วันที่ฟ้าเปิด
ดรัสวันต์ และ Q
14
ทั้งสามออกเดินทางไปตามถนนสายที่เนตริยาเคยมาแล้วครั้งหนึ่งตอนไปหมู่บ้านหัวไทรแต่ครั้งนี้รถแล่นเลยไปไกลออกไปอีก เป็นเส้นทางที่ผ่านเข้าไปในชุมชนที่หล่อนเดาว่าน่าจะเป็นตลาด เพราะบรรดาเพิงไม้และโต๊ะไม้หยาบๆ ที่ตั้งเรียงรายคล้ายแผงขายของที่หล่อนเห็นนั้น แม้ขณะนี้จะ
ว่างเปล่า แต่ก็เดาได้ว่าในช่วงเช้าคงคึกคักด้วยพ่อค้าแม่ขายและคนที่มาจับจ่าย นอกจากนี้หล่อนยังสังเกตเห็นอาคารไม้ 4 คูหา เปิดเป็นร้านขายของชำ
มีสินค้าสารพัดชนิดถูกนำมาแขวนห้อยอยู่หน้าร้าน
ถัดจากอาคารไม้ เป็นร้านขายกาแฟสด ที่มีลูกค้านั่งอยู่ 2-3 ราย เจ้าของร้านเป็นชายวัยกลางคนเดินออกมาเห็นรถของปกป้องก็จำได้ พร้อมกับโบกมือทักทาย
“ไปไหนหมอ”
แสวงชะลอรถเล็กน้อยให้ปกป้องโบกมือตอบและบอกจุดหมายปลายทาง แล้วขับผ่านเลยไป
“ที่นี่คือตลาดหรือคะ” เนตริยาถามอย่างตื่นเต้น
“ครับ ชาวบ้านทั้ง 4 หมู่บ้านในแถบนี้ได้อาศัยมาจับจ่ายที่นี่ ถ้าเป็นตอนเช้าจะคึกคักกว่านี้” ปกป้องหันมาอธิบายและมองเนตริยาที่กำลังสนใจวิถีชีวิตของชาวบ้าน หลายสิ่งหลายอย่างล้วนแปลกใหม่สำหรับคนกรุงเทพฯ อย่างหล่อน
“แถวนี้มีสี่หมู่บ้านหรือคะ”
“ครับ เมื่อวันก่อนเราไปหัวไทรมาแล้ว และวันนี้ที่เรากำลังจะไป ชื่อบ้านดงใส”
“อีกไกลไหมกว่าเราจะไปถึง” เนตริยามถาม
“ไปจากนี่อีกไม่ไกล แต่เส้นทางนับจากนี้ค่อนข้างจะลำบากนิดนึงเพราะต้องข้ามภูเขาแต่ไม่ต้องห่วง เดี๋ยวคุณก็จะชินเอง”
คำพูดตอนท้ายนั้น ทำให้เนตริยาอ้ำอึ้ง วิตกกังวลว่าจะต้องมีชีวิตอย่างนี้ไปอีกนานแค่ไหนถึงจะ
ชินไปเอง
เป็นอย่างที่ปกป้องว่าไว้ การเดินทางนับจากตลาดมานี้เป็นเรื่องที่ยากลำบากยิ่งแม้หล่อนจะนั่งมาในรถกระบะที่มีเบาะนุ่ม แต่เมื่อเธอคิดถึงคนใน
หมู่บ้านที่จะเดินทางเข้าไปในเมือง คงลำบากมากกว่าหล่อน
“ถนนหนทางทุรกันดารแบบนี้พวกชาวบ้านจะเข้าเมืองแต่ละทีคงลำบาก”
“ครับ ลำบากมาก เพราะอยู่หลังเขาและพวกเขาก็ยากจน บ้านไหนมีมอเตอร์ไซค์ก็โก้ที่สุดแล้ว”
“ในนั้นคงไม่มีโรงเรียนหรือสถานพยาบาล” ผู้ติดตามพยายามเดา
“เพราะไม่มีสถานพยาบาลผมจึงต้องเข้าไป ส่วนเรื่องการเรียนมีครูอาสาอยู่เพียงคนเดียวกับครูสอนศาสนาอิสลาม แต่ถ้าใครอยากให้ลูกได้เข้า
โรงเรียนก็จะมาฝากให้อาศัยอยู่กับญาติที่หมู่บ้านอื่น หรือญาติในเมือง”
“ลำบากขนาดนี้เลยหรือ” เนตริยาทำท่าเห็นใจ หล่อนยังไม่เคยเห็นว่ามีหมู่บ้านไหนในประเทศไทยที่มีความยากแค้นขนาดนี้
“ชาวบ้านบางส่วนที่บ้านนี้เป็นมุสลิมที่ยังมีความเชื่อเกี่ยวกับผีและไสยศาสตร์อยู่ อย่างเคสที่เรามาวันนี้ ผมคิดว่าคนป่วยน่าจะเป็นตับอักเสบนะ
เท่าที่ลูกชายเขามาบอก แต่ทางญาติเขาคิดว่าถูกผีดูดเลือดจนตัวเหลืองซีด เขาถึงไปเชิญโต๊ะหมอแขกมารักษา”
“โต๊ะหมอแขก ? ”
“ก็คล้ายหมอผีนั่นละครับ รักษาด้วยคาถาอาคม การเป่าเสก เป็นความเชื่อของคนมุสลิมบางคนไม่ใช่ทั้งหมด คุณพ่อของผมต้องต่อสู้กับความเชื่อ
เหล่านี้ ช่วงแรกๆ ที่เข้ามาในหมู่บ้านนี้นั้น เราถูกต่อต้านจากพวกหมอผีซึ่งตั้งตัวเป็นศัตรูกับเรา”
เนตริยานิ่งฟังอย่างตื่นเต้นสนใจ
“คุณลองนึกดูนะครับ เมื่อก่อนโต๊ะหมอแขกรักษาคนในหมู่บ้าน จะด้วยพิธีกรรมหรือสมุนไพรอะไรก็แล้วแต่ จะรักษาได้บ้างไม่ได้บ้างแต่เขาก็ยังได้รับความเคารพยำเกรงจากคนในหมู่บ้าน สามารถสั่งคนโน้นคนนี้ได้ แต่พอเมื่อมีการแพทย์แผนใหม่ที่มีประสิทธิภาพดีกว่าเข้ามา ความน่าเชื่อถือเริ่ม
แปรเปลี่ยนทำให้คนศรัทธาหมอผีน้อยลงเริ่มหมดอำนาจขาดรายได้ เขาเลยพยายามต่อต้านเราทุกวิถีทาง”
“แล้วนายจะเอาชนะหมอผีได้อย่างไร”
“ผมไม่คิดว่าเราจะต้องไปเอาชนะหมอผีหรอก เพราะถ้าไสยศาสตร์ทำให้เขาหายป่วยไม่ได้ เขาก็ต้องหันมาหาการแพทย์แผนปัจจุบัน”
แสวงจอดรถลงที่สุดทางถนนลูกรัง แล้วผู้ชายสองคนก็ก้าวลงจากรถ เนตริยามองไปรอบๆ ที่มีแต่ป่าไม้แน่นทึบ ไม่มีสวนยาง สวนปาล์มหรือบ้านเรือนให้เห็นแม้แต่น้อยนอกจากศาลาไม้เล็กๆ คล้ายที่นั่งรอ
“ถึงแล้วหรือนี่ ไม่เห็นมีอะไรเลย” หญิงสาวถามขึ้นหลังจากก้าวลงจากรถแล้วมองไปรอบๆ อย่างประหลาดใจ หล่อนคาดเดาว่าจะมีบ้านชาวบ้าน
เรียงรายให้เห็น ไม่ใช่มีแต่ป่าแบบนี้
ปกป้องกับแสวงหันมาสบตากัน
“บ้านดงใสอยู่หลังเขาโน่นครับ เราต้องเดินกันต่อ” ปกป้องอธิบายพร้อมทั้งชี้มือเข้าไปในป่าที่มองเห็นแต่ทางเดินเท้า
“ห๊ะ อะไรนะ เดิน !?” เนตริยาอุทาน
“ใช่ครับ เดิน”
“จะให้ฉันเดินป่าเนี่ยนะ แล้วมันอีกไกลแค่ไหน”
“หนึ่งกิโล”
แสวงก้มหน้าแอบยิ้ม แล้วเดินไปหยิบข้าวของจำเป็นที่จะนำติดตัวเข้าหมู่บ้านพลางคิดในใจว่าปกป้องคงจะต้องรบกับเนตริยาอีกแล้ว เขาขอหลีก
ไปก่อนดีกว่า
“โอ๊ย ! ตั้งกิโล ทำไมนายไม่บอกว่าจะต้องเดินเท้าอีกเป็นกิโล รู้งี้ไม่มาดีกว่า” เนตริยาทำสีหน้าเหนื่อยอ่อนแม้เธอยังไม่ได้เริ่มเดิน
“อะไรกันคุณ ยังไม่ได้เริ่มเดินเลยโวยวายแล้วหรือ”
“ก็อากาศมันร้อนนี่ แล้วจะให้เดินด้วยอีก” อากาศร้อนอบอ้าวเหมือนที่เนตริยาพูด แม้จะมีต้นไม้ใหญ่เป็นร่มเงา แต่อากาศที่ร้อนชื้นนั้นทำให้มีเหงื่อ
สร้างความรำคาญให้กับเธอยิ่งนัก เนตริยายังคงยืนอยู่ข้างรถทำท่างอแงไม่เต็มใจ
ปกป้องเห็นดังนั้นก็ยักไหล่ แล้วเดินไปหยิบกระเป๋าล่วมยาและเป้จากเบาะหลังออกมา
“จะไม่ไปก็ได้ รออยู่ที่นี่แล้วกัน”
“ให้ฉันรอที่นี่ ? แล้วนายจะไปนานแค่ไหน”
ปกป้องแหงนหน้าขึ้นมองดวงอาทิตย์ แล้วตอบว่า
“คงดึก”
“ดึกเลยหรือ อะไรกันนี่” หญิงสาวโวยวายไม่พอใจอย่างยิ่ง
ปกป้องไม่สนใจ เขาออกเดินไปข้างหน้าทันที
เนตริยามองไปรอบตัวอย่างหวาดระแวง
แซ้ก ! เสียงนกป่าร้องดังแหวกอากาศจนหล่อนสะดุ้งแล้วตามมาด้วยความเงียบ เป็นความสงัดเงียบที่หล่อนรู้สึกวังเวงจนขนหัวลุก มันทำให้หล่อนเปลี่ยนใจที่จะคอยอยู่ตรงนั้นแต่เพียงลำพัง
“เดี๋ยว เดี๋ยวก่อน รอฉันด้วย” เนตริยาตะโกนโหวกเหวก แล้วรีบวิ่งตามปกป้องที่เห็นหลังไวๆ อยู่เบื้องหน้า
ชายหนุ่มหยุดยืนรอที่เนินเตี้ยๆ แห่งนั้น หนทางข้างหน้าเริ่มเป็นเนินเขาที่ค่อนข้างชัน พอเนตริยาวิ่งมาถึง เขาก็ออกเดินต่อทันที ทำให้หญิงสาวต้อง
รีบจ้ำออกเดินตามปกป้องโดยไม่มีโอกาสพัก หล่อนหอบเหนื่อยจนตัวโยน
“รอหน่อยซิ ! ฉันเหนื่อย หายใจไม่ทันแล้ว”
ปกป้องหยุดเดินหันกลับมามอง
“ผู้กองเนตริยา” เขาเรียกหล่อนเต็มยศ “ผมเพิ่งเคยเห็นนายทหารทั้งอ่อนแอและไม่อดทนอย่างคุณเป็นคนแรก” คำปรามาสนั้นส่งผลให้ใบหน้าที่
แดงก่ำด้วยความเหนื่อยนั้น ยิ่งทวีความแดงเพราะแรงโกรธมากยิ่งขึ้น
“อย่ามาดูถูกกันนะ” หล่อนสะบัดเสียงใส่เขา
“อย่าลืมซิว่าดาวทองบนบ่าที่คุณแบกไว้ทั้งสองข้างนั้นคือ เกียรติ วินัย กล้าหาญ อดทน ไม่ว่าคุณจะอยู่นอกเครื่องแบบหรือในเครื่องแบบ ยศทหารนี้
จะติดตัวคุณไปจนวันตาย จะมาอ่อนแอปวกเปียกไม่ยอมอดทนแบบนี้ได้ยังไง”
ทิฐิมานะที่ถูกกระตุ้นเตือนนั้นทำให้หญิงสาวเชิดหน้าขึ้น สูดลมหายใจลึกแล้วก้าวเดินออกไปข้างหน้า พร้อมทั้งบ่นอุบอิบกับตัวเองว่า “พ่อยังไม่เคย
พูดว่าแบบนี้เลย”
ปกป้องออกเดินตามหลัง เขาแอบยิ้มภูมิใจและคิดในใจว่า ‘ต้องให้ได้อย่างนี้ซิเนตริยา’
หนทางที่เริ่มสูงชัน บวกกับความชื้นแฉะของผิวดินบางช่วงทำให้หญิงสาวลื่นถลา ดีแต่คนที่ตามมาข้างหลังรีบเข้ามาพยุงไว้ทัน เหงื่อที่ผุดรอบกรอบใบหน้าที่แดงระเรื่อเพราะความเหนื่อยนั้น ทำให้ปกป้องต้องบอกให้หยุดพัก แล้วดึงขวดน้ำออกมาจากเป้ข้างหลังส่งให้หญิงสาวดื่ม
“ค่อยๆ ดื่มนะ เดี๋ยวสำลัก”
“อีกไกลไหม” เนตริยาถามอย่างอ่อนล้า แล้วทรุดตัวลงนั่งที่ขอนไม้ข้างทาง
“เหลืออีกไม่ไกลแล้ว อดทนเดินอีกนิดเดียว”
ทั้งหมดยังคงเดินมุ่งไปข้างหน้าโดยมีเสียงบ่นของเนตริยามาบ้างประปราย และเป็นปกป้องเองที่ต้องคอยล่อหลอกให้เนตริยาหยุดบ่นและออกเดิน
ทางขึ้นเขาสูงนั้นค่อยๆ ลดระดับลง ภาพของหมู่บ้านดงใส แผ่อยู่ตรงหน้าคนทั้งสาม หมู่บ้านหลังเขาที่ปกป้องเคยมาทำงานครั้งแรกกับพ่อของเขานั้นบัดนี้แสงจากดวงอาทิตย์ค่อยๆ อ่อนลง ทั้งๆ ที่เวลายังแค่บ่ายสามโมง ทั้งนี้เป็นเพราะถูกยอดไม้จากแนวป่าบดบัง
มูเราะห์ที่รอคอยอยู่ตรงทางเข้าหมู่บ้าน รีบเข้ามาต้อนรับ
“ขอบคุณครับหมอที่อุตส่าห์มา ตามผมมาเลยครับ” แล้วเด็กหนุ่มก็พาทั้งสามเดินลึกเข้าไปในหมู่บ้าน ไปยังบ้านไม้สองชั้นที่ใหญ่เป็นที่สองรองจาก
บ้านผู้ใหญ่บ้าน แสดงให้เห็นถึงฐานะที่ค่อนข้างดีกว่าชาวบ้านคนอื่นๆ ก่อนหน้านี้นาดีร์บอกเขาว่าครอบครัวของมูเราะห์เกี่ยวดองกับกำนันตำบลนี้
ทันทีที่เดินเข้าไปในตัวบ้าน บรรดาญาติผู้ป่วยต่างหันมามองคนทั้งสาม มีเสียงฮือฮาแปลกใจถึงการมาของหมอแผนปัจจุบัน มีบางคนทำหน้าตาเคร่งเครียดไม่ยอมรับ แล้วเดินออกจากห้องไป ในขณะที่โต๊ะหมอแขกซึ่งนั่งอยู่ข้างคนป่วย เหลือบตาขึ้นมองทั้งสามอย่างไม่เป็นมิตรนัก
อย่างไรก็ตามมารดาของมูเราะห์ก็ไม่ลืมความเป็นเจ้าบ้านที่ดี นางเชื้อเชิญทั้งหมดให้เข้ามานั่งในห้องรับแขกแคบๆ ที่มีร่างของคนป่วยนอนไร้เรี่ยวแรงอยู่บนฟูกบางๆ มีโต๊ะหมอแขกคอยนั่งอยู่ข้างๆ เจ้าบ้านหันไปสั่งเด็กให้รินน้ำมาเสิร์ฟแขกตามธรรมเนียม สีหน้าของหล่อนฉายแววอึดอัดใจที่มีการเผชิญหน้ากันของหมอทั้งสอง หล่อนขยับเข้ามาพูดเบาๆ พอให้ได้ยินว่า
“เอ่อ ฉันขอบใจนะที่หมออุตส่าห์มา แต่ยังไงก็ต้องให้เกียรติโต๊ะหมอแขกสักหน่อย”
“ไม่เป็นไรครับ ผมจะนั่งรอ ไม่ก้าวก่าย หากป๊ะของมูเราะห์หายป่วยได้ ผมจะดีใจมาก”
“แหม มันจะเป็นการเสียเวลาหมอไหมจ๊ะ อุตส่าห์ลำบากลำบนมาถึงที่นี่”
“โอ๊ะ ไม่เลยครับ มะอย่าคิดอย่างนั้น ถือเสียว่าผมมาเยี่ยมเยียนคนป่วยก็แล้วกัน”
คำพูดปลอบใจนั้นทำให้เจ้าของบ้านค่อยโล่งอก
“ขอบคุณน้ำใจหมอนะจ๊ะ” แล้วนางก็ถอยออกไป
วันที่ฟ้าเปิด บทที่ 14
ว่างเปล่า แต่ก็เดาได้ว่าในช่วงเช้าคงคึกคักด้วยพ่อค้าแม่ขายและคนที่มาจับจ่าย นอกจากนี้หล่อนยังสังเกตเห็นอาคารไม้ 4 คูหา เปิดเป็นร้านขายของชำ
มีสินค้าสารพัดชนิดถูกนำมาแขวนห้อยอยู่หน้าร้าน
ถัดจากอาคารไม้ เป็นร้านขายกาแฟสด ที่มีลูกค้านั่งอยู่ 2-3 ราย เจ้าของร้านเป็นชายวัยกลางคนเดินออกมาเห็นรถของปกป้องก็จำได้ พร้อมกับโบกมือทักทาย
“ไปไหนหมอ”
แสวงชะลอรถเล็กน้อยให้ปกป้องโบกมือตอบและบอกจุดหมายปลายทาง แล้วขับผ่านเลยไป
“ที่นี่คือตลาดหรือคะ” เนตริยาถามอย่างตื่นเต้น
“ครับ ชาวบ้านทั้ง 4 หมู่บ้านในแถบนี้ได้อาศัยมาจับจ่ายที่นี่ ถ้าเป็นตอนเช้าจะคึกคักกว่านี้” ปกป้องหันมาอธิบายและมองเนตริยาที่กำลังสนใจวิถีชีวิตของชาวบ้าน หลายสิ่งหลายอย่างล้วนแปลกใหม่สำหรับคนกรุงเทพฯ อย่างหล่อน
“แถวนี้มีสี่หมู่บ้านหรือคะ”
“ครับ เมื่อวันก่อนเราไปหัวไทรมาแล้ว และวันนี้ที่เรากำลังจะไป ชื่อบ้านดงใส”
“อีกไกลไหมกว่าเราจะไปถึง” เนตริยามถาม
“ไปจากนี่อีกไม่ไกล แต่เส้นทางนับจากนี้ค่อนข้างจะลำบากนิดนึงเพราะต้องข้ามภูเขาแต่ไม่ต้องห่วง เดี๋ยวคุณก็จะชินเอง”
คำพูดตอนท้ายนั้น ทำให้เนตริยาอ้ำอึ้ง วิตกกังวลว่าจะต้องมีชีวิตอย่างนี้ไปอีกนานแค่ไหนถึงจะ ชินไปเอง
เป็นอย่างที่ปกป้องว่าไว้ การเดินทางนับจากตลาดมานี้เป็นเรื่องที่ยากลำบากยิ่งแม้หล่อนจะนั่งมาในรถกระบะที่มีเบาะนุ่ม แต่เมื่อเธอคิดถึงคนใน
หมู่บ้านที่จะเดินทางเข้าไปในเมือง คงลำบากมากกว่าหล่อน
“ถนนหนทางทุรกันดารแบบนี้พวกชาวบ้านจะเข้าเมืองแต่ละทีคงลำบาก”
“ครับ ลำบากมาก เพราะอยู่หลังเขาและพวกเขาก็ยากจน บ้านไหนมีมอเตอร์ไซค์ก็โก้ที่สุดแล้ว”
“ในนั้นคงไม่มีโรงเรียนหรือสถานพยาบาล” ผู้ติดตามพยายามเดา
“เพราะไม่มีสถานพยาบาลผมจึงต้องเข้าไป ส่วนเรื่องการเรียนมีครูอาสาอยู่เพียงคนเดียวกับครูสอนศาสนาอิสลาม แต่ถ้าใครอยากให้ลูกได้เข้า
โรงเรียนก็จะมาฝากให้อาศัยอยู่กับญาติที่หมู่บ้านอื่น หรือญาติในเมือง”
“ลำบากขนาดนี้เลยหรือ” เนตริยาทำท่าเห็นใจ หล่อนยังไม่เคยเห็นว่ามีหมู่บ้านไหนในประเทศไทยที่มีความยากแค้นขนาดนี้
“ชาวบ้านบางส่วนที่บ้านนี้เป็นมุสลิมที่ยังมีความเชื่อเกี่ยวกับผีและไสยศาสตร์อยู่ อย่างเคสที่เรามาวันนี้ ผมคิดว่าคนป่วยน่าจะเป็นตับอักเสบนะ
เท่าที่ลูกชายเขามาบอก แต่ทางญาติเขาคิดว่าถูกผีดูดเลือดจนตัวเหลืองซีด เขาถึงไปเชิญโต๊ะหมอแขกมารักษา”
“โต๊ะหมอแขก ? ”
“ก็คล้ายหมอผีนั่นละครับ รักษาด้วยคาถาอาคม การเป่าเสก เป็นความเชื่อของคนมุสลิมบางคนไม่ใช่ทั้งหมด คุณพ่อของผมต้องต่อสู้กับความเชื่อ
เหล่านี้ ช่วงแรกๆ ที่เข้ามาในหมู่บ้านนี้นั้น เราถูกต่อต้านจากพวกหมอผีซึ่งตั้งตัวเป็นศัตรูกับเรา”
เนตริยานิ่งฟังอย่างตื่นเต้นสนใจ
“คุณลองนึกดูนะครับ เมื่อก่อนโต๊ะหมอแขกรักษาคนในหมู่บ้าน จะด้วยพิธีกรรมหรือสมุนไพรอะไรก็แล้วแต่ จะรักษาได้บ้างไม่ได้บ้างแต่เขาก็ยังได้รับความเคารพยำเกรงจากคนในหมู่บ้าน สามารถสั่งคนโน้นคนนี้ได้ แต่พอเมื่อมีการแพทย์แผนใหม่ที่มีประสิทธิภาพดีกว่าเข้ามา ความน่าเชื่อถือเริ่ม
แปรเปลี่ยนทำให้คนศรัทธาหมอผีน้อยลงเริ่มหมดอำนาจขาดรายได้ เขาเลยพยายามต่อต้านเราทุกวิถีทาง”
“แล้วนายจะเอาชนะหมอผีได้อย่างไร”
“ผมไม่คิดว่าเราจะต้องไปเอาชนะหมอผีหรอก เพราะถ้าไสยศาสตร์ทำให้เขาหายป่วยไม่ได้ เขาก็ต้องหันมาหาการแพทย์แผนปัจจุบัน”
แสวงจอดรถลงที่สุดทางถนนลูกรัง แล้วผู้ชายสองคนก็ก้าวลงจากรถ เนตริยามองไปรอบๆ ที่มีแต่ป่าไม้แน่นทึบ ไม่มีสวนยาง สวนปาล์มหรือบ้านเรือนให้เห็นแม้แต่น้อยนอกจากศาลาไม้เล็กๆ คล้ายที่นั่งรอ
“ถึงแล้วหรือนี่ ไม่เห็นมีอะไรเลย” หญิงสาวถามขึ้นหลังจากก้าวลงจากรถแล้วมองไปรอบๆ อย่างประหลาดใจ หล่อนคาดเดาว่าจะมีบ้านชาวบ้าน
เรียงรายให้เห็น ไม่ใช่มีแต่ป่าแบบนี้
ปกป้องกับแสวงหันมาสบตากัน
“บ้านดงใสอยู่หลังเขาโน่นครับ เราต้องเดินกันต่อ” ปกป้องอธิบายพร้อมทั้งชี้มือเข้าไปในป่าที่มองเห็นแต่ทางเดินเท้า
“ห๊ะ อะไรนะ เดิน !?” เนตริยาอุทาน
“ใช่ครับ เดิน”
“จะให้ฉันเดินป่าเนี่ยนะ แล้วมันอีกไกลแค่ไหน”
“หนึ่งกิโล”
แสวงก้มหน้าแอบยิ้ม แล้วเดินไปหยิบข้าวของจำเป็นที่จะนำติดตัวเข้าหมู่บ้านพลางคิดในใจว่าปกป้องคงจะต้องรบกับเนตริยาอีกแล้ว เขาขอหลีก
ไปก่อนดีกว่า
“โอ๊ย ! ตั้งกิโล ทำไมนายไม่บอกว่าจะต้องเดินเท้าอีกเป็นกิโล รู้งี้ไม่มาดีกว่า” เนตริยาทำสีหน้าเหนื่อยอ่อนแม้เธอยังไม่ได้เริ่มเดิน
“อะไรกันคุณ ยังไม่ได้เริ่มเดินเลยโวยวายแล้วหรือ”
“ก็อากาศมันร้อนนี่ แล้วจะให้เดินด้วยอีก” อากาศร้อนอบอ้าวเหมือนที่เนตริยาพูด แม้จะมีต้นไม้ใหญ่เป็นร่มเงา แต่อากาศที่ร้อนชื้นนั้นทำให้มีเหงื่อ
สร้างความรำคาญให้กับเธอยิ่งนัก เนตริยายังคงยืนอยู่ข้างรถทำท่างอแงไม่เต็มใจ
ปกป้องเห็นดังนั้นก็ยักไหล่ แล้วเดินไปหยิบกระเป๋าล่วมยาและเป้จากเบาะหลังออกมา
“จะไม่ไปก็ได้ รออยู่ที่นี่แล้วกัน”
“ให้ฉันรอที่นี่ ? แล้วนายจะไปนานแค่ไหน”
ปกป้องแหงนหน้าขึ้นมองดวงอาทิตย์ แล้วตอบว่า
“คงดึก”
“ดึกเลยหรือ อะไรกันนี่” หญิงสาวโวยวายไม่พอใจอย่างยิ่ง
ปกป้องไม่สนใจ เขาออกเดินไปข้างหน้าทันที
เนตริยามองไปรอบตัวอย่างหวาดระแวง
แซ้ก ! เสียงนกป่าร้องดังแหวกอากาศจนหล่อนสะดุ้งแล้วตามมาด้วยความเงียบ เป็นความสงัดเงียบที่หล่อนรู้สึกวังเวงจนขนหัวลุก มันทำให้หล่อนเปลี่ยนใจที่จะคอยอยู่ตรงนั้นแต่เพียงลำพัง
“เดี๋ยว เดี๋ยวก่อน รอฉันด้วย” เนตริยาตะโกนโหวกเหวก แล้วรีบวิ่งตามปกป้องที่เห็นหลังไวๆ อยู่เบื้องหน้า
ชายหนุ่มหยุดยืนรอที่เนินเตี้ยๆ แห่งนั้น หนทางข้างหน้าเริ่มเป็นเนินเขาที่ค่อนข้างชัน พอเนตริยาวิ่งมาถึง เขาก็ออกเดินต่อทันที ทำให้หญิงสาวต้อง
รีบจ้ำออกเดินตามปกป้องโดยไม่มีโอกาสพัก หล่อนหอบเหนื่อยจนตัวโยน
“รอหน่อยซิ ! ฉันเหนื่อย หายใจไม่ทันแล้ว”
ปกป้องหยุดเดินหันกลับมามอง
“ผู้กองเนตริยา” เขาเรียกหล่อนเต็มยศ “ผมเพิ่งเคยเห็นนายทหารทั้งอ่อนแอและไม่อดทนอย่างคุณเป็นคนแรก” คำปรามาสนั้นส่งผลให้ใบหน้าที่
แดงก่ำด้วยความเหนื่อยนั้น ยิ่งทวีความแดงเพราะแรงโกรธมากยิ่งขึ้น
“อย่ามาดูถูกกันนะ” หล่อนสะบัดเสียงใส่เขา
“อย่าลืมซิว่าดาวทองบนบ่าที่คุณแบกไว้ทั้งสองข้างนั้นคือ เกียรติ วินัย กล้าหาญ อดทน ไม่ว่าคุณจะอยู่นอกเครื่องแบบหรือในเครื่องแบบ ยศทหารนี้
จะติดตัวคุณไปจนวันตาย จะมาอ่อนแอปวกเปียกไม่ยอมอดทนแบบนี้ได้ยังไง”
ทิฐิมานะที่ถูกกระตุ้นเตือนนั้นทำให้หญิงสาวเชิดหน้าขึ้น สูดลมหายใจลึกแล้วก้าวเดินออกไปข้างหน้า พร้อมทั้งบ่นอุบอิบกับตัวเองว่า “พ่อยังไม่เคย
พูดว่าแบบนี้เลย”
ปกป้องออกเดินตามหลัง เขาแอบยิ้มภูมิใจและคิดในใจว่า ‘ต้องให้ได้อย่างนี้ซิเนตริยา’
หนทางที่เริ่มสูงชัน บวกกับความชื้นแฉะของผิวดินบางช่วงทำให้หญิงสาวลื่นถลา ดีแต่คนที่ตามมาข้างหลังรีบเข้ามาพยุงไว้ทัน เหงื่อที่ผุดรอบกรอบใบหน้าที่แดงระเรื่อเพราะความเหนื่อยนั้น ทำให้ปกป้องต้องบอกให้หยุดพัก แล้วดึงขวดน้ำออกมาจากเป้ข้างหลังส่งให้หญิงสาวดื่ม
“ค่อยๆ ดื่มนะ เดี๋ยวสำลัก”
“อีกไกลไหม” เนตริยาถามอย่างอ่อนล้า แล้วทรุดตัวลงนั่งที่ขอนไม้ข้างทาง
“เหลืออีกไม่ไกลแล้ว อดทนเดินอีกนิดเดียว”
ทั้งหมดยังคงเดินมุ่งไปข้างหน้าโดยมีเสียงบ่นของเนตริยามาบ้างประปราย และเป็นปกป้องเองที่ต้องคอยล่อหลอกให้เนตริยาหยุดบ่นและออกเดิน
ทางขึ้นเขาสูงนั้นค่อยๆ ลดระดับลง ภาพของหมู่บ้านดงใส แผ่อยู่ตรงหน้าคนทั้งสาม หมู่บ้านหลังเขาที่ปกป้องเคยมาทำงานครั้งแรกกับพ่อของเขานั้นบัดนี้แสงจากดวงอาทิตย์ค่อยๆ อ่อนลง ทั้งๆ ที่เวลายังแค่บ่ายสามโมง ทั้งนี้เป็นเพราะถูกยอดไม้จากแนวป่าบดบัง
มูเราะห์ที่รอคอยอยู่ตรงทางเข้าหมู่บ้าน รีบเข้ามาต้อนรับ
“ขอบคุณครับหมอที่อุตส่าห์มา ตามผมมาเลยครับ” แล้วเด็กหนุ่มก็พาทั้งสามเดินลึกเข้าไปในหมู่บ้าน ไปยังบ้านไม้สองชั้นที่ใหญ่เป็นที่สองรองจาก
บ้านผู้ใหญ่บ้าน แสดงให้เห็นถึงฐานะที่ค่อนข้างดีกว่าชาวบ้านคนอื่นๆ ก่อนหน้านี้นาดีร์บอกเขาว่าครอบครัวของมูเราะห์เกี่ยวดองกับกำนันตำบลนี้
ทันทีที่เดินเข้าไปในตัวบ้าน บรรดาญาติผู้ป่วยต่างหันมามองคนทั้งสาม มีเสียงฮือฮาแปลกใจถึงการมาของหมอแผนปัจจุบัน มีบางคนทำหน้าตาเคร่งเครียดไม่ยอมรับ แล้วเดินออกจากห้องไป ในขณะที่โต๊ะหมอแขกซึ่งนั่งอยู่ข้างคนป่วย เหลือบตาขึ้นมองทั้งสามอย่างไม่เป็นมิตรนัก
อย่างไรก็ตามมารดาของมูเราะห์ก็ไม่ลืมความเป็นเจ้าบ้านที่ดี นางเชื้อเชิญทั้งหมดให้เข้ามานั่งในห้องรับแขกแคบๆ ที่มีร่างของคนป่วยนอนไร้เรี่ยวแรงอยู่บนฟูกบางๆ มีโต๊ะหมอแขกคอยนั่งอยู่ข้างๆ เจ้าบ้านหันไปสั่งเด็กให้รินน้ำมาเสิร์ฟแขกตามธรรมเนียม สีหน้าของหล่อนฉายแววอึดอัดใจที่มีการเผชิญหน้ากันของหมอทั้งสอง หล่อนขยับเข้ามาพูดเบาๆ พอให้ได้ยินว่า
“เอ่อ ฉันขอบใจนะที่หมออุตส่าห์มา แต่ยังไงก็ต้องให้เกียรติโต๊ะหมอแขกสักหน่อย”
“ไม่เป็นไรครับ ผมจะนั่งรอ ไม่ก้าวก่าย หากป๊ะของมูเราะห์หายป่วยได้ ผมจะดีใจมาก”
“แหม มันจะเป็นการเสียเวลาหมอไหมจ๊ะ อุตส่าห์ลำบากลำบนมาถึงที่นี่”
“โอ๊ะ ไม่เลยครับ มะอย่าคิดอย่างนั้น ถือเสียว่าผมมาเยี่ยมเยียนคนป่วยก็แล้วกัน”
คำพูดปลอบใจนั้นทำให้เจ้าของบ้านค่อยโล่งอก
“ขอบคุณน้ำใจหมอนะจ๊ะ” แล้วนางก็ถอยออกไป