ตอนก่อนหน้า เที่ยวอินเดีย 17 วัน EP.2 Hampta pass เทรกกิ้งหิมาลัย ผจญหิมะที่เมืองมะนาลี ด้วยเงินหลักพัน
https://ppantip.com/topic/41717661/comment4
.
จากมะนาลีตอนแรกผมลังเลอยากจะไปเที่ยวชิมลาต่อ เพื่อนอินเดียบอกว่าเป็นอีกเมืองในภูมิภาคนี้ที่บรรยากาศดี อีกเมืองคือธรรมศาลา แต่สุดท้ายผมก็ตัดสินใจเปลี่ยนแผน เดินทางกลับไปยังรัฐปัญจาบที่เมืองชานดิการ์เพื่อต่อรถไปที่เมืองมุกสาใกล้เขตชายแดนปากีสถานแทน เพราะได้รับคำชวนจากเพื่อนใน Counchsuffing ที่พักอาศัยอยู่ในหมู่บ้านชาวซิกข์แห่งหนึ่ง
.
อีกอย่างหนึ่งที่ลืมบอก สำหรับใครที่อยากไปเล ลาดักห์ เมืองสุดฮิต หากไม่อยากนั่งเครื่องบินไป เราสามารถหารถบัสจากเมืองมะนาลีไป เล ลาดักห์ได้ด้วย ใช้เวลาประมาณหนึ่งวันกว่าๆ ในการเดินทาง แต่เส้นทางเปิดแค่ในช่วง พ.ค. - ก.ย. ประมาณช่วงนี้เท่านั้น ขนาดแค่ลองเดินไปสำรวจเส้นทางจากมะนาลีที่จะไปเล ลาดักห์ วิวสองข้างทางสวยมาก
.
ความซวยมาเยือนผมขากลับจากมะนาลี ด้วยความคิดน้อย ผมเดินไปที่สถานีขนส่งมะนาลี และเลือกขึ้นรถที่กระเป๋ารถบัสประกาศชื่อเมืองชานดิการ์ โดยไม่ได้ตรวจสอบให้ดีเสียก่อน กลายเป็นว่าผมไปเลือกนั่งรถบัสท้องถิ่น ที่จอดรับคนตลอดทาง ตลอดทั้งคืนผมเจอทั้งขี้เมามานั่งข้างๆ เดี๋ยวก็เอาหัวมาก่าย จนผมแทบจะทะเลาะกับเขา เจอทั้งคนที่ขนของขวางทางเดินจนเดินไม่ได้ ผมต้องเบียดเสียดตัวเองอยู่ในรถเก่าๆ ที่ทั้งสกปรกไปตลอดคืน เป็นประสบการณ์ที่ไม่น่าจดจำเท่าไหร่ มันทำให้ผมรู้ว่าการเดินทางในอินเดีย ถ้าวางแผนได้ ให้เลือกวางแผน อย่าไปเสี่ยงไปเจอกับอะไรที่เราไม่รู้จัก แต่ถ้าอยากจะลิ้มลองผจญภัย หาอะไรใหม่ๆ ใส่ตัว ก็ไม่ว่ากัน
.
ผมมาถึงท่ารถบัสชานดิการ์ตอนตีสาม เห็นป้ายห้องพักของขนส่ง เลยกะว่าจะไปนอนเอาแรงที่นั่น แต่พนักงานบอกว่า ไม่มีบัตรประชาชนอินเดีย พักไม่ได้ olo ด้วยความง่วงผสมความกลัว จึงต้องไปหลับๆ ตื่นๆ อยู่ตามเก้าอี้ม้านั่ง รอจนกว่าฟ้าจะสว่าง เป็นค่ำคืนที่ซวยที่สุดของผมสำหรับการเดินทาง
.
โชคดีที่ในที่สุดผมก็สามารถหาโฮสต์ในเมืองชานดิการ์ได้ เป็นคอนโดในย่านชานเมืองของอนุ เขายินดีให้ผมไปพักกับเขา 1 คืน ห้องเขากว้างมาก มี 2 ห้องนอน เขาแบ่งหนึ่งห้องนอนให้ผมใช้ ผมได้พักผ่อนเต็มตาก็คืนนั้น ก่อนอีกวันที่ต้องเดินทางต่อไปเมืองมุกสา (Muktsar)
.
หลังจากเข็ดจากการเดินทางด้วยรถบัสท้องถิ่น วันรุ่งขึ้นผมเลือกบัสวอลโว่แอร์อย่างดี สำหรับใช้ในการเดินทางไปเมือง Muktsar เมืองนี้ไม่ใช่เรื่องท่องเที่ยว จึงไม่แปลกท่าจะไม่คุ้นชื่อ เป็นเมืองที่อยู่ใกล้ชายแดนปากีสถาน เป็นพื้นที่ของชาวซิกข์ อาจจะกล่าวได้ว่าในรัฐปัญจาบ ส่วนใหญ่แล้วคือชาวซิกข์ และถ้าคุณได้มาสัมผัสจะเห็นถึงความแตกต่างของผู้คน นี่คือเสน่ห์ของการเที่ยวอินเดีย ซึ่งอินเดียมีทั้งหมด 29 รัฐ
.
ผมมาถึงเมือง Muktsar ช่วยเย็น อาเพ เพื่อนของผมมารอรับผมที่ท่ารถ เราคุยกันตั้งแต่ก่อนผมออกเดินทางมาอินเดีย เขาให้คำแนะนำผมตลอดการวางแผนทริปนี้ จนกระทั่งเขาออกปากชวนผมมาเที่ยวบ้านเขา ผมขอเขาพักอาศัย 3 วัน 3 คืน เป็นช่วงเวลาที่ผมได้ผ่อนคลายจากการเดินทางที่เหน็ดเหนื่อย
.
.
บ้านของอาเพมีอายุ 100 ปี ตั้งอยู่ในหมู่บ้านนอกเขตเมือง เหมือนผมกำลังอาศัยอยู่ในป้อมปราการโบราณอย่างไรอย่างนั้น หมู่บ้านแห่งนี้ผู้คนนับถือศาสนาซิกข์แทบจะ 100 % ชาวซิกข์เงียบขรึม รักษาความสะอาด สภาพแวดล้อมจึงไม่ค่อยเสียงดัง และวุ่นวายเหมือนพื้นที่อื่น
.
ผมจัดแจงเอาเสื้อผ้าออกมาซัก การเดินทางไกลครั้งนี้พบว่า สิ่งของจำเป็นสำหรับการเดินทางจริงๆ แล้วมีไม่กี่อย่าง เสื้อผ้าเตรียมมาเพียงไม่กี่ชุดก็เพียงพอแล้ว เพราะเราซักได้แทบตลอด สิ่งสำคัญที่ได้ใช้จริงๆ คือ ยาสามัญ ปลั๊กไฟ รองเท้าแตะ กล้อง ไม้แขวนเสื้อ ไฟฉาย กระบอกน้ำ ผมชอบเวลาออกเดินทางก็ตรงที่เราจะสามารถแบกสัมภาระติดตัวได้แค่ที่จำเป็นและจำกัดอยู่ไม่กี่สิ่ง มันทำให้รู้สึกว่าชีวิตเราขับเคลื่อนไปได้ ด้วยสิ่งของอันน้อยนิด ทำให้รู้สึกชีวิตคล่องตัวที่จะไปไหนมาไหนได้ดี
.
นอกจากนี้การเดินทางในอินเดียครั้งนี้ยังทำให้รู้สึกว่า บางอย่างก็ไม่น่ากลัวอย่างที่เราคิด หลายอย่างก็ยากแค่ครั้งแรก เมื่อทำครั้งแรกได้แล้ว ทั้งนั่งรถไฟ จองตั๋ว รถบัส ขอโฮสต์ผ่านแอป couchsuffing ต่อราคากับคนอินเดีย เมื่อทำครั้งแรกได้แล้วครั้งต่อไปก็ไม่ยาก แต่สิ่งที่ขาดไม่ได้แน่นอนคือสติ เพราะหลายครั้งพอเราทำได้แล้ว เราก็มักจะประมาท และเจอกับสิ่งที่ไม่คาดคิดได้
.
.
3 วันที่หมู่บ้านของอาเพ ผมได้เรียนรู้ ฟังเรื่องราววัฒนธรรม ความเป็นมาของชาวซิกข์ ได้ไปนั่งกินอาหารในวัด ได้กระดกเบียร์กับอาเพจนขับรถตกร่องนา ได้ไปกินแกงไก่ร้อนๆ ที่บ้านของเพื่อนอาเพที่เป็นทหาร ถ้ามาอินเดียแล้วเจอแต่ทหารโพกหัว หนวดเครายาวเฟื้อยไม่ต้องตกใจ พวกเขาเหล่านั้นเป็นชาวซิกข์ คนซิกข์นิยมเป็นทหาร เพราะหลักศาสนาเขาสอนให้ปกป้องผู้คน ประวัติศาสตร์ของศาสนาซิกข์เองก็ต้องต่อสู้ เพื่อพวกพ้อง และรักษาไว้ซึ่งอาณาเขตของตัวเองอยู่ตลอด
.
คำเชยๆ ที่อยากจะพูดซ้ำคือ สถานที่ธรรมดามักทำให้เรามีความสุขและประทับใจได้มากที่สุด ดังเช่น 3 วันที่ผมใช้ชีวิตอยู่ในหมู่บ้านของชาวซิกข์ ทั้งที่กิจกรรมแทบไม่มีอะไรน่าตื่นเต้นเลย ตื่นเช้ามาแม่ของอาเพชงชาให้กิน กินข้าวเช้าเสร็จ สายๆ ผมก็หยิบต้นฉบับบันทึกการเดินทางใช้ชีวิตในอินเดียขึ้นมาบันทึกต่อเติม เพื่อหวังว่าสักวันหนึ่งมันจะกลายเป็นหนังสือสักเล่ม ตกบ่ายก็นั่งๆ นอนๆ พอตกเย็นก็ออกไปกินเบียร์ เดินเล่นกับอาเพ สามสี่ทุ่มก็เข้านอน ผมไม่เคยลืมภาพพระอาทิตย์ตกดินที่ได้ยืนดูกับอาเพในเย็นวันนั้น ก่อนที่ผมจะบอกลาเขานั่งรถไฟกลับมาผจญความวุ่นวายที่เมืองเดลี เมืองสุดท้ายของการเดินทาง
.
ผมถึงเมืองเดลีตอนสามทุ่มกว่าด้วยความกลัว เพราะคำบอกเล่าของใครต่อใครที่บอกว่าเดลีตอนกลางคืนน่ากลัว จากที่สัมผัสมาผมก็รู้สึกกลัวกว่าเมืองอื่นจริงๆ อย่างที่เขาว่า เหมือนมันมีผู้คนจากทั่วทุกสารทิศมารวมอยู่ที่นี่ เราเลยไม่รู้เลยว่าใครคิดหรือเป็นอย่างไร เมื่อเทียบกับเมืองเล็กๆ ที่รู้สึกปลอดภัยกว่า ผมรีบเดินจ้ำอ้าว เพื่อเดินทางโดยรถไฟฟ้าไปหาโฮสต์ที่ย่านชานเมืองทางใต้ของเมืองนิวเดลี
.
สิ่งหนึ่งที่ยกนิ้วให้นิวเดลีคือ รถไฟฟ้านั่งง่าย สะดวกสบาย ราคาไม่แพง ไปเที่ยวไหนแทบจะนั่งรถไฟฟ้าไปได้ทุกที่ อินเดียทำให้คำว่าขนส่งสาธารณะเป็นขนส่งเพื่อประชาชนได้ดีกว่าเมืองไทย แต่สภาพอากาศเมืองเดลีก็สุดขั้วมาก ตอนกลางวันนี่ร้อนอย่างกับกรุงเทพฯ แต่ตกกลางคืนก็หนาวใช่เล่น ผมหลับไปในค่ำคืนแรกด้วยความเหนื่อย ก่อนตื่นขึ้นมานั่งคุยทำความรู้จักกับโฮสต์ ถือเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญของแอป Counchsuffing
.
แอปนี้ไม่ใช่แอปหาที่นอนฟรี แต่มันคือการที่เราต้องเอาประสบการณ์ วัฒนธรรม เรื่องเล่า ของเราไปพูดคุยแลกเปลี่ยนกับโฮสต์ เพราะการที่คนส่วนใหญ่เขาเลือกโฮสต์เรา เพราะเขาสนใจในเรื่องราวของเรา มันเหมือนกันแชร์เรื่องราวเล่าสู่กันฟัง
.
.
หลังจากพูดคุยกันพอหอมปากหอมคอ ผมออกไปสำรวจนิวเดลี เริ่มจากย่านอินเดียเกท แนะนำมาตอนกลางคืน ตอนกลางวันร้อนมาก และมันเป็นที่โล่งแจ้ง กับอีกคำแนะนำที่ให้ทำใจคือ บริเวณอินเดียเกท พวกตากล้องที่ชอบมาตื๊อให้เราถ่ายรูปเยอะมาก อย่าไปสนใจใดๆ ทั้งสิ้น แต่ไม่ว่าจะเดินหนียังไงก็จะมีคนใหม่ตามมาราวีอยู่ดี ทำใจอย่างเดียว กับอีกอย่างที่ประหลาดสุดๆ คือ บริการแคะหู ที่ข้าวของเครื่องมือสุดแสนจะเก่า ได้แต่คิดในใจใครมันจะไปใช้บริการวะ จนกระทั่งเห็นคนอินเดีย นอนให้พวกเขาแคะหูอย่างสบายใจ ประเทศนี้มีแต่อะไรเพี้ยนจริงๆ
.
จากอินเดียเกท ผมไปเยือนป้อมแดง ผมไม่ได้เข้าไปด้านในเพราะตั๋วแพงมากหลักพันรูปี จึงแค่ถ่ายรูปอยู่ด้านนอก ระหว่างวันก็นั่งรถไฟเล่นอยู่ในเมืองนิวเดลี จนกระทั่งช่วงเย็นนัดเจอกับริติก หนุ่มนิวเดลีที่ผมรู้จัก เขาพาผมสำรวจนิวเดลี ย่าน Connaught Place ย่านหรูหราของนิวเดลี กุตุบมีนาร์ หอคอยสถาปัตกรรมสุดสวย ที่ยิ่งไปตอนกลางคืนราวสองทุ่ม ที่นี่เงียบสงบมาก ก่อนปิดท้ายด้วยการไปกินอาหารร้าน Haldiram's เป็นร้านอาหารที่มีหลายสาขาทั่วอินเดีย ข้อดีของการที่เราไปสำรวจเมืองกับคนท้องถิ่นคือไม่ต้องกลัวหลงทาง ได้เที่ยวโดยไม่ถูกฟันราคา และได้รับข้อมูลจากคนพื้นที่จริงๆ ทำให้ไม่ต้องไปเสียเวลา เสียเงิน โดยเปล่าประโยชน์ เราสองคนรีบวิ่งไปให้ทันรถไฟฟ้าเที่ยวสุดท้ายของเดลีช่วงสี่ทุ่มกว่า เป็นอันปิดฉากการเดินทาง 17 วันของผม ก่อนที่วันพรุ่งนี้จะเดินทางกลับแล้ว
.
โล่งใจอยากบอกไม่ถูก เมื่อในที่สุดก็ได้รถไฟกลับ แม้จะต้องเบียดเสียดแชร์ 1 เตียงกับคน 2 คนก็ตามที เพราะดันเดินทางกลับระหว่างเทศกาลดิวาลี การเดินทางท่องเที่ยวที่ผ่านมาในชีวิต มักจบลงด้วยความรู้สึกอยากเที่ยวต่อ เหมือนยังคงเหลือเรี่ยวแรงและความรู้สึกว่ายังได้เที่ยวเดินทางไม่เต็มที่ แต่คงไม่ใช่กับครั้งนี้
.
การออกเดินทางท่องเที่ยวถ้าไม่ใช่เพื่อการพักผ่อน ก็เพื่อการออกผจญภัยเรียนรู้สิ่งใหม่ การออกเดินทาง 17 วันครั้งนี้คงเป็นอย่างหลัง การเที่ยวในอินเดียเหมือนสูบพลังงานที่สะสมไว้จนหมด ไม่หลงเหลือความรู้สึกค้างคาใจหรืออยากเดินทางเที่ยวต่อแม้แต่น้อย สิ่งเดียวที่คิดถึงคือ เตียงนุ่มๆ กับอาหารที่คุ้นเคยในเมืองปูเน่
.
ตลอดเส้นทางที่ออกเดินทางคนเดียวไม่ง่ายเลย อันที่จริงเราสามารถทำให้ทุกอย่างง่ายขึ้นในอินเดียด้วยการใช้เงิน นั่งเครื่องบิน จองโรงแรม ซื้อทัวร์ อินเดียมีทุกอย่างอำนวยความสะดวกให้นักท่องเที่ยว แต่การเดินทางเช่นนั้น ในวัยหนุ่มสาวเช่นนี้จะได้เรียนรู้อะไร? (ข้อเท็จจริงคือไม่มีเงิน)
.
ตลอดเส้นทางที่ใช้การขนส่งท้องถิ่นสาธารณะ ที่พักกับคนท้องถิ่นในเมืองนั้นๆ ผ่านแอป counchsuffing หรือแม้แต่การใช้สองเท้าย่ำเดินตามทาง เจอทั้งคนดี และคนเฮงซวย อินเดียเป็นประเทศที่ผู้คนสุดโต่ง บางคนดีกับเราจนใจหาย บางคนก็เฮงซวย จนแทบอยากจะชกหน้าให้หายข้องใจ ถ้าอยากรอดในอินเดีย บางครั้งก็ต้องรู้จักที่จะไม่ยอมคน
.
สามารถตามอ่านเรื่องราวการใช้ชีวิตในอินเดียของผมตั้งแต่เริ่มต้นได้ที่
Yesh in India อยู่อินเดียไม่มีเหงา EP.1 ค่ำคืนแรกในอินเดีย
https://ppantip.com/topic/41521801
Yesh in India เที่ยวอินเดีย 17 วัน 5 เมือง 4 รัฐ ด้วยเงิน 9,600 บาท ep.3 ตอนจบ
ตอนก่อนหน้า เที่ยวอินเดีย 17 วัน EP.2 Hampta pass เทรกกิ้งหิมาลัย ผจญหิมะที่เมืองมะนาลี ด้วยเงินหลักพัน
https://ppantip.com/topic/41717661/comment4
.
จากมะนาลีตอนแรกผมลังเลอยากจะไปเที่ยวชิมลาต่อ เพื่อนอินเดียบอกว่าเป็นอีกเมืองในภูมิภาคนี้ที่บรรยากาศดี อีกเมืองคือธรรมศาลา แต่สุดท้ายผมก็ตัดสินใจเปลี่ยนแผน เดินทางกลับไปยังรัฐปัญจาบที่เมืองชานดิการ์เพื่อต่อรถไปที่เมืองมุกสาใกล้เขตชายแดนปากีสถานแทน เพราะได้รับคำชวนจากเพื่อนใน Counchsuffing ที่พักอาศัยอยู่ในหมู่บ้านชาวซิกข์แห่งหนึ่ง
.
อีกอย่างหนึ่งที่ลืมบอก สำหรับใครที่อยากไปเล ลาดักห์ เมืองสุดฮิต หากไม่อยากนั่งเครื่องบินไป เราสามารถหารถบัสจากเมืองมะนาลีไป เล ลาดักห์ได้ด้วย ใช้เวลาประมาณหนึ่งวันกว่าๆ ในการเดินทาง แต่เส้นทางเปิดแค่ในช่วง พ.ค. - ก.ย. ประมาณช่วงนี้เท่านั้น ขนาดแค่ลองเดินไปสำรวจเส้นทางจากมะนาลีที่จะไปเล ลาดักห์ วิวสองข้างทางสวยมาก
.
ความซวยมาเยือนผมขากลับจากมะนาลี ด้วยความคิดน้อย ผมเดินไปที่สถานีขนส่งมะนาลี และเลือกขึ้นรถที่กระเป๋ารถบัสประกาศชื่อเมืองชานดิการ์ โดยไม่ได้ตรวจสอบให้ดีเสียก่อน กลายเป็นว่าผมไปเลือกนั่งรถบัสท้องถิ่น ที่จอดรับคนตลอดทาง ตลอดทั้งคืนผมเจอทั้งขี้เมามานั่งข้างๆ เดี๋ยวก็เอาหัวมาก่าย จนผมแทบจะทะเลาะกับเขา เจอทั้งคนที่ขนของขวางทางเดินจนเดินไม่ได้ ผมต้องเบียดเสียดตัวเองอยู่ในรถเก่าๆ ที่ทั้งสกปรกไปตลอดคืน เป็นประสบการณ์ที่ไม่น่าจดจำเท่าไหร่ มันทำให้ผมรู้ว่าการเดินทางในอินเดีย ถ้าวางแผนได้ ให้เลือกวางแผน อย่าไปเสี่ยงไปเจอกับอะไรที่เราไม่รู้จัก แต่ถ้าอยากจะลิ้มลองผจญภัย หาอะไรใหม่ๆ ใส่ตัว ก็ไม่ว่ากัน
.
ผมมาถึงท่ารถบัสชานดิการ์ตอนตีสาม เห็นป้ายห้องพักของขนส่ง เลยกะว่าจะไปนอนเอาแรงที่นั่น แต่พนักงานบอกว่า ไม่มีบัตรประชาชนอินเดีย พักไม่ได้ olo ด้วยความง่วงผสมความกลัว จึงต้องไปหลับๆ ตื่นๆ อยู่ตามเก้าอี้ม้านั่ง รอจนกว่าฟ้าจะสว่าง เป็นค่ำคืนที่ซวยที่สุดของผมสำหรับการเดินทาง
.
โชคดีที่ในที่สุดผมก็สามารถหาโฮสต์ในเมืองชานดิการ์ได้ เป็นคอนโดในย่านชานเมืองของอนุ เขายินดีให้ผมไปพักกับเขา 1 คืน ห้องเขากว้างมาก มี 2 ห้องนอน เขาแบ่งหนึ่งห้องนอนให้ผมใช้ ผมได้พักผ่อนเต็มตาก็คืนนั้น ก่อนอีกวันที่ต้องเดินทางต่อไปเมืองมุกสา (Muktsar)
.
หลังจากเข็ดจากการเดินทางด้วยรถบัสท้องถิ่น วันรุ่งขึ้นผมเลือกบัสวอลโว่แอร์อย่างดี สำหรับใช้ในการเดินทางไปเมือง Muktsar เมืองนี้ไม่ใช่เรื่องท่องเที่ยว จึงไม่แปลกท่าจะไม่คุ้นชื่อ เป็นเมืองที่อยู่ใกล้ชายแดนปากีสถาน เป็นพื้นที่ของชาวซิกข์ อาจจะกล่าวได้ว่าในรัฐปัญจาบ ส่วนใหญ่แล้วคือชาวซิกข์ และถ้าคุณได้มาสัมผัสจะเห็นถึงความแตกต่างของผู้คน นี่คือเสน่ห์ของการเที่ยวอินเดีย ซึ่งอินเดียมีทั้งหมด 29 รัฐ
.
ผมมาถึงเมือง Muktsar ช่วยเย็น อาเพ เพื่อนของผมมารอรับผมที่ท่ารถ เราคุยกันตั้งแต่ก่อนผมออกเดินทางมาอินเดีย เขาให้คำแนะนำผมตลอดการวางแผนทริปนี้ จนกระทั่งเขาออกปากชวนผมมาเที่ยวบ้านเขา ผมขอเขาพักอาศัย 3 วัน 3 คืน เป็นช่วงเวลาที่ผมได้ผ่อนคลายจากการเดินทางที่เหน็ดเหนื่อย
.
.
บ้านของอาเพมีอายุ 100 ปี ตั้งอยู่ในหมู่บ้านนอกเขตเมือง เหมือนผมกำลังอาศัยอยู่ในป้อมปราการโบราณอย่างไรอย่างนั้น หมู่บ้านแห่งนี้ผู้คนนับถือศาสนาซิกข์แทบจะ 100 % ชาวซิกข์เงียบขรึม รักษาความสะอาด สภาพแวดล้อมจึงไม่ค่อยเสียงดัง และวุ่นวายเหมือนพื้นที่อื่น
.
ผมจัดแจงเอาเสื้อผ้าออกมาซัก การเดินทางไกลครั้งนี้พบว่า สิ่งของจำเป็นสำหรับการเดินทางจริงๆ แล้วมีไม่กี่อย่าง เสื้อผ้าเตรียมมาเพียงไม่กี่ชุดก็เพียงพอแล้ว เพราะเราซักได้แทบตลอด สิ่งสำคัญที่ได้ใช้จริงๆ คือ ยาสามัญ ปลั๊กไฟ รองเท้าแตะ กล้อง ไม้แขวนเสื้อ ไฟฉาย กระบอกน้ำ ผมชอบเวลาออกเดินทางก็ตรงที่เราจะสามารถแบกสัมภาระติดตัวได้แค่ที่จำเป็นและจำกัดอยู่ไม่กี่สิ่ง มันทำให้รู้สึกว่าชีวิตเราขับเคลื่อนไปได้ ด้วยสิ่งของอันน้อยนิด ทำให้รู้สึกชีวิตคล่องตัวที่จะไปไหนมาไหนได้ดี
.
นอกจากนี้การเดินทางในอินเดียครั้งนี้ยังทำให้รู้สึกว่า บางอย่างก็ไม่น่ากลัวอย่างที่เราคิด หลายอย่างก็ยากแค่ครั้งแรก เมื่อทำครั้งแรกได้แล้ว ทั้งนั่งรถไฟ จองตั๋ว รถบัส ขอโฮสต์ผ่านแอป couchsuffing ต่อราคากับคนอินเดีย เมื่อทำครั้งแรกได้แล้วครั้งต่อไปก็ไม่ยาก แต่สิ่งที่ขาดไม่ได้แน่นอนคือสติ เพราะหลายครั้งพอเราทำได้แล้ว เราก็มักจะประมาท และเจอกับสิ่งที่ไม่คาดคิดได้
.
.
3 วันที่หมู่บ้านของอาเพ ผมได้เรียนรู้ ฟังเรื่องราววัฒนธรรม ความเป็นมาของชาวซิกข์ ได้ไปนั่งกินอาหารในวัด ได้กระดกเบียร์กับอาเพจนขับรถตกร่องนา ได้ไปกินแกงไก่ร้อนๆ ที่บ้านของเพื่อนอาเพที่เป็นทหาร ถ้ามาอินเดียแล้วเจอแต่ทหารโพกหัว หนวดเครายาวเฟื้อยไม่ต้องตกใจ พวกเขาเหล่านั้นเป็นชาวซิกข์ คนซิกข์นิยมเป็นทหาร เพราะหลักศาสนาเขาสอนให้ปกป้องผู้คน ประวัติศาสตร์ของศาสนาซิกข์เองก็ต้องต่อสู้ เพื่อพวกพ้อง และรักษาไว้ซึ่งอาณาเขตของตัวเองอยู่ตลอด
.
คำเชยๆ ที่อยากจะพูดซ้ำคือ สถานที่ธรรมดามักทำให้เรามีความสุขและประทับใจได้มากที่สุด ดังเช่น 3 วันที่ผมใช้ชีวิตอยู่ในหมู่บ้านของชาวซิกข์ ทั้งที่กิจกรรมแทบไม่มีอะไรน่าตื่นเต้นเลย ตื่นเช้ามาแม่ของอาเพชงชาให้กิน กินข้าวเช้าเสร็จ สายๆ ผมก็หยิบต้นฉบับบันทึกการเดินทางใช้ชีวิตในอินเดียขึ้นมาบันทึกต่อเติม เพื่อหวังว่าสักวันหนึ่งมันจะกลายเป็นหนังสือสักเล่ม ตกบ่ายก็นั่งๆ นอนๆ พอตกเย็นก็ออกไปกินเบียร์ เดินเล่นกับอาเพ สามสี่ทุ่มก็เข้านอน ผมไม่เคยลืมภาพพระอาทิตย์ตกดินที่ได้ยืนดูกับอาเพในเย็นวันนั้น ก่อนที่ผมจะบอกลาเขานั่งรถไฟกลับมาผจญความวุ่นวายที่เมืองเดลี เมืองสุดท้ายของการเดินทาง
.
ผมถึงเมืองเดลีตอนสามทุ่มกว่าด้วยความกลัว เพราะคำบอกเล่าของใครต่อใครที่บอกว่าเดลีตอนกลางคืนน่ากลัว จากที่สัมผัสมาผมก็รู้สึกกลัวกว่าเมืองอื่นจริงๆ อย่างที่เขาว่า เหมือนมันมีผู้คนจากทั่วทุกสารทิศมารวมอยู่ที่นี่ เราเลยไม่รู้เลยว่าใครคิดหรือเป็นอย่างไร เมื่อเทียบกับเมืองเล็กๆ ที่รู้สึกปลอดภัยกว่า ผมรีบเดินจ้ำอ้าว เพื่อเดินทางโดยรถไฟฟ้าไปหาโฮสต์ที่ย่านชานเมืองทางใต้ของเมืองนิวเดลี
.
สิ่งหนึ่งที่ยกนิ้วให้นิวเดลีคือ รถไฟฟ้านั่งง่าย สะดวกสบาย ราคาไม่แพง ไปเที่ยวไหนแทบจะนั่งรถไฟฟ้าไปได้ทุกที่ อินเดียทำให้คำว่าขนส่งสาธารณะเป็นขนส่งเพื่อประชาชนได้ดีกว่าเมืองไทย แต่สภาพอากาศเมืองเดลีก็สุดขั้วมาก ตอนกลางวันนี่ร้อนอย่างกับกรุงเทพฯ แต่ตกกลางคืนก็หนาวใช่เล่น ผมหลับไปในค่ำคืนแรกด้วยความเหนื่อย ก่อนตื่นขึ้นมานั่งคุยทำความรู้จักกับโฮสต์ ถือเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญของแอป Counchsuffing
.
แอปนี้ไม่ใช่แอปหาที่นอนฟรี แต่มันคือการที่เราต้องเอาประสบการณ์ วัฒนธรรม เรื่องเล่า ของเราไปพูดคุยแลกเปลี่ยนกับโฮสต์ เพราะการที่คนส่วนใหญ่เขาเลือกโฮสต์เรา เพราะเขาสนใจในเรื่องราวของเรา มันเหมือนกันแชร์เรื่องราวเล่าสู่กันฟัง
.
.
หลังจากพูดคุยกันพอหอมปากหอมคอ ผมออกไปสำรวจนิวเดลี เริ่มจากย่านอินเดียเกท แนะนำมาตอนกลางคืน ตอนกลางวันร้อนมาก และมันเป็นที่โล่งแจ้ง กับอีกคำแนะนำที่ให้ทำใจคือ บริเวณอินเดียเกท พวกตากล้องที่ชอบมาตื๊อให้เราถ่ายรูปเยอะมาก อย่าไปสนใจใดๆ ทั้งสิ้น แต่ไม่ว่าจะเดินหนียังไงก็จะมีคนใหม่ตามมาราวีอยู่ดี ทำใจอย่างเดียว กับอีกอย่างที่ประหลาดสุดๆ คือ บริการแคะหู ที่ข้าวของเครื่องมือสุดแสนจะเก่า ได้แต่คิดในใจใครมันจะไปใช้บริการวะ จนกระทั่งเห็นคนอินเดีย นอนให้พวกเขาแคะหูอย่างสบายใจ ประเทศนี้มีแต่อะไรเพี้ยนจริงๆ
.
จากอินเดียเกท ผมไปเยือนป้อมแดง ผมไม่ได้เข้าไปด้านในเพราะตั๋วแพงมากหลักพันรูปี จึงแค่ถ่ายรูปอยู่ด้านนอก ระหว่างวันก็นั่งรถไฟเล่นอยู่ในเมืองนิวเดลี จนกระทั่งช่วงเย็นนัดเจอกับริติก หนุ่มนิวเดลีที่ผมรู้จัก เขาพาผมสำรวจนิวเดลี ย่าน Connaught Place ย่านหรูหราของนิวเดลี กุตุบมีนาร์ หอคอยสถาปัตกรรมสุดสวย ที่ยิ่งไปตอนกลางคืนราวสองทุ่ม ที่นี่เงียบสงบมาก ก่อนปิดท้ายด้วยการไปกินอาหารร้าน Haldiram's เป็นร้านอาหารที่มีหลายสาขาทั่วอินเดีย ข้อดีของการที่เราไปสำรวจเมืองกับคนท้องถิ่นคือไม่ต้องกลัวหลงทาง ได้เที่ยวโดยไม่ถูกฟันราคา และได้รับข้อมูลจากคนพื้นที่จริงๆ ทำให้ไม่ต้องไปเสียเวลา เสียเงิน โดยเปล่าประโยชน์ เราสองคนรีบวิ่งไปให้ทันรถไฟฟ้าเที่ยวสุดท้ายของเดลีช่วงสี่ทุ่มกว่า เป็นอันปิดฉากการเดินทาง 17 วันของผม ก่อนที่วันพรุ่งนี้จะเดินทางกลับแล้ว
.
โล่งใจอยากบอกไม่ถูก เมื่อในที่สุดก็ได้รถไฟกลับ แม้จะต้องเบียดเสียดแชร์ 1 เตียงกับคน 2 คนก็ตามที เพราะดันเดินทางกลับระหว่างเทศกาลดิวาลี การเดินทางท่องเที่ยวที่ผ่านมาในชีวิต มักจบลงด้วยความรู้สึกอยากเที่ยวต่อ เหมือนยังคงเหลือเรี่ยวแรงและความรู้สึกว่ายังได้เที่ยวเดินทางไม่เต็มที่ แต่คงไม่ใช่กับครั้งนี้
.
การออกเดินทางท่องเที่ยวถ้าไม่ใช่เพื่อการพักผ่อน ก็เพื่อการออกผจญภัยเรียนรู้สิ่งใหม่ การออกเดินทาง 17 วันครั้งนี้คงเป็นอย่างหลัง การเที่ยวในอินเดียเหมือนสูบพลังงานที่สะสมไว้จนหมด ไม่หลงเหลือความรู้สึกค้างคาใจหรืออยากเดินทางเที่ยวต่อแม้แต่น้อย สิ่งเดียวที่คิดถึงคือ เตียงนุ่มๆ กับอาหารที่คุ้นเคยในเมืองปูเน่
.
ตลอดเส้นทางที่ออกเดินทางคนเดียวไม่ง่ายเลย อันที่จริงเราสามารถทำให้ทุกอย่างง่ายขึ้นในอินเดียด้วยการใช้เงิน นั่งเครื่องบิน จองโรงแรม ซื้อทัวร์ อินเดียมีทุกอย่างอำนวยความสะดวกให้นักท่องเที่ยว แต่การเดินทางเช่นนั้น ในวัยหนุ่มสาวเช่นนี้จะได้เรียนรู้อะไร? (ข้อเท็จจริงคือไม่มีเงิน)
.
ตลอดเส้นทางที่ใช้การขนส่งท้องถิ่นสาธารณะ ที่พักกับคนท้องถิ่นในเมืองนั้นๆ ผ่านแอป counchsuffing หรือแม้แต่การใช้สองเท้าย่ำเดินตามทาง เจอทั้งคนดี และคนเฮงซวย อินเดียเป็นประเทศที่ผู้คนสุดโต่ง บางคนดีกับเราจนใจหาย บางคนก็เฮงซวย จนแทบอยากจะชกหน้าให้หายข้องใจ ถ้าอยากรอดในอินเดีย บางครั้งก็ต้องรู้จักที่จะไม่ยอมคน
.
สามารถตามอ่านเรื่องราวการใช้ชีวิตในอินเดียของผมตั้งแต่เริ่มต้นได้ที่
Yesh in India อยู่อินเดียไม่มีเหงา EP.1 ค่ำคืนแรกในอินเดีย
https://ppantip.com/topic/41521801