ผมเองได้ย้อนกลับไปอ่านกระทู้เก่าๆของตัวเอง เช่น กระทู้นี้
https://ppantip.com/topic/34447067
https://ppantip.com/topic/35404696
ซึ่งเป็นกระทู้ที่ผมตอนมัธยมได้ตั้งไว้ ซึ่งตอนนี้ผมก็ลืมรหัสผ่านเข้าบัญชีนั้นไปแล้ว
ความจริงแล้ว ผมอยากจะลบบัญชีนั้นทิ้งไปมาก เพราะเรื่องเหล่านั้นเป็นอดีตที่ พอมองย้อนกลับไปกี่ครั้ง ก็รู้สึกว่า ผมนี่สามารถคิดและเครียดอะไรได้มากมายขนาดนั้น การที่ผมผ่านอะไรแบบนั้นมาโดยไม่ฆ่าตัวตายไปก่อนนั้น ผมเรียกตัวเอง ว่า เก่งมาก และผมสามารถที่จะก้าวผ่านตรงนั้นได้มาแล้ว
เอาล่ะ ผมจะเล่าให้อ่านเเบบคร่าวๆก็แล้วกัน
ตั้งแต่เข้าเรียน มัธยมศึกษาปีที่ 1 ผมก็เริ่มกังวลเรื่องอนาคต จะเข้ามหาวิทยาลัยอะไร จะทำงานอะไร อาชีพประเภทไหน ต่อมา ผมจึงคิดว่า ผมไม่อยากเป็นภาระพ่อแม่ เป็นภาระให้สังคม อยากสร้างสรรค์ประโยชน์ให้สังคม ประเทศ และ โลก นั่นทำให้ผมเริ่มคิดว่า ผมจะต้องทำอย่างไรจึงจะอยู่ในจุดนั้น ผมคิดว่าวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีจะตอบโจทย์ตรงนั้นได้ ความกลัวเป็นภาระให้สังคม ทำให้ผมคิดว่าผมจะต้องเก่งที่สุด ดีที่สุด ตอนนั้น ผมเริ่มเกิดความเครียด ผมมองไปรอบตัว ผมเห็นคนรวย เห็นคนจน เห็นคนเรียนเก่งทั้งที่ไม่ค่อยพยายามมากนัก แบ่งเวลาเล่นกีฬาไปด้วย บางครั้งยังมีเวลาเล่นเกม จีบสาว บางคนเรียนไม่เก่งแม้จะพยายาม บางคนมีอะไรหลายอย่าง เช่น หล่อ บ้านมีเงิน เรียนก็เก่ง แต่บางคน ทำไมไม่หล่อ ไม่สวย เรียนไม่เก่ง บ้านก็ใช้เงินเดือนชนเดือน ทุกอย่างคือการสุ่มใช่ไหม แล้วถ้าผมถูกสุ่มให้เป็นคนธรรมดาล่ะ ที่ใช้ชีวิตธรรมดา เรียน ทำงาน มีครอบครัว แก่ เกษียณ ตาย ผมจะทำอย่างไร ผมไม่อยากเป็นแบบนั้น ถ้าเป็นแบบนั้น ผมจะขอฆ่าตัวตายเพราะผมถือว่าผมเป็นภาระสังคม(แต่ผมไม่ได้ดูถูกคนอื่นนะครับ ผมถือว่า ผมนี่แหละที่จะต้องช่วยคนให้พ้นจากความทุกข์ ความจน ความไม่เก่ง เหล่านั้น และถ้าจะทำแบบนั้นได้ ผมจะต้องไม่ใช่คนที่ใช้ชีวิตแบบธรรมดาแน่ๆ จะต้องมีอะไรที่พิเศษกว่าคนอื่น เช่น ได้ทุนต่อเมืองนอก มาทำงานวิจัย พัฒนาวงการวิทยาศาสตร์)
ตั้งแต่ ม.2 ใจของผมจึงเปราะบางมาก ถ้ามีใครบอกผม ว่า ผมโง่ แม้จะเป็นเพื่อนหยอกล้อ หรือ ถ้าพ่อแม่มาเล่าเรื่องของลูกเพื่อนให้ฟัง เช่น ลูกของคนนั้นสอบได้โอลิมปิกนั้นนี้นะ ผมจะคิดหนักมาก เพราะผมกลัวทำตามเป้าหมายไม่ได้ ถ้าทำโจทย์คณิตศาสตร์บางข้อไม่ได้ ผมจะเครียดและโมโหตัวเองมาก
"อยากทำอะไรใหญ่ๆ แต่แค่นี้ทำไม่ได้ ไปตายซะ" นั่นคือความคิดของผม
จนกระทั่งการสอบกำเนิดวิทย์ ทั้งความเครียดจากการชอบเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่น บางครั้งเพื่อนที่เรียนเก่งกว่าก็หยอกล้อกัน แต่ผมไม่ขำด้วยสิ
ผมสอบเข้ากำเนิดวิทย์ไม่ได้ ผมเริ่มถามตัวเองแล้วว่าเรายังจะเป็นคนที่มีประโยชน์ต่อสังคมใช่ไหม ถ้าอนาคตเราเป็นภาระสังคม ภาระพ่อแม่? ผมเริ่มคิดที่จะฆ่าตัวตายอย่างจริงจังตั้งแต่ ม.2 จนเลิกได้ตอนจบม.6
หลังจากนั้นมาผมเสียกำลังใจอย่างหนัก โรงเรียนอื่นเช่น มหิดลวิทยานุสรณ์ ผมก็สอบไม่ได้ ผมไม่ได้ไปสอบเตรียมอุดมเพราะผมอยู่ต่างจังหวัด ตอนนั้นคิดว่ายังไม่สะดวกถ้าเรียนโรงเรียนไม่ประจำ และจากสนามอื่นๆผมรู้ตัวเเล้วว่าถึงจะไปสอบก็ไม่น่าสอบได้
ตอนม.3 ขึ้น ม.4 ผมได้มีโอกาสไปค่ายวิทยาศาสตร์ค่ายหนึ่ง ซึ่งมีคนเก่งจากทั้งประเทศมา นั่นยิ่งทำให้ผมเครียดมากขึ้นไปอีก เพราะได้เจอคนที่เก่งแบบเหนือโลก (เก่งขนาดไหน? นักเรียนม.1 สามารถอธิบายคณิตศาสตร์ที่ใช้อธิบายหลุมดำ อธิบายทฤษฎีสตริงได้ เป็นภาษาอังกฤษล้วน และหลายคนก็ศึกษาด้านประวัติศาสตร์ สังคมศาสตร์ ธุรกิจ ไปด้วย) ตอนนั้นยิ่งตอกย้ำผมว่า คนเหล่านี้ ในอนาคตถ้าจะมีคนที่เปลี่ยนโลก พลิกโฉมวงการวิทยาศาสตร์ ก็ต้องเป็นพวกเขาก่อน ถ้ามีการให้ทุนส่งถึงดอกเตอร์เมืองนอก ก็ต้องเป็นพวกเขาก่อน แล้วผมจะไปอยู่ไหน ผมคิดถึงขั้นที่กลัวว่า ในอนาคตผมจะเป็นภาระพ่อแม่ ภาระสังคม ถ้าเป็นอย่างนั้นผมขอตายดีกว่า ช่วงนั้นผมจิตตกมาก ซึมเศร้าไปหลายเดือน หวาดระแวง ใครพูดเรื่องวิชาการ เรื่องเรียนต่อมหาวิทยาลัย เรื่องทุนรัฐบาลส่งจนจบดอกเตอร์เมืองนอก สามารถทำให้ผมหัวเสียและซึมได้ทั้งหมด และหลังจากนี้ คือช่วงที่ผมพยายามฆ่าตัวตายบ่อยที่สุด
ผมต้องทำอะไรสักอย่างแล้วล่ะ
หลังจากที่ผมสอบไม่ได้โรงเรียนมัธยมที่ผมต้องการ ผมก็คิดว่า ถ้าผมอยากพิสูจน์ตัวเอง จะต้องได้ทุนเรียนต่อเมืองนอกเท่านั้น แต่ด้วยอะไรหลายๆอย่างที่ผมได้กล่าวไป ผมเครียดหนักมาก และพยายามฆ่าตัวตายบ่อยมาก บ่อยถึงขั้นที่ว่า บางวันผมตื่นขึ้นมา ผมคิดว่า วันนี้จะฆ่าตัวตายด้วยวิธีไหน ผมได้เดินทางผิด เข้าสู่ด้านมืด เริ่มก้าวร้าว ทำลายข้าวของ แกล้งเพื่อน ตื่นสาย ไปโรงเรียนสาย(ผมนอนหอพัก ไม่มีผู้ปกครองคุม) ตอนนั้น หลายคนเดือดร้อนเพราะผม ผมยังจำได้ดี เพื่อนที่ครูเรียกไปสอบถามเรื่องราวของผม พ่อแม่ที่เดินเข้าออกห้องปกครอง ผมรู้ว่ามันผิดที่ผมทำแบบนี้ แต่ผมไม่รู้จะออกจากตรงนี้อย่างไร
ตัวตนในใจของผมที่เสียใจที่ผมไม่สามารถที่จะทำในสิ่งที่ผมหวังได้ คือ การสร้างสรรค์ประโยชน์ให้สังคม ประเทศ และ โลก (ด้วยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี) บอกผมว่า ถ้าทำอย่างที่หวังไว้ไม่ได้ ก็ตายไปซะ จะได้ไม่เป็นภาระของพ่อแม่ ภาระของญาติพี่น้อง เพื่อน และสังคม เราปรารถนาที่จะสร้างสรรค์ประโยชน์ให้สังคม ประเทศ และ โลก แต่เรากลับมาทำนิสัยเสียๆแบบนี้เองมันใช้ไม่ได้
ตอนนั้นผมอยู่ม.5 และผมตัดสินใจว่าจะต้องฆ่าตัวตายให้เร็วที่สุด
ผมยังจำได้ดีว่า ครั้งสุดท้ายที่ผมได้พยายามฆ่าตัวตายมันเป็นอย่างไร ตอนนั้นผมอยู่ม.6 ทุกอย่างในชีวิตแย่ ความไม่เข้าใจระหว่างผมกับทางครอบครัว เพื่อน และความเสียใจที่ผมได้ทำผิดต่อพวกเขาไปมาก ผมได้นึกถึงคนที่ผมคิดว่าสร้างสรรค์ประโยชน์ให้สังคมได้มากในความคิดของผมในตอนนั้น
ได้ส่องเฟสพวกเขาดู นั่นคือ เพื่อนในค่ายวิทยาศาสตร์ตอนม.3-4ที่ผมกล่าวไป นักเรียนทุนรัฐบาลเรียนต่อต่างประเทศ นักเรียนทุนโอลิมปิกวิชาการ พวกเขาเรียนเก่ง พวกเขาย่อมจะทำอะไรในวงการวิทยาศาสตร์ได้มากกว่าผม ถ้าไม่มีผมคนหนึ่ง โลกนี้ก็ไม่ได้ต่างจากเดิมมากหรอก อย่างน้อยๆผมฝากความหวังไว้ที่พวกเขาแล้ว พวกเขาจะต้องสร้างสรรค์ประโยชน์ให้สังคม ประเทศ และ โลก ได้อย่างแน่นอน ดีกว่านักเรียนม.ปลายโง่ๆที่ยังไม่เข้าใจทฤษฎีหลุมดำคนนี้
ผมตัดสินใจแขวนคอตาย แต่ผมเกิดลังเลขึ้นมา เพราะผมเองก็เคยไปวัด ได้เห็นภาพของนรกสวรรค์ เคยฟังเรื่องเล่าเกี่ยวกับผีคนฆ่าตัวตาย ที่จะวนเวียนอยู่แถวนั้น มันน่าแปลกนะที่คนที่ไม่นับถือศาสนา ไม่เชื่อเรื่องเหล่านี้ จะมีความคิดนี้ได้ จนในที่สุดผมก็หมดอาลัยตายอยาก จนคนมาพบเห็น
พอครูได้ทราบเรื่อง ก็ให้ผมขาดเรียนเพื่อไปวัดในวันต่อมา ผมยังจำได้ดีว่า พระท่าน บอกผมว่า "การเกิดเป็นคนมันยากมากนะโยม" ผมไม่เชื่อหรอก
แต่นักเรียนวิทยาศาสตร์ในตอนนั้น ก็เริ่มคิดแล้วว่า หรือว่าศาสนาจะทำให้ผมไปต่อได้ ผมไม่สนใจแล้วว่า ใครจะมองผมว่างมงาย นับจากนี้ไป ผมขอศึกษาตรงนี้ให้เข้าใจ ถ้าไม่สำเร็จ ครั้งนี้ผมจะฆ่าตัวตายจริงๆ
หลังจากนั้น ผมก็เริ่มสนใจด้านศาสนามากขึ้น หลังจากจบม.6
หลังจากจบม.6 ได้สักพัก ผมก็ยังไม่ได้สนใจด้านนี้มากนัก ยังมีหลายๆอย่างในอดีตอยู่ ยังรู้สึกอิจฉานักเรียนทุนเมืองนอกอยู่
จนกระทั่งจบม.6 มาได้ 2-3 ปี ผมเริ่มตัดได้หลายๆอย่าง
ทุกวันนี้ผมไม่เคยคิดที่จะกลับไปอยากเรียนเมืองนอก อยากแก่งแย่ง อยากเป็นที่หนึ่งอีก และผมพอจะรู้คำตอบแล้วเรื่องการไม่เป็นภาระของพ่อแม่ ภาระสังคม การเรียนเมืองนอก เรียนโรงเรียนมัธยมที่ผมอยากเรียนนั่นไม่จำเป็นเลย เอาเป็นว่า ผมสามารถที่จะตอบโจทย์อะไรหลายๆอย่างในชีวิตได้ เพราะการศึกษาธรรมะ นั่นแหละครับ ผมสามารถวางอะไรได้หลายๆอย่างแล้วล่ะ
ประสบการณ์ อิจฉาคนอื่น อยากเรียนเมืองนอก จนหลง เครียด เกือบฆ่าตัวตาย จนคิดได้ และวางในที่สุด
https://ppantip.com/topic/34447067
https://ppantip.com/topic/35404696
ซึ่งเป็นกระทู้ที่ผมตอนมัธยมได้ตั้งไว้ ซึ่งตอนนี้ผมก็ลืมรหัสผ่านเข้าบัญชีนั้นไปแล้ว
ความจริงแล้ว ผมอยากจะลบบัญชีนั้นทิ้งไปมาก เพราะเรื่องเหล่านั้นเป็นอดีตที่ พอมองย้อนกลับไปกี่ครั้ง ก็รู้สึกว่า ผมนี่สามารถคิดและเครียดอะไรได้มากมายขนาดนั้น การที่ผมผ่านอะไรแบบนั้นมาโดยไม่ฆ่าตัวตายไปก่อนนั้น ผมเรียกตัวเอง ว่า เก่งมาก และผมสามารถที่จะก้าวผ่านตรงนั้นได้มาแล้ว
เอาล่ะ ผมจะเล่าให้อ่านเเบบคร่าวๆก็แล้วกัน
ตั้งแต่เข้าเรียน มัธยมศึกษาปีที่ 1 ผมก็เริ่มกังวลเรื่องอนาคต จะเข้ามหาวิทยาลัยอะไร จะทำงานอะไร อาชีพประเภทไหน ต่อมา ผมจึงคิดว่า ผมไม่อยากเป็นภาระพ่อแม่ เป็นภาระให้สังคม อยากสร้างสรรค์ประโยชน์ให้สังคม ประเทศ และ โลก นั่นทำให้ผมเริ่มคิดว่า ผมจะต้องทำอย่างไรจึงจะอยู่ในจุดนั้น ผมคิดว่าวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีจะตอบโจทย์ตรงนั้นได้ ความกลัวเป็นภาระให้สังคม ทำให้ผมคิดว่าผมจะต้องเก่งที่สุด ดีที่สุด ตอนนั้น ผมเริ่มเกิดความเครียด ผมมองไปรอบตัว ผมเห็นคนรวย เห็นคนจน เห็นคนเรียนเก่งทั้งที่ไม่ค่อยพยายามมากนัก แบ่งเวลาเล่นกีฬาไปด้วย บางครั้งยังมีเวลาเล่นเกม จีบสาว บางคนเรียนไม่เก่งแม้จะพยายาม บางคนมีอะไรหลายอย่าง เช่น หล่อ บ้านมีเงิน เรียนก็เก่ง แต่บางคน ทำไมไม่หล่อ ไม่สวย เรียนไม่เก่ง บ้านก็ใช้เงินเดือนชนเดือน ทุกอย่างคือการสุ่มใช่ไหม แล้วถ้าผมถูกสุ่มให้เป็นคนธรรมดาล่ะ ที่ใช้ชีวิตธรรมดา เรียน ทำงาน มีครอบครัว แก่ เกษียณ ตาย ผมจะทำอย่างไร ผมไม่อยากเป็นแบบนั้น ถ้าเป็นแบบนั้น ผมจะขอฆ่าตัวตายเพราะผมถือว่าผมเป็นภาระสังคม(แต่ผมไม่ได้ดูถูกคนอื่นนะครับ ผมถือว่า ผมนี่แหละที่จะต้องช่วยคนให้พ้นจากความทุกข์ ความจน ความไม่เก่ง เหล่านั้น และถ้าจะทำแบบนั้นได้ ผมจะต้องไม่ใช่คนที่ใช้ชีวิตแบบธรรมดาแน่ๆ จะต้องมีอะไรที่พิเศษกว่าคนอื่น เช่น ได้ทุนต่อเมืองนอก มาทำงานวิจัย พัฒนาวงการวิทยาศาสตร์)
ตั้งแต่ ม.2 ใจของผมจึงเปราะบางมาก ถ้ามีใครบอกผม ว่า ผมโง่ แม้จะเป็นเพื่อนหยอกล้อ หรือ ถ้าพ่อแม่มาเล่าเรื่องของลูกเพื่อนให้ฟัง เช่น ลูกของคนนั้นสอบได้โอลิมปิกนั้นนี้นะ ผมจะคิดหนักมาก เพราะผมกลัวทำตามเป้าหมายไม่ได้ ถ้าทำโจทย์คณิตศาสตร์บางข้อไม่ได้ ผมจะเครียดและโมโหตัวเองมาก
"อยากทำอะไรใหญ่ๆ แต่แค่นี้ทำไม่ได้ ไปตายซะ" นั่นคือความคิดของผม
จนกระทั่งการสอบกำเนิดวิทย์ ทั้งความเครียดจากการชอบเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่น บางครั้งเพื่อนที่เรียนเก่งกว่าก็หยอกล้อกัน แต่ผมไม่ขำด้วยสิ
ผมสอบเข้ากำเนิดวิทย์ไม่ได้ ผมเริ่มถามตัวเองแล้วว่าเรายังจะเป็นคนที่มีประโยชน์ต่อสังคมใช่ไหม ถ้าอนาคตเราเป็นภาระสังคม ภาระพ่อแม่? ผมเริ่มคิดที่จะฆ่าตัวตายอย่างจริงจังตั้งแต่ ม.2 จนเลิกได้ตอนจบม.6
หลังจากนั้นมาผมเสียกำลังใจอย่างหนัก โรงเรียนอื่นเช่น มหิดลวิทยานุสรณ์ ผมก็สอบไม่ได้ ผมไม่ได้ไปสอบเตรียมอุดมเพราะผมอยู่ต่างจังหวัด ตอนนั้นคิดว่ายังไม่สะดวกถ้าเรียนโรงเรียนไม่ประจำ และจากสนามอื่นๆผมรู้ตัวเเล้วว่าถึงจะไปสอบก็ไม่น่าสอบได้
ตอนม.3 ขึ้น ม.4 ผมได้มีโอกาสไปค่ายวิทยาศาสตร์ค่ายหนึ่ง ซึ่งมีคนเก่งจากทั้งประเทศมา นั่นยิ่งทำให้ผมเครียดมากขึ้นไปอีก เพราะได้เจอคนที่เก่งแบบเหนือโลก (เก่งขนาดไหน? นักเรียนม.1 สามารถอธิบายคณิตศาสตร์ที่ใช้อธิบายหลุมดำ อธิบายทฤษฎีสตริงได้ เป็นภาษาอังกฤษล้วน และหลายคนก็ศึกษาด้านประวัติศาสตร์ สังคมศาสตร์ ธุรกิจ ไปด้วย) ตอนนั้นยิ่งตอกย้ำผมว่า คนเหล่านี้ ในอนาคตถ้าจะมีคนที่เปลี่ยนโลก พลิกโฉมวงการวิทยาศาสตร์ ก็ต้องเป็นพวกเขาก่อน ถ้ามีการให้ทุนส่งถึงดอกเตอร์เมืองนอก ก็ต้องเป็นพวกเขาก่อน แล้วผมจะไปอยู่ไหน ผมคิดถึงขั้นที่กลัวว่า ในอนาคตผมจะเป็นภาระพ่อแม่ ภาระสังคม ถ้าเป็นอย่างนั้นผมขอตายดีกว่า ช่วงนั้นผมจิตตกมาก ซึมเศร้าไปหลายเดือน หวาดระแวง ใครพูดเรื่องวิชาการ เรื่องเรียนต่อมหาวิทยาลัย เรื่องทุนรัฐบาลส่งจนจบดอกเตอร์เมืองนอก สามารถทำให้ผมหัวเสียและซึมได้ทั้งหมด และหลังจากนี้ คือช่วงที่ผมพยายามฆ่าตัวตายบ่อยที่สุด
ผมต้องทำอะไรสักอย่างแล้วล่ะ
หลังจากที่ผมสอบไม่ได้โรงเรียนมัธยมที่ผมต้องการ ผมก็คิดว่า ถ้าผมอยากพิสูจน์ตัวเอง จะต้องได้ทุนเรียนต่อเมืองนอกเท่านั้น แต่ด้วยอะไรหลายๆอย่างที่ผมได้กล่าวไป ผมเครียดหนักมาก และพยายามฆ่าตัวตายบ่อยมาก บ่อยถึงขั้นที่ว่า บางวันผมตื่นขึ้นมา ผมคิดว่า วันนี้จะฆ่าตัวตายด้วยวิธีไหน ผมได้เดินทางผิด เข้าสู่ด้านมืด เริ่มก้าวร้าว ทำลายข้าวของ แกล้งเพื่อน ตื่นสาย ไปโรงเรียนสาย(ผมนอนหอพัก ไม่มีผู้ปกครองคุม) ตอนนั้น หลายคนเดือดร้อนเพราะผม ผมยังจำได้ดี เพื่อนที่ครูเรียกไปสอบถามเรื่องราวของผม พ่อแม่ที่เดินเข้าออกห้องปกครอง ผมรู้ว่ามันผิดที่ผมทำแบบนี้ แต่ผมไม่รู้จะออกจากตรงนี้อย่างไร
ตัวตนในใจของผมที่เสียใจที่ผมไม่สามารถที่จะทำในสิ่งที่ผมหวังได้ คือ การสร้างสรรค์ประโยชน์ให้สังคม ประเทศ และ โลก (ด้วยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี) บอกผมว่า ถ้าทำอย่างที่หวังไว้ไม่ได้ ก็ตายไปซะ จะได้ไม่เป็นภาระของพ่อแม่ ภาระของญาติพี่น้อง เพื่อน และสังคม เราปรารถนาที่จะสร้างสรรค์ประโยชน์ให้สังคม ประเทศ และ โลก แต่เรากลับมาทำนิสัยเสียๆแบบนี้เองมันใช้ไม่ได้
ตอนนั้นผมอยู่ม.5 และผมตัดสินใจว่าจะต้องฆ่าตัวตายให้เร็วที่สุด
ผมยังจำได้ดีว่า ครั้งสุดท้ายที่ผมได้พยายามฆ่าตัวตายมันเป็นอย่างไร ตอนนั้นผมอยู่ม.6 ทุกอย่างในชีวิตแย่ ความไม่เข้าใจระหว่างผมกับทางครอบครัว เพื่อน และความเสียใจที่ผมได้ทำผิดต่อพวกเขาไปมาก ผมได้นึกถึงคนที่ผมคิดว่าสร้างสรรค์ประโยชน์ให้สังคมได้มากในความคิดของผมในตอนนั้น
ได้ส่องเฟสพวกเขาดู นั่นคือ เพื่อนในค่ายวิทยาศาสตร์ตอนม.3-4ที่ผมกล่าวไป นักเรียนทุนรัฐบาลเรียนต่อต่างประเทศ นักเรียนทุนโอลิมปิกวิชาการ พวกเขาเรียนเก่ง พวกเขาย่อมจะทำอะไรในวงการวิทยาศาสตร์ได้มากกว่าผม ถ้าไม่มีผมคนหนึ่ง โลกนี้ก็ไม่ได้ต่างจากเดิมมากหรอก อย่างน้อยๆผมฝากความหวังไว้ที่พวกเขาแล้ว พวกเขาจะต้องสร้างสรรค์ประโยชน์ให้สังคม ประเทศ และ โลก ได้อย่างแน่นอน ดีกว่านักเรียนม.ปลายโง่ๆที่ยังไม่เข้าใจทฤษฎีหลุมดำคนนี้
ผมตัดสินใจแขวนคอตาย แต่ผมเกิดลังเลขึ้นมา เพราะผมเองก็เคยไปวัด ได้เห็นภาพของนรกสวรรค์ เคยฟังเรื่องเล่าเกี่ยวกับผีคนฆ่าตัวตาย ที่จะวนเวียนอยู่แถวนั้น มันน่าแปลกนะที่คนที่ไม่นับถือศาสนา ไม่เชื่อเรื่องเหล่านี้ จะมีความคิดนี้ได้ จนในที่สุดผมก็หมดอาลัยตายอยาก จนคนมาพบเห็น
พอครูได้ทราบเรื่อง ก็ให้ผมขาดเรียนเพื่อไปวัดในวันต่อมา ผมยังจำได้ดีว่า พระท่าน บอกผมว่า "การเกิดเป็นคนมันยากมากนะโยม" ผมไม่เชื่อหรอก
แต่นักเรียนวิทยาศาสตร์ในตอนนั้น ก็เริ่มคิดแล้วว่า หรือว่าศาสนาจะทำให้ผมไปต่อได้ ผมไม่สนใจแล้วว่า ใครจะมองผมว่างมงาย นับจากนี้ไป ผมขอศึกษาตรงนี้ให้เข้าใจ ถ้าไม่สำเร็จ ครั้งนี้ผมจะฆ่าตัวตายจริงๆ
หลังจากนั้น ผมก็เริ่มสนใจด้านศาสนามากขึ้น หลังจากจบม.6
หลังจากจบม.6 ได้สักพัก ผมก็ยังไม่ได้สนใจด้านนี้มากนัก ยังมีหลายๆอย่างในอดีตอยู่ ยังรู้สึกอิจฉานักเรียนทุนเมืองนอกอยู่
จนกระทั่งจบม.6 มาได้ 2-3 ปี ผมเริ่มตัดได้หลายๆอย่าง
ทุกวันนี้ผมไม่เคยคิดที่จะกลับไปอยากเรียนเมืองนอก อยากแก่งแย่ง อยากเป็นที่หนึ่งอีก และผมพอจะรู้คำตอบแล้วเรื่องการไม่เป็นภาระของพ่อแม่ ภาระสังคม การเรียนเมืองนอก เรียนโรงเรียนมัธยมที่ผมอยากเรียนนั่นไม่จำเป็นเลย เอาเป็นว่า ผมสามารถที่จะตอบโจทย์อะไรหลายๆอย่างในชีวิตได้ เพราะการศึกษาธรรมะ นั่นแหละครับ ผมสามารถวางอะไรได้หลายๆอย่างแล้วล่ะ