ลิเวอร์พูล 1-2 ลีดส์
เมื่อกลางเดือนผมได้ดูคลิป “แม่เอ๋” เมียน้าค่อมกับ “ไอซ์” ลูกสาวให้สัมภาษณ์ว่าทั้งคู่ move on กับการสูญเสียของ “น้าค่อม” ยังไม่ได้แม้จากไปเกือบ 2 ปีแล้ว
เหตุเพราะน้าค่อมแกเกิดขึ้นปุ๊บปั๊บจาก 1 กระโดดไป 5 พุ่งไป 10 ไม่เหมือนมะเร็งหรือโรคร้ายที่มีระยะ 1-2-3-4 ที่ยังพอเหลือเวลาให้ทำใจและใช้เวลาอยู่ด้วยกัน
ดังนั้นสิ่งที่เกิดขึ้นกับ ลิเวอร์พูล ณ ปัจจุบันผมมองว่าเป็นมะเร็งที่ตรวจพบมาหลายเดือนแล้ว
ทั้งคุณทั้งผมยอมรับอาการป่วยของ “หงส์” ที่ลดระดับทีมลงมาเหลือเป็นการรักษาตามสภาพไปทีละสเต็ป
ครับ ผมจึงไม่รู้สึกว่าความพ่ายแพ้คาบ้านต่อ ลีดส์ ยูไนเต็ด เป็นอะไรที่เกิดขึ้นปุ๊บปั๊บจนต้องมาร้องไห้ฟูมฟาย
มีกี่ทีมกันครับที่จะบุกมา แอนฟิลด์ และทำให้นักเตะสู้ไม่ขึ้น เสียงเชียร์ที่ดังกระปริดกระปรอยเพราะแต่ละคนอยู่ในภาวะอึ้งไม่คิดว่าจะเห็นทีมรักหมดสภาพได้ขนาดนี้
“ยูงทอง” เหนือกว่าชัดเจนทั้งการควบคุมเกมแดนกลาง, การวิ่งไล่เพรสเอาบอลกลับมา, การขึ้นเกมที่เป็นระบบและนักเตะใช้ความสามารถฉีกแนวรับได้เป็น
น้ำเป็นเนื้อกว่าอย่างไม่ต้องสงสัย
ตัวเลขไม่ชนะใครมา 8 นัดและหล่นไปอยู่รองบ๊วยสะท้อนว่า ลีดส์ เป็นพวกหมูในอวยชัดๆ
แต่ถ้าใครได้ตามดูเด็กๆของ เจสซี่ มาร์ช เล่นมาตลอดจะเห็นได้ว่ามีแค่ 2 จาก 8 เกมเท่านั้นที่คู่แข่งมีโอกาสยิงประตูมากกว่า
ที่เหลือเป็น “ยูงทอง” ที่สร้างสรรค์มากมายอย่างบ้างคลั่งแต่ปัญหาสอบตกในเรื่องการจบสกอร์ทำให้ต้องรอคอยชัยชนะจนมาถึงนัดที่ 9
โดยเฉพาะเกมที่เจอกับ อาร์เซนอล เป็นรูปเกม “ยูงทอง” เหนือกว่าพับรัวๆและส่องไป 16 ครั้งแต่เข้ากรอบแค่ 4 ในขณะที่ “ปืนใหญ่” มีโอกาส 9 และเข้ากรอบแค่ 4 เท่ากันแต่คมกว่าก่อนเฉือนชนะ 1-0
แม้ผลงานดิ่งลงจนกลายเป็นตัวเต็งโดนปลดแต่นักเตะในทีมยังเชื่อมั่นในแนวทางของ มาร์ช ที่จุดเด่นอยู่ที่ความ “ดุดัน” ในแดนกลางที่วันนี้ข่ม ลิเวอร์พูล มิดด้าม
พูดได้เต็มปากเต็มคำว่า ลีดส์ เพรสเมื่อไหร่ได้บอลกลับมาเมื่อนั้น ยิ่งบีบให้ “หงส์แดง” ตกใจรีบคายบอลเร็ว
ชั่วโมงบินที่เคยเจอเหตุการณ์เดิมๆของ โจ โกเมซ ไม่ช่วยอะไรกับการจ่ายคืนหลังโดยไม่มอง ไม่ใช่ครั้งแรกแต่ครั้งก่อนๆมันไม่เป็นประตูและสุดท้ายมันก็ต้องเกิดขึ้นซักวัน
กลางไม่มีใครทำอะไรกับบอลได้เลยยกเว้น ธิอาโก้ ซึ่งมันก็เป็นแบบนี้มาทุกนัด สิ่งที่เราได้เห็นคือแนวรับต้องอาสาทำเกมด้วยการเปิดยาวขนานเส้นหรือไม่ก็วัดดวงจน ดาร์วิน นูนเญซ ได้หลุดเดี่ยวประมาณนั้น
สิ่งที่เกิดขึ้นกับ ลิเวอร์พูล ตอนนี้ก็เหมือนที่เคยข่มชาวบ้านในแดนมิฟิลด์เมื่อ 2-3 ปีก่อน
หลุดจากกลาง บอลถึงหลังแบบพื้นที่เปิดโล่ง ดูได้เลยครับว่า ลีดส์ มีโอกาส 2 หนแรกยิงเข้า 1 ชนคานอีก 1 หลวมขนาดไหนลองคิดเอา
ปกติสิ่งที่เราเห็นจนชินตาคือเมื่อได้ประตูไม่ว่าจะนำหรือตีเสมอบลาบลา “หงส์แดง” จะบดขยี้ต่อตามเสียงเชียร์ของ เดอะ ค็อป ในแอนฟิลด์
แต่เกมนี้ไม่ใช่เลยครับ โม ซาลาห์ ตีเสมอในนาที 14 แต่เจ้าถิ่นไม่ได้บุกมาถึงหน้าเขตโทษอีกเลยจนถึงนาที 30
ลีดส์ ไม่ได้เสียขวัญใดๆ ซ้ำร้ายยังขึงเกมเข้าใส่และเป็น ลิเวอร์พูล ที่ต้องไปช่วยกันตั้งรับเหมือนทีมเล็กกลัวโดนทีมใหญ่ยิง
เราอาจจะเคลมได้ว่า อิลลาน เมสลิเยร์ นายทวาร ลีดส์ เซฟอุตลุดจนกลายเป็นสถิติต่อเกมของเจ้าตัวไปแล้ว (9 ครั้ง) แต่ปฏิเสธไม่ได้เช่นกันว่าเป็นการยิงที่ไม่คมและเป็นจังหวะที่ไม่ได้ขึ้นเกมมาอย่างเป็นระบบซักเท่าไหร่
อย่างที่เราเคยคุยกันเอาไว้ว่าซีซั่นนี้ “หงส์” พึ่งพาเกมในบ้านมากเกินไปดังนั้นเมื่อเสียแต้มใน แอนฟิลด์ เท่ากับว่าคุณกดตัวเองให้จมดินเข้าไปอีกเพราะลูกทีม JK เป็น 1 ใน 6 ทีมที่ยังไม่ชนะใครนอกบ้าน
ความสุ่มเสี่ยงที่จะเห็นภาพของ โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ รอยแตะจมูกอีกครั้งเพราะเกมหน้าต้องไปเยือน สเปอร์ส โดยที่ เลสเตอร์ ทีมอันดับ 18 (ที่ฟอร์มช่วงหลังทรงบอลเริ่มมา) อยู่ห่างออกไปแค่ 5 แต้มเท่านั้น
แม้ “คลับไก่” มีคิวชิงตั๋ว UCL นัดสุดท้ายก่อนเจอ ลิเวอร์พูล ซึ่งมองเผินๆคือความได้เปรียบเสียเปรียบในการโรเตชั่น
แต่ด้วยความเป็น ลิเวอร์พูล ต่อให้คู่แข่งพักน้อยแค่ไหนมักไม่ค่อยมีผลแต่กลับกันถ้าให้ “หงส์” พักน้อยบ้างอาการออกทันที
การเหลือโปรแกรมใน พรีเมียร์ลีก อีก 2 นัดก่อนเบรกให้ฟุตบอลโลกถือเป็นระฆังพักยกที่ เยอร์เก้น คล็อปป์ และลูกทีมหรือรวมถึงเดอะ ค็อป อยากได้ยินมากที่สุด ณ เวลานี้จริงๆครับ...
ไบรท์ตัน 4-1 เชลซี
น่าเสียดายในฐานะที่เป็นคนสร้าง ไบรท์ตัน มากับมือแต่ แกรห์ม พ็อตเตอร์ บอสใหญ่ เชลซี จัดตัวราวกับไม่รู้ศักยภาพของทีมเก่าตัวเอง
ความพ่ายแพ้แบบหมดรูป 4-1 จะไม่ทำให้แฟน “สิงห์” รู้สึกหงุดหงิดอะไรเลยหาก พ็อตเตอร์ ใช้ประโยชน์จากความเป็นคนคุ้นเคยโจมตีคู่แข่งแต่นี่เหมือนวางยาทีมใหม่ตัวเองซะงั้น
บิ๊กบอสวัย 47 ปีที่แก่กว่าผมแค่ 5 เดือนรับผิดชอบไปคนเดียวที่มอบ 3 แต้มให้ ไบรท์ตัน ตั้งแต่ครึ่งแรกด้วยการตามหลังแบบขายขี้หน้า 3-0
พ็อตเตอร์ ต้องรู้สิครับเพราะเคยมีบทเรียนแล้วว่าการเลือกใช้งาน มาร์ก คูคูเรญ่า ในตำแหน่งหลัง 3 ฝั่งซ้ายมันไม่เวิร์คเพราะแข้งสแปนิชเคยแสดงให้เห็นแล้วว่ารั่วผ่านตลอด
ที่ทำให้ “นกนางนวล” ลูบปากยิกๆคือวิงแบ็ค 2 ข้างของ “สิงห์บลู” ไม่มีใครเป็นแบ็คธรรมชาติเลยทั้ง ราฮีม สเตอร์ลิ่ง และ คริสเตียน พูลิซิซ
ที่ชัดเจนมากๆว่าแท็คติกส์นี้ “พัง” มากกว่า “ปัง” คือลูก 3-0 พูลิซิซ ยืนคุมแบ็คแต่ไม่ได้มอง แพร์วิส เอสตูปิญาน แบ็คซ้ายที่แล่บมาด้านหลัง
แถมตัวแทงบอลคือ มอยเซส ไซเซโด้ ไม่มีนักเตะทีมเยือนเข้ามารบกวน จังหวะการจ่ายและการวิ่งพอดีเป๊ะไม่ล้ำหน้า
แนวรับ “สิงห์บลู” ออกอาการ “เมามัด” ตั้งแต่ต้นเกมแล้วครับ แค่ 3 นาที 14 วินาที ธิอาโก้ ต้องเคลียร์บอลบนเส้นถึง 2 ครั้งมันไม่ปกติแล้ว
นักเตะถูกวางตำแหน่งผิดเพี้ยนและแดนกลางไม่มีมิดฟิลด์ตัวรับ บวกกับความห้าวของฝั่ง ไบรท์ตัน ที่ตั้งใจมารับน้อง พ็อตเตอร์ เจ้านายเก่าและ คูคู ทีถูกโห่ตลอดทั้งเกมทำให้ช่วงต้นเกมไม่ต่างจากพายุบุแคมที่มาไม่ให้ซุ่มให้เสียงใดๆ
ธิอาโก้ ซิลวา เป็นคนที่เด่นมากในช่วง 4-5 นาทีแรกเพราะแกเกือบทำให้ทีมโดนตั้งแต่นาทีที่ 3 จนกระทั่งมาจ่ายติด ทรอสซาร์ด ก่อนโดนตั้งแต่นาทีที่ 5
ผมเห็นแฟน “สิงห์บลู” เหนื่อยหน่ายที่หนีจาก โธมัส ทูเคิ่ล กับระบบหลัง 3 ที่ใช้ปีกไปยืนวิงแบ็คแต่สุดท้ายเจอ พ็อตเตอร์ เข้าไปเต็มๆ
มาลองของผิดที่ผิดเวลากับ ไบรท์ตัน ที่ชนะ แมนฯยูฯ และโชคร้ายที่ต้องมาลงเอยด้วยการไล่ตีเสมอ ลิเวอร์พูล
หวังว่า พ็อตเตอร์ จะตื่นรู้ซักทีว่าอยู่ เชลซี มีทรัพยากรให้เลือกเยอะจงใช้ให้เต็มประสิทธิภาพ อย่าไปคิดเยอะครับ...
สถิติ สถิติ สถิติ
เป็นครั้งแรกกับ ลิเวอร์พูล ที่ เวอร์กิล ฟาน ไดคจ์ แพ้เกม พรีเมียร์ลีก ใน แอนฟิลด์ หลังรักษาสถิติมาอย่างยาวนาน 70 เกม (ชนะ 59 เสมอ 11)
“หงส์แดง” แพ้คาบ้านใน พรีเมียร์ลีก เป็นหนแรกนับตั้งแต่มีนาคม 2021 ยุติไร้พ่ายที่ แอนฟิลด์ 29 นัด (ชนะ 22 เสมอ 7)
มีเพียง เซาธ์แฮมป์ตัน (9) เท่านั้นที่เสียประตูแรกในบ้านมากกว่า ลิเวอร์พูล (8) ในซีซั่นนี้
ประตูชัยนาที 89 ของ คริเซนซิโอ ซัมเมอร์วิลล์ เป็นประตูท้ายเกมมากที่สุดที่ แอนฟิลด์ นับตั้งแต่ โรบิน ฟาน เพอร์ซี่ ยิงในนาที 90 ให้ อาร์เซนอล เมื่อปี 2012
ไม่มีนายทวารคนไหนเซฟต่อเกมใน พรีเมียร์ลีก ซีซั่นนี้เท่า อิลลาน เมสลิเยร์ ที่ทำไว้ 9 ครั้งและยังเป็นสถิติสูงสุดเท่าที่จอมหนึบชาว ฝรั่งเศส ทำไว้ต่อเกมของตัวเองอีกด้วย
ไบรท์ตัน ยิง 3 ประตูในครึ่งแรกใน พรีเมียร์ลีก เป็นครั้งที่ 3 โดย 2 หนเกิดขึ้นจาก 120 เกมในยุคของ แกรห์ม พ็อตเตอร์
เลอันโดร ทรอสซาร์ด ยิงไปแล้ว 5 ประตูภายใต้การคุมทีมของ โรแบร์โต้ เด แซร์บี้
นี่เป็นชัยชนะในลีกหนแรกของ “นกนางนวล” เหนือ เชลซี หลังพยายามมา 15 ครั้ง (เสมอ 4 แพ้ 10) และยังเป็นครั้งแรกที่พวกเขายิงเกิน 1 ลูกใน 1 เกมยามพบกับ “สิงห์” อีกด้วย
เชลซี ทำเข้าประตูตัวเอง 2 ลูกในเกมเดียวเป็นครั้งแรกและเป็นทีมแรกที่ทำ og. 2 ประตูใน 45 นาทีนับตั้งแต่ เอฟเวอร์ตัน ทำไว้ในเกมพบ เซาธ์แฮมป์ตัน เมื่อปี 2014
http://www.soccersuck.com/boards/topic/2216416
“หงส์” ผู้ป่วยที่ญาติทำใจแล้ว “สิงห์” นึกว่า ทูเคิ่ล ยังอยู่
เมื่อกลางเดือนผมได้ดูคลิป “แม่เอ๋” เมียน้าค่อมกับ “ไอซ์” ลูกสาวให้สัมภาษณ์ว่าทั้งคู่ move on กับการสูญเสียของ “น้าค่อม” ยังไม่ได้แม้จากไปเกือบ 2 ปีแล้ว
เหตุเพราะน้าค่อมแกเกิดขึ้นปุ๊บปั๊บจาก 1 กระโดดไป 5 พุ่งไป 10 ไม่เหมือนมะเร็งหรือโรคร้ายที่มีระยะ 1-2-3-4 ที่ยังพอเหลือเวลาให้ทำใจและใช้เวลาอยู่ด้วยกัน
ดังนั้นสิ่งที่เกิดขึ้นกับ ลิเวอร์พูล ณ ปัจจุบันผมมองว่าเป็นมะเร็งที่ตรวจพบมาหลายเดือนแล้ว
ทั้งคุณทั้งผมยอมรับอาการป่วยของ “หงส์” ที่ลดระดับทีมลงมาเหลือเป็นการรักษาตามสภาพไปทีละสเต็ป
ครับ ผมจึงไม่รู้สึกว่าความพ่ายแพ้คาบ้านต่อ ลีดส์ ยูไนเต็ด เป็นอะไรที่เกิดขึ้นปุ๊บปั๊บจนต้องมาร้องไห้ฟูมฟาย
มีกี่ทีมกันครับที่จะบุกมา แอนฟิลด์ และทำให้นักเตะสู้ไม่ขึ้น เสียงเชียร์ที่ดังกระปริดกระปรอยเพราะแต่ละคนอยู่ในภาวะอึ้งไม่คิดว่าจะเห็นทีมรักหมดสภาพได้ขนาดนี้
“ยูงทอง” เหนือกว่าชัดเจนทั้งการควบคุมเกมแดนกลาง, การวิ่งไล่เพรสเอาบอลกลับมา, การขึ้นเกมที่เป็นระบบและนักเตะใช้ความสามารถฉีกแนวรับได้เป็น
น้ำเป็นเนื้อกว่าอย่างไม่ต้องสงสัย
ตัวเลขไม่ชนะใครมา 8 นัดและหล่นไปอยู่รองบ๊วยสะท้อนว่า ลีดส์ เป็นพวกหมูในอวยชัดๆ
แต่ถ้าใครได้ตามดูเด็กๆของ เจสซี่ มาร์ช เล่นมาตลอดจะเห็นได้ว่ามีแค่ 2 จาก 8 เกมเท่านั้นที่คู่แข่งมีโอกาสยิงประตูมากกว่า
ที่เหลือเป็น “ยูงทอง” ที่สร้างสรรค์มากมายอย่างบ้างคลั่งแต่ปัญหาสอบตกในเรื่องการจบสกอร์ทำให้ต้องรอคอยชัยชนะจนมาถึงนัดที่ 9
โดยเฉพาะเกมที่เจอกับ อาร์เซนอล เป็นรูปเกม “ยูงทอง” เหนือกว่าพับรัวๆและส่องไป 16 ครั้งแต่เข้ากรอบแค่ 4 ในขณะที่ “ปืนใหญ่” มีโอกาส 9 และเข้ากรอบแค่ 4 เท่ากันแต่คมกว่าก่อนเฉือนชนะ 1-0
แม้ผลงานดิ่งลงจนกลายเป็นตัวเต็งโดนปลดแต่นักเตะในทีมยังเชื่อมั่นในแนวทางของ มาร์ช ที่จุดเด่นอยู่ที่ความ “ดุดัน” ในแดนกลางที่วันนี้ข่ม ลิเวอร์พูล มิดด้าม
พูดได้เต็มปากเต็มคำว่า ลีดส์ เพรสเมื่อไหร่ได้บอลกลับมาเมื่อนั้น ยิ่งบีบให้ “หงส์แดง” ตกใจรีบคายบอลเร็ว
ชั่วโมงบินที่เคยเจอเหตุการณ์เดิมๆของ โจ โกเมซ ไม่ช่วยอะไรกับการจ่ายคืนหลังโดยไม่มอง ไม่ใช่ครั้งแรกแต่ครั้งก่อนๆมันไม่เป็นประตูและสุดท้ายมันก็ต้องเกิดขึ้นซักวัน
กลางไม่มีใครทำอะไรกับบอลได้เลยยกเว้น ธิอาโก้ ซึ่งมันก็เป็นแบบนี้มาทุกนัด สิ่งที่เราได้เห็นคือแนวรับต้องอาสาทำเกมด้วยการเปิดยาวขนานเส้นหรือไม่ก็วัดดวงจน ดาร์วิน นูนเญซ ได้หลุดเดี่ยวประมาณนั้น
สิ่งที่เกิดขึ้นกับ ลิเวอร์พูล ตอนนี้ก็เหมือนที่เคยข่มชาวบ้านในแดนมิฟิลด์เมื่อ 2-3 ปีก่อน
หลุดจากกลาง บอลถึงหลังแบบพื้นที่เปิดโล่ง ดูได้เลยครับว่า ลีดส์ มีโอกาส 2 หนแรกยิงเข้า 1 ชนคานอีก 1 หลวมขนาดไหนลองคิดเอา
ปกติสิ่งที่เราเห็นจนชินตาคือเมื่อได้ประตูไม่ว่าจะนำหรือตีเสมอบลาบลา “หงส์แดง” จะบดขยี้ต่อตามเสียงเชียร์ของ เดอะ ค็อป ในแอนฟิลด์
แต่เกมนี้ไม่ใช่เลยครับ โม ซาลาห์ ตีเสมอในนาที 14 แต่เจ้าถิ่นไม่ได้บุกมาถึงหน้าเขตโทษอีกเลยจนถึงนาที 30
ลีดส์ ไม่ได้เสียขวัญใดๆ ซ้ำร้ายยังขึงเกมเข้าใส่และเป็น ลิเวอร์พูล ที่ต้องไปช่วยกันตั้งรับเหมือนทีมเล็กกลัวโดนทีมใหญ่ยิง
เราอาจจะเคลมได้ว่า อิลลาน เมสลิเยร์ นายทวาร ลีดส์ เซฟอุตลุดจนกลายเป็นสถิติต่อเกมของเจ้าตัวไปแล้ว (9 ครั้ง) แต่ปฏิเสธไม่ได้เช่นกันว่าเป็นการยิงที่ไม่คมและเป็นจังหวะที่ไม่ได้ขึ้นเกมมาอย่างเป็นระบบซักเท่าไหร่
อย่างที่เราเคยคุยกันเอาไว้ว่าซีซั่นนี้ “หงส์” พึ่งพาเกมในบ้านมากเกินไปดังนั้นเมื่อเสียแต้มใน แอนฟิลด์ เท่ากับว่าคุณกดตัวเองให้จมดินเข้าไปอีกเพราะลูกทีม JK เป็น 1 ใน 6 ทีมที่ยังไม่ชนะใครนอกบ้าน
ความสุ่มเสี่ยงที่จะเห็นภาพของ โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ รอยแตะจมูกอีกครั้งเพราะเกมหน้าต้องไปเยือน สเปอร์ส โดยที่ เลสเตอร์ ทีมอันดับ 18 (ที่ฟอร์มช่วงหลังทรงบอลเริ่มมา) อยู่ห่างออกไปแค่ 5 แต้มเท่านั้น
แม้ “คลับไก่” มีคิวชิงตั๋ว UCL นัดสุดท้ายก่อนเจอ ลิเวอร์พูล ซึ่งมองเผินๆคือความได้เปรียบเสียเปรียบในการโรเตชั่น
แต่ด้วยความเป็น ลิเวอร์พูล ต่อให้คู่แข่งพักน้อยแค่ไหนมักไม่ค่อยมีผลแต่กลับกันถ้าให้ “หงส์” พักน้อยบ้างอาการออกทันที
การเหลือโปรแกรมใน พรีเมียร์ลีก อีก 2 นัดก่อนเบรกให้ฟุตบอลโลกถือเป็นระฆังพักยกที่ เยอร์เก้น คล็อปป์ และลูกทีมหรือรวมถึงเดอะ ค็อป อยากได้ยินมากที่สุด ณ เวลานี้จริงๆครับ...
ไบรท์ตัน 4-1 เชลซี
น่าเสียดายในฐานะที่เป็นคนสร้าง ไบรท์ตัน มากับมือแต่ แกรห์ม พ็อตเตอร์ บอสใหญ่ เชลซี จัดตัวราวกับไม่รู้ศักยภาพของทีมเก่าตัวเอง
ความพ่ายแพ้แบบหมดรูป 4-1 จะไม่ทำให้แฟน “สิงห์” รู้สึกหงุดหงิดอะไรเลยหาก พ็อตเตอร์ ใช้ประโยชน์จากความเป็นคนคุ้นเคยโจมตีคู่แข่งแต่นี่เหมือนวางยาทีมใหม่ตัวเองซะงั้น
บิ๊กบอสวัย 47 ปีที่แก่กว่าผมแค่ 5 เดือนรับผิดชอบไปคนเดียวที่มอบ 3 แต้มให้ ไบรท์ตัน ตั้งแต่ครึ่งแรกด้วยการตามหลังแบบขายขี้หน้า 3-0
พ็อตเตอร์ ต้องรู้สิครับเพราะเคยมีบทเรียนแล้วว่าการเลือกใช้งาน มาร์ก คูคูเรญ่า ในตำแหน่งหลัง 3 ฝั่งซ้ายมันไม่เวิร์คเพราะแข้งสแปนิชเคยแสดงให้เห็นแล้วว่ารั่วผ่านตลอด
ที่ทำให้ “นกนางนวล” ลูบปากยิกๆคือวิงแบ็ค 2 ข้างของ “สิงห์บลู” ไม่มีใครเป็นแบ็คธรรมชาติเลยทั้ง ราฮีม สเตอร์ลิ่ง และ คริสเตียน พูลิซิซ
ที่ชัดเจนมากๆว่าแท็คติกส์นี้ “พัง” มากกว่า “ปัง” คือลูก 3-0 พูลิซิซ ยืนคุมแบ็คแต่ไม่ได้มอง แพร์วิส เอสตูปิญาน แบ็คซ้ายที่แล่บมาด้านหลัง
แถมตัวแทงบอลคือ มอยเซส ไซเซโด้ ไม่มีนักเตะทีมเยือนเข้ามารบกวน จังหวะการจ่ายและการวิ่งพอดีเป๊ะไม่ล้ำหน้า
แนวรับ “สิงห์บลู” ออกอาการ “เมามัด” ตั้งแต่ต้นเกมแล้วครับ แค่ 3 นาที 14 วินาที ธิอาโก้ ต้องเคลียร์บอลบนเส้นถึง 2 ครั้งมันไม่ปกติแล้ว
นักเตะถูกวางตำแหน่งผิดเพี้ยนและแดนกลางไม่มีมิดฟิลด์ตัวรับ บวกกับความห้าวของฝั่ง ไบรท์ตัน ที่ตั้งใจมารับน้อง พ็อตเตอร์ เจ้านายเก่าและ คูคู ทีถูกโห่ตลอดทั้งเกมทำให้ช่วงต้นเกมไม่ต่างจากพายุบุแคมที่มาไม่ให้ซุ่มให้เสียงใดๆ
ธิอาโก้ ซิลวา เป็นคนที่เด่นมากในช่วง 4-5 นาทีแรกเพราะแกเกือบทำให้ทีมโดนตั้งแต่นาทีที่ 3 จนกระทั่งมาจ่ายติด ทรอสซาร์ด ก่อนโดนตั้งแต่นาทีที่ 5
ผมเห็นแฟน “สิงห์บลู” เหนื่อยหน่ายที่หนีจาก โธมัส ทูเคิ่ล กับระบบหลัง 3 ที่ใช้ปีกไปยืนวิงแบ็คแต่สุดท้ายเจอ พ็อตเตอร์ เข้าไปเต็มๆ
มาลองของผิดที่ผิดเวลากับ ไบรท์ตัน ที่ชนะ แมนฯยูฯ และโชคร้ายที่ต้องมาลงเอยด้วยการไล่ตีเสมอ ลิเวอร์พูล
หวังว่า พ็อตเตอร์ จะตื่นรู้ซักทีว่าอยู่ เชลซี มีทรัพยากรให้เลือกเยอะจงใช้ให้เต็มประสิทธิภาพ อย่าไปคิดเยอะครับ...
สถิติ สถิติ สถิติ
เป็นครั้งแรกกับ ลิเวอร์พูล ที่ เวอร์กิล ฟาน ไดคจ์ แพ้เกม พรีเมียร์ลีก ใน แอนฟิลด์ หลังรักษาสถิติมาอย่างยาวนาน 70 เกม (ชนะ 59 เสมอ 11)
“หงส์แดง” แพ้คาบ้านใน พรีเมียร์ลีก เป็นหนแรกนับตั้งแต่มีนาคม 2021 ยุติไร้พ่ายที่ แอนฟิลด์ 29 นัด (ชนะ 22 เสมอ 7)
มีเพียง เซาธ์แฮมป์ตัน (9) เท่านั้นที่เสียประตูแรกในบ้านมากกว่า ลิเวอร์พูล (8) ในซีซั่นนี้
ประตูชัยนาที 89 ของ คริเซนซิโอ ซัมเมอร์วิลล์ เป็นประตูท้ายเกมมากที่สุดที่ แอนฟิลด์ นับตั้งแต่ โรบิน ฟาน เพอร์ซี่ ยิงในนาที 90 ให้ อาร์เซนอล เมื่อปี 2012
ไม่มีนายทวารคนไหนเซฟต่อเกมใน พรีเมียร์ลีก ซีซั่นนี้เท่า อิลลาน เมสลิเยร์ ที่ทำไว้ 9 ครั้งและยังเป็นสถิติสูงสุดเท่าที่จอมหนึบชาว ฝรั่งเศส ทำไว้ต่อเกมของตัวเองอีกด้วย
ไบรท์ตัน ยิง 3 ประตูในครึ่งแรกใน พรีเมียร์ลีก เป็นครั้งที่ 3 โดย 2 หนเกิดขึ้นจาก 120 เกมในยุคของ แกรห์ม พ็อตเตอร์
เลอันโดร ทรอสซาร์ด ยิงไปแล้ว 5 ประตูภายใต้การคุมทีมของ โรแบร์โต้ เด แซร์บี้
นี่เป็นชัยชนะในลีกหนแรกของ “นกนางนวล” เหนือ เชลซี หลังพยายามมา 15 ครั้ง (เสมอ 4 แพ้ 10) และยังเป็นครั้งแรกที่พวกเขายิงเกิน 1 ลูกใน 1 เกมยามพบกับ “สิงห์” อีกด้วย
เชลซี ทำเข้าประตูตัวเอง 2 ลูกในเกมเดียวเป็นครั้งแรกและเป็นทีมแรกที่ทำ og. 2 ประตูใน 45 นาทีนับตั้งแต่ เอฟเวอร์ตัน ทำไว้ในเกมพบ เซาธ์แฮมป์ตัน เมื่อปี 2014
http://www.soccersuck.com/boards/topic/2216416