีปัญหาเลยนะต่อให้ไม่ได้คุยกับคนในบ้านทั้งวัน เพราะเราชิน เราชอบอยู่คนเดียว ชอบทำอะไรคนเดียว เราชอบพื้นที่ส่วนตัวของเรา เราพูดได้เลยว่าไม่มึใครเลยตั้งแต่เกิดมาที่เรารู้จักที่รู้ทุกเรื่องในชีวิต ซึ่งสิ่งนี้ทุกคนก็เป็นอยู่แล้ว เรารู้สึกว่า เราไม่มีเซฟโซนหมือนคนอื่น เราไม่มีอิสระในการทำอะไรด้วยตัวเองเลย ไม่มีใครเข้าใจเราได้ดีแบบที่เราอยากได้เลย ฟังดูอาจจะเหมือนเอาแต่ใจนะคะ แต่เราว่าใครๆก็อยากมีคนๆนั้นอยู่ข้างกายเราเหมือนกันทั้งนั้นแหละค่ะ ครอบครัวไม่ใช่เซฟโซนของเราเลย เรารู้สึกว่า เราไม่กล้าเล่าอะไรให้ใครฟังเลย เราไม่ไว้ใจจริงๆ เราชอบทำสีผม แต่แม่ก็มาว่าเราว่าสีผมเราเหมือนลิงบ้าง เหมือนอันนั้นอันนี้บ้าง เราได้ยินอันนี้เราเฉยไปเลยค่ะ มะนเหมือนกับว่ามีบางอย่างก่อนหน้านีที่มันแย่กว่สนี้มาแล้วมั้งคะ เราเลยรู้สึกเฉยไปแล้ว ทำไมลูกอะไรไม่คิดสนับสนุนกันหรอคะ ถ้าลูกมั่นใจ เราก็ควรไปต่อหรือเปล่า เรารู้สึกว่าเมื่อไหร่เราจะได้อยู่คนเดียวซักที เมื่อไหร่เราจะได้ทำอะไรคนเดียวซักที การเติบโตมันเจ็บปวดเสมอเลยค่ะ แต่ว่าถ้าเติบโตในที่ๆต้องเจ็บวดตลอดเวลาไม่ได้พัก แม้กระทั่งคนที่ควรจะเป็นคนคอยช่วยยังไม่มเราอย่าเติบโตเลยดีกว่ามั้ยคะ เราพูดตามตรงเลยว่า เราไม่ได้ขอให้เกิดมา การเกิดมะนก็คือการสร้างกรรม ถ้าหากเขาคาดหวังว่าในอนาคตให้เราเลี้ยงเขา หรือให้เรากตัญญูตอบ พูดตรงนี้เลยว่าคิดนาน เราคิดเรื่องนี้ตลอดเลยว่า อืม เราเลือกพ่อแม่ไม่ได้ เลือกเกิดไม่ได้ แบบนี้ต้องทำยังไง เพื่อที่ชาติหน้า เราจะได้ไม่ต้องเกิดแล้ว เราพยายามทำบุญ สวดมนต์ ไหว้พระทุกครั้งที่เราพอจะนึกได้ให้ได้ เราอยากหมดเวรหมดกรรมกันเสียที
อยากอยู่คนเดียวแยกจากที่บ้าน
อ่านถึงไหนแล้ว จบบทหรือยัง จบไปกี่รอบแล้ว เราเครียดในแบบที่ สามารถร้องไห้ได้ทุกครั้งที่เห็นหน้า2คนนี้ เรารู้สึกว่าเวลากลางคืนคือเวลาของเรา เพราะเราไม่ต้องเจอใคร เราไม่อยากตื่นด้วยซ้ำ จนเรากินข้าวน้อยลง เฉื่อยชามากขึ้น ไม่ค่อยมีอารมณ์ขันนัก ไม่ค่อยยิ้มแย้ม ร้องไห้บ่อย จนไปทำแบบทดสอบพบว่าอยู่ในเกณฑ์โรคซึมเศร้า เราก็พอรู้ตัว แต่เราก็ยังพยายามสู้คนเดียวมาตลอด ซึ่งในตอนนั้นเรามีแฟนนะคะ แต่ไม่ได้บอกแฟนเพราะไม่อยากให้กังวลเป็นห่วง จนเราสอบติดอะไรไป เราก็หายจากกอาการนี้ เราย้ายไปอีกจังหวัด ซึ่งเรารู้สึกว่าเราคงได้อยู่คนเดียวแล้วล่ะ แต่เปล่าเลย พี่สาวของเราทำงานในบริเวณใกล้เคียง ทำให้เราต้องอยู่กับพี่สาว เราพูดตามจริงเลยว่า เราไม่ชอบ เคยบอกกับแม่แล้ว ว่าเราไม่อยากอยู่กับพี่ ส่วนพี่เราไม่พูดอะไร เพราะอยากได้เงินช่วยจ่ายค่าห้อง สุดท้ายเราก็ต้องมาอยู่กับพี่สาว และแน่นอนว่า แม่เราไม่ยอมอยู่คนเดียว แม่เราตามมาด้วย อยู่ในห้อง3คน เหมือนก่อนหน้านี้อย่างชัดเจน เราอึดอัด เราไม่ชอบความวุ่นวาย ไม่ว่าเราจะทำอะไรมันไม่มีความเป็นส่วนตัวเลย เราจะคุยกับแฟนก็ไม่ได้ อยากจะพูดอะไรก็ไม่ได้ เราไม่ชอบให้ใครมานั่งฟังเรา เวลาที่เราแยกไปคุยแม่ก็จะเริ่มจับจ้องเราว่านอนได้แล้วนะ ทำแบบนี้ได้แล้วนะ วางได้แล้วนะ ในขณะที่พี่สาวเราต้องตื่นมาทำงาน8/9โมง ตัวแกเองนอนตี1-2 แค่ตื่นมาทำงานยังไม่ไหว เราเรียนบ่ายตลอด ไม่เคยไปสายซักครั้ง เราโดนว่า ซึ่งช่วงหลังๆมาจนถึงตอนนี้ เราโดนว่าอีกครั้งว่าเราคุยกับแฟนนานไป ซึ่งให้เหตุผลว่า เราพูดเองหนิว่าเหนื่อย แล้วทำไมยังไม่นอน เราผิดเองรึเปล่าที่พูดคุยกับที่บ้านว่าเหนื่อย เพียงเพราะช่วงนี้เราเล่นกีฬา เราเล่นกีฬาช่วงเช้า ช่วงบ่ายเราไปเรียน เราก็พยายามเปิดใจคุยเรื่องชีวิตประจำวันกับที่บ้าน ว่าเราเหนื่อยจังเลยย ง่วงมากๆ เราคุยเหมือนคุยเล่นปกติ แต่ผลกลับเป็นแบบนี้ ในเวลาที่เขามาบอกว่าเราคุยนาน คุยดึกคือเวลา5ทุ่ม นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่รู้สึกว่า พอเราเปิดใจพูดอะไร มันคือจุดอ่อนยังไงก็ไม่รู้ที่สุดท้าย เราโดนตอกกลับเอง ครั้งก่อนหน้านี้ เราก็โดนทำนองนี้ มักโดนตอกกลับมาว่า ก็เห็นพูดเองหนิว่า..... เราเลยรู้สึกว่า เราพูดมากเกินไปหรอ เพราะพูดตามตรงเลยว่า เราเป็นคนขี้ระแวงมาก ตั้งแต่เหตุการณ์ทีแคสตอนนั้น เราระแวงครอบครัวมาก เราจะไม่เล่าอะไรให้ฟังมากจนเกินไป เราไม่ชอบตอบคำถามส่วนตัว เราไม่ชอบคุยเรื่องเชิงลึกกับครอบครัว แม่เราค่อนข้างที่จะพยายามพูดตลอดว่ามีอะไรเราก็คุยกัน แต่ในเมื่อเราคิดไม่เหมือนกัน เราก็ไม่จำเป็นต้องคุยหรือเปล่า ก่อนหน้านี้ เราไปเจาะหูรูที่3-4มา พอเราแกล้งๆถามแม่ แบบหยอกเล่นว่า แม่ไม่ว่าอะไรหรอที่ลูกไปเจาะไม่บอก แม่เราตอบว่าต้องบอกสิว่าจะเจาะตรงไหน จะเจาะรึยัง ตอนเราเจาะเราก็ไม่ได้บอกหรอกค่ะ เพราะก่อนหน้านี้แม่พูดไว้ว่าห้ามเจาะเพิ่มจนกว่าจะอข้ามหาละย อยากเป็นสก๊อยนักหรอ พูดตามตรงเลยว่าทำไมการเจาะหูหลายรูกเป็นสก๊อยไปได้ เราคิดว่านี่คือร่างกายเรารึเปล่า เราไม่ได้ทำให้ร่างกายของเราบาดเจ็บหนักถึงขั้นที่เราดูแลตัวเองไม่ได้เลย เราเข้าใจที่แม่เป็นห่วงนะ แต่ชีวิตใครชีวิตมันรึเปล่า รู้ว่าในตอนนี้เรายังต้องให้เขาดูแล แต่เขาไม่คิดที่จะให้อิสระอันน้อยนิดกับเราหน่อยหรอ ตอนนั้นเราก็หอยนะคะ แต่พอผ่านไปเราก็ลืม จริงๆเราไม่มีปัญหาเลยนะต่อให้ไม่ได้คุยกับคนในบ้านทั้งวัน เพราะเราชิน เราชอบอยู่คนเดียว ชอบทำอะไรคนเดียว เราชอบพื้นที่ส่วนตัวของเรา เราพูดได้เลยว่าไม่มึใครเลยตั้งแต่เกิดมาที่เรารู้จักที่รู้ทุกเรื่องในชีวิต ซึ่งสิ่งนี้ทุกคนก็เป็นอยู่แล้ว เรารู้สึกว่า เราไม่มีเซฟโซนหมือนคนอื่น เราไม่มีอิสระในการทำอะไรด้วยตัวเองเลย ไม่มีใครเข้าใจเราได้ดีแบบที่เราอยากได้เลย ฟังดูอาจจะเหมือนเอาแต่ใจนะคะ แต่เราว่าใครๆก็อยากมีคนๆนั้นอยู่ข้างกายเราเหมือนกันทั้งนั้นแหละค่ะ ครอบครัวไม่ใช่เซฟโซนของเราเลย เรารู้สึกว่า เราไม่กล้าเล่าอะไรให้ใครฟังเลย เราไม่ไว้ใจจริงๆ เราชอบทำสีผม แต่แม่ก็มาว่าเราว่าสีผมเราเหมือนลิงบ้าง เหมือนอันนั้นอันนี้บ้าง เราได้ยินอันนี้เราเฉยไปเลยค่ะ มะนเหมือนกับว่ามีบางอย่างก่อนหน้านีที่มันแย่กว่สนี้มาแล้วมั้งคะ เราเลยรู้สึกเฉยไปแล้ว ทำไมลูกอะไรไม่คิดสนับสนุนกันหรอคะ ถ้าลูกมั่นใจ เราก็ควรไปต่อหรือเปล่า เรารู้สึกว่าเมื่อไหร่เราจะได้อยู่คนเดียวซักที เมื่อไหร่เราจะได้ทำอะไรคนเดียวซักที การเติบโตมันเจ็บปวดเสมอเลยค่ะ แต่ว่าถ้าเติบโตในที่ๆต้องเจ็บวดตลอดเวลาไม่ได้พัก แม้กระทั่งคนที่ควรจะเป็นคนคอยช่วยยังไม่มเราอย่าเติบโตเลยดีกว่ามั้ยคะ เราพูดตามตรงเลยว่า เราไม่ได้ขอให้เกิดมา การเกิดมะนก็คือการสร้างกรรม ถ้าหากเขาคาดหวังว่าในอนาคตให้เราเลี้ยงเขา หรือให้เรากตัญญูตอบ พูดตรงนี้เลยว่าคิดนาน เราคิดเรื่องนี้ตลอดเลยว่า อืม เราเลือกพ่อแม่ไม่ได้ เลือกเกิดไม่ได้ แบบนี้ต้องทำยังไง เพื่อที่ชาติหน้า เราจะได้ไม่ต้องเกิดแล้ว เราพยายามทำบุญ สวดมนต์ ไหว้พระทุกครั้งที่เราพอจะนึกได้ให้ได้ เราอยากหมดเวรหมดกรรมกันเสียที