สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 2
เรียนต่อต่างประเทศสายวิทย์เดี๋ยวนี้เรียนกันฟรีๆ และก็ไม่ได้ยากอย่างที่น้องคิดด้วยนะ
ก็ไม่ต้องเสียใจ คนที่เป็นนักวิทยาศาสตร์เก่งๆ จบนอกของเมืองไทยก็ไม่ได้เรียนที่สองโรงเรียนนั้น
ผมมีรุ่นพี่ทเป็น ดร ทำงานอยุ่ สวทช แกจบตรีที่ราชภัฎต่างจันหวัดไกลมาก บ้านแกเป็นสวน ไปหาแกทีต้องเดินเป็นกิโลแถมต้องแจวเรือเข้าไปนะ
แกพึ่งได้รับรางวัลระดับนานาชาติไปเมื่อไม่นาน อายุพึ่งจะ 30 กว่าเอง
อีกคนที่เคยเจอ จบราชมงคล แล้วจับพลัดจับผลูหาทุนไปเรียนที่ สวิสต์ ตอนนี้ยังทำงานอยู่ที่นั่น
อาชีพนักวิทยาศาสตร์ เส้นทางในไทยแลดูลำบาก แนะนำให้หาทุนของต่างประเทศไปเรียนฟรีที่โน่น จบมาค่อยว่ากันว่าจะทำงานที่ไหน เพราะถ้าเก่งจริง ใครๆก็อยากได้ตัวไปช่วย เงินเดือน 100,000-300,000 นั้นเป็นไปได้
เริ่มยังไง
ก็เรียนมัธยมและ ป ตรีให้แน่นๆไว้ คณิตย์ อังกฤษ อย่าได้ทิ้ง
ระหว่างที่เรียน ป ตรี ก็แนะนำ จุฬา หรือ มหิดล นะ เพราะทุนกับเครื่องมือเยอะ
จากนั้นก็ตั้งใจเรียนฝึกภาษา ปรึกษาอาจารย์เรื่องอยากต่อเอกเมืองนอก ปรึกษาหลายๆอาจารย์ เดี๋ยวแนวทางมันมาเอง
จบตรีมาก็ขอทุนของต่างประเทศแล้วก็ไปเรียน
ตอนนี้เด็ก อินเดีย เด็กจีน ไปเอาทุนต่างประเทศ เรียนฟรีๆมาเป็นสิบๆปีแล้ว
ถ้าตั้งใจก็ทำได้ทุกคน
แล้วก็ไม่ต้องอ่านหนังสือใช้ชีวิต ตึงขนาดนั้น สำคัญคือเข้าใจ ประยุกต์ได้
คะแนนนั้นสำคัญสำหรับการเรียนแต่ไม่ได้สำคัญเท่าไหร่สำหรับการใช้ชีวิต
เรียนวิทยาศาสตร์ต้องการคนที่มีจินตนาการบนพื้นฐานของความรู้ ไม่ใช่คนทำข้อสอบ ไว เร็ว ที่ดำเนินชีวิตอยู่ในกรอบ
ถ้าสามารถรู้ได้ว่าอะไรคือกรอบ หรือขอบ ก็จะสามารถที่จะเลือกเดินในกรอบหรือนอกกรอบได้ตามสถานการณ์
ก็ไม่ต้องเสียใจ คนที่เป็นนักวิทยาศาสตร์เก่งๆ จบนอกของเมืองไทยก็ไม่ได้เรียนที่สองโรงเรียนนั้น
ผมมีรุ่นพี่ทเป็น ดร ทำงานอยุ่ สวทช แกจบตรีที่ราชภัฎต่างจันหวัดไกลมาก บ้านแกเป็นสวน ไปหาแกทีต้องเดินเป็นกิโลแถมต้องแจวเรือเข้าไปนะ
แกพึ่งได้รับรางวัลระดับนานาชาติไปเมื่อไม่นาน อายุพึ่งจะ 30 กว่าเอง
อีกคนที่เคยเจอ จบราชมงคล แล้วจับพลัดจับผลูหาทุนไปเรียนที่ สวิสต์ ตอนนี้ยังทำงานอยู่ที่นั่น
อาชีพนักวิทยาศาสตร์ เส้นทางในไทยแลดูลำบาก แนะนำให้หาทุนของต่างประเทศไปเรียนฟรีที่โน่น จบมาค่อยว่ากันว่าจะทำงานที่ไหน เพราะถ้าเก่งจริง ใครๆก็อยากได้ตัวไปช่วย เงินเดือน 100,000-300,000 นั้นเป็นไปได้
เริ่มยังไง
ก็เรียนมัธยมและ ป ตรีให้แน่นๆไว้ คณิตย์ อังกฤษ อย่าได้ทิ้ง
ระหว่างที่เรียน ป ตรี ก็แนะนำ จุฬา หรือ มหิดล นะ เพราะทุนกับเครื่องมือเยอะ
จากนั้นก็ตั้งใจเรียนฝึกภาษา ปรึกษาอาจารย์เรื่องอยากต่อเอกเมืองนอก ปรึกษาหลายๆอาจารย์ เดี๋ยวแนวทางมันมาเอง
จบตรีมาก็ขอทุนของต่างประเทศแล้วก็ไปเรียน
ตอนนี้เด็ก อินเดีย เด็กจีน ไปเอาทุนต่างประเทศ เรียนฟรีๆมาเป็นสิบๆปีแล้ว
ถ้าตั้งใจก็ทำได้ทุกคน
แล้วก็ไม่ต้องอ่านหนังสือใช้ชีวิต ตึงขนาดนั้น สำคัญคือเข้าใจ ประยุกต์ได้
คะแนนนั้นสำคัญสำหรับการเรียนแต่ไม่ได้สำคัญเท่าไหร่สำหรับการใช้ชีวิต
เรียนวิทยาศาสตร์ต้องการคนที่มีจินตนาการบนพื้นฐานของความรู้ ไม่ใช่คนทำข้อสอบ ไว เร็ว ที่ดำเนินชีวิตอยู่ในกรอบ
ถ้าสามารถรู้ได้ว่าอะไรคือกรอบ หรือขอบ ก็จะสามารถที่จะเลือกเดินในกรอบหรือนอกกรอบได้ตามสถานการณ์
แสดงความคิดเห็น
ผมรู้สึกเครียด ที่สอบไม่ติดโรงเรียน KVIS (กำเนิดวิทย์)
ก็ทั่วๆไปแค่นั้นแหละครับ ถ้าขยันก็ทำโจทย์ กินโจทย์เป็นอาหาร ถ้าเบื่อๆก็ DOTA 2
ในตอนม.2 มีการประกาศเรื่อง KVIS Open House (ตอนนั้น KWIT) แน่นอนว่าผมไปรอบสุดท้าย
มันน่าตื่นเต้นมาก ผมไม่เคยเจอ แต่ก็ทำใจไว้นิดๆว่า ไม่ติดแน่ๆเพราะสอบตอนม.2
อีกทั้งช่วงนั้นเรียกว่าสุขภาพจิตของผมย่ำแย่พอสมควร ผมมีปัญหากับเพื่อนและครู(ส่วนใหญ่มีปัญหากับครู)เพราะผมตั้งคำถามจนบางครั้งผมเถียงกับครูหลายครั้งในห้องเรียน เพื่อนรับรู้ เพราะผมคิดต่างจากพวก ผมตั้งคำถามกับทุกเรื่องแม้กระทั่งยามเบื่อๆหรือเกียจคร้าน แม้กระทั่งโจทย์ที่ผมมักจะนำมากินเล่นในยามขยัน ผมชอบตั้งคำถามว่า ทำโจทย์แล้วได้อะไร เครื่องคิดเลขก็มี ไม่ใช่หรือ ทำไมต้องใช้มือคิดในห้องสอบ ถามมุมทำไม ไม้ครึ่งวงกลมก็มี ทำไมไม่ให้เอาเข้าห้องสอบ แต่ทุกครั้งที่ผมจะเริ่มหาคำตอบ ผมก็จะขัดตัวเองอีกว่า เอาเวลาไปกินโจทย์ต่อดีไหม ตอนนี้เริ่มหายบ้างแล้ว แต่ตอนม.2 เป็นบ่อยมาก
จนผมรู้สึกผิดหวังและพูดกับตัวเองในใจตลอดที่นึกถึงว่า "รู้อย่างนี้เราแน่วแน่กว่านี้ดีกว่า เวลาทำโจทย์คือทำโจทย์ เวลาสงสัยก็หาคำตอบ หาได้ก็ไปทำโจทย์ต่อ ไม่ต้องมาสับสนวุ่นวายอะไร ถ้าเราไม่สับสนป่านนี้ถ้าไม่กำเนิดวิทย์ก็มหิดลแล้ว เบื่อความซ้ำซากโรงเรียนเดิม" แต่อย่างว่ากว่าจะรู้ตัวก็ 3 สัปดาห์ก่อนสอบมหิดลวิทยานุสรณ์ รู้เลยแน่ว่าสอบไม่ติดทั้ง KVIS ทั้งมหิดลวิทย์แน่นอน ทำใจเลยว่าเรียนต่อที่โรงเรียนเดิมแน่ๆ ทำใจไม่ได้ ไหนจะรองผอ.ที่ผมเคยบุกไปถามเรื่องต่างๆ ครูฝ่ายปกครองที่ผมเคยล้อเล่น หลักสูตรที่โหล่การศึกษาไทยในอาเซียน และบ๊วยระดับโลก ตอนนี้ผมเครียดมาก มันเป็นเพราะผมเองที่ตอนป.5 ผมไม่เคยมีความคิดว่าอยากจะเข้ามหิดลวิทมาก่อน ตอนนั้นผมแค่อยากเรียนให้จบ เข้าคณะแพทย์ได้ แต่กว่าจะรู้ว่าอยากเข้ามหิดลวิทย์ก็ตอนม.2 แล้ว แล้วก็ไม่ติดกำเนิดวิทย์อีก ก็เครียดสุดๆ ยังโทษตัวเองอีกว่าไม่เอาไหนเลย ถ้าเราผ่านรอบสองไปยังไงก็ไม่ติด เพราะ Portfolio ของเรามันมีผลงานน้อย เครียดปวดหัว มีช่วงหนึ่งที่ผมเห็นตัวอักษร K หรือ V หรือ I หรือ S ไม่ได้เลย เห็นแล้วจะรู้สึกปวดร้าว และบางครั้งก็ร้องไห้ จนตอนนี้ผมเป็นอีกครั้งหลังจากที่เพื่อนแชร์กระทู้เด็กดีเกี่ยวกับ KVIS ผมก็คลิกเข้าไป อ่านไปสักพักก็เสียใจ เพราะอยากเจอประยุทธ์กับสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี และอยากไปเรียนหลักสูตรที่ผมรัก ไม่ใช่หลักสูตรวิทย์ที่หาได้ในโรงเรียน ก็เครียดมาก คิดว่าชีวิตนี้ไร้คุณค่าแล้ว อยู่ไปทำไม ผมไม่มีทางทำประโยชน์ให้โลกได้หรอก เพราะแค่ KVIS กับ MWIT ยังไม่ติดเลย แล้วประโยชน์อะไรที่เราจะได้ทางสายวิทยาศาสตร์ สายอื่นก็ไม่ถนัด ผมเคยคิดฆ่าตัวตาย 2 ครั้งเพราะไม่ติด KVIS แต่ก็หยุดความคิดได้ทุกครั้ง ผมก็แค่อยากทราบว่า
1. ถ้าผมไม่ติด KVIS หรือ MWIT ผมจะสามารถทำประโยชน์อะไรให้กับบ้านเมืองทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีได้บ้าง แล้วต้องเรียนต่อยังไง
2. ผมอยากเรียนต่างประเทศ แต่บ้านไม่มีทุนพอแน่นอน ต้องไปแย่งสอบทุน ถ้าผมไม่เรียนใน KVIS หรือ MWIT ผมจะมีปัญญาไปสอบแข่งทุนกพ. หรือทุน King กับนักเรียนที่จบจากโรงเรียนเหล่านั้นได้ไหม หรือผมควรจะล้มความตั้งใจ เรียนต่อในไทยนี่เเหละ จบมายังไงก็ช่างมัน ฝันอะไรสวยหรูก็เลิกฝัน เคยชอบตั้งคำถามก็ไม่ทำ แค่เรียนต่อไป เข้ามหาลัย จบมาทำงานแค่นั้น ฝันอะไรไม่ต้องฝัน เพราะเเค่ KVIS กับมหิดลยังสอบไม่ติดเลย
3. ผมจะสามารถหาความรู้เทียบเท่า หรือมีโอกาสได้แตะกล้องจุลทรรศน์อิเลกตรอน หรือเครื่องถ่ายเอกสารสามมิติไหม หรือว่าจะมีโอกาสที่จะได้รับการสนับสนุนให้ไปแข่งขันต่างประเทศ หรือทำ Project ต่างๆไหม หรือผมจะหยุดอยู่แค่นี้ และเข้าไปเรียน สอบ ลืมต่อ ลดปัญญา ความฝันตัวเองลง แค่ท่องจำไปวันๆ ติวไปวันๆ สอบไปวันๆ และเข้ามหาลัย ทำงาน ตาย ก็พอ
4. แม้ผมจะไม่ได้เรียนที่ KVIS แต่จะมีกิจกรรมอะไรบ้างที่ทำให้ผมได้ไปเยือนที่นั่น ไม่ต้องสนว่ากิจกรรมอะไร แค่เป็นของระดับม.ปลายก็พอ หรือควรล้มเลิกความคิด
ผมคิดไม่ได้ ผมเครียด