คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 1
“เอ่อ ฉันก็แค่ผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่ง” อ้อมแอ้มตอบไป “ฉันไม่ใช่ลูกเศรษฐีหรือเป็นคนสำคัญอะไร ถ้านายคิดจะเรียกค่าไถ่ นายน่าจะจำคนผิดแล้วล่ะ”
เป็นจังหวะที่นาดีร์นำไข่เจียวหอมกรุ่นมาวางตรงหน้า
“ทานซะก่อนแล้วค่อยคุย” ชายหนุ่มพยักหน้าเชิญชวน
ความหอมของไข่เจียวร้อนๆ บวกกับความหิวทำให้เนตริยาตักอาหารเข้าปากอย่างว่าง่าย บอกตัวเองว่าหล่อนจะต้องกินให้อิ่ม เพื่อให้มีแรงไว้หนีหรือต่อสู้ป้องกันตัว หากเขาคิดจะรังแกหล่อน
ปกป้องมองอาการก้มหน้าก้มตารับประทานนั้นแล้วอมยิ้ม พลางคิดว่าให้หล่อนเข้าใจว่าถูกจับมาเรียกค่าไถ่นั้นดีแล้ว เขาไม่อยากบอกความจริงว่า สิ่งที่เขาตั้งใจทำครั้งนี้คืออะไร
พอทั้งคู่เสร็จจากรับประทานอาหาร และนาดีร์เก็บจานชามออกไปแล้ว
“ผมว่าเราต้องมาทำความตกลงในการอยู่ร่วมกันที่นี่ก่อนนะครับ ผู้กองเนตริยา”
หญิงสาวเบิกตากว้างอย่างตกใจเมื่อได้ยินเขาเรียกหล่อนเช่นนั้น นี่หมายความว่า เขารู้จักหล่อนจริงๆ ไม่ใช่เรื่องผิดตัวแต่อย่างใด
“เอ่อ ย...อยู่ร่วมกัน ? ” หล่อนทวนคำ อึกอักไม่แน่ใจกับคำพูดนั้น อยู่ร่วมกันแบบไหน
“ผมจะไม่ขังคุณหรือล่ามโซ่แต่อย่างใด คุณมีอิสระที่จะอยู่ในบ้านนี้ได้และออกไปเดินรอบบริเวณได้ แต่ต้องไม่เกินแนวกอไผ่ตรงนั้น” เขาอธิบายแล้วหยิบไฟฉายใกล้ตัวออกมาส่องให้หญิงสาวมองจากระเบียงลงไปเห็นแนวกอไผ่ที่ปลูกเป็นแถวยาวราวกับรั้วกั้นบริเวณบ้านจากป่าด้านนอก ซึ่งกะคร่าวๆ แล้วไม่เกิน 200 เมตร
“ที่ห้าม เพราะในป่านี้มันมีอันตรายทั้งสิงห์สาราสัตว์และคน ผมไม่ใด้กลัวคุณหนีหรอกนะ เพราะเมื่อก่อนหน้านี้คุณก็เห็นแล้วว่าคุณไปไหนไม่รอดจริงๆ ”
เนตริยาถอนหายใจ บอกตัวเองว่าเขาพยายามขู่ให้หล่อนกลัว อย่างไรเสียหล่อนไม่มีทางถอดใจเรื่องหนีแน่นอน
“ที่นี่ไม่มีไฟฟ้าเดินสายเข้ามา ไฟที่เห็นเปิดอยู่นี้มาจากเครื่องปั่นไฟเท่านั้น ซึ่งเราจะปิดตอนสี่ทุ่ม จากนั้นมีเพียงไฟฉายและเทียนไข
ผมเตรียมไว้ให้ในห้องคุณแล้ว แต่ทางที่ดี คุณรีบเข้านอนซะ แล้วไม่ต้องออกมาอีกจนถึงเช้า เพื่อความปลอดภัยของตัวคุณเอง”
ปกป้องแกล้งทำตาเจ้าชู้แล้วบอกว่า
“นอกจากคุณจะเหงา นอนคนเดียวไม่ได้ ก็บอกมา”
“เอ๊ะ ! ” เนตริยามองค้อนด้วยสายตาไม่พอใจกับวาจาลดเลี้ยวนั้น แม้ไม่อยากพูดด้วยกับผู้ชายคนนี้ แต่หล่อนห่วงกังวลถึงที่บ้านเหลือเกิน
“นายแจ้งไปยังครอบครัวฉันหรือยัง ฉันกลัวคุณพ่อคุณแม่เป็นห่วง” พูดมาถึงตรงนี้แล้วอดใจหายไม่ได้ว่าป่านนี้ผู้บังเกิดเกล้าจะเป็นอย่างไร บิดาคงกลุ้มใจแทบคลั่ง ส่วนมารดาคงร้องไห้ไม่หยุด ลูกสาวคนเดียวอย่างหล่อน เป็นทุกสิ่งทุกอย่างสำหรับท่านทั้งสอง เนตริยารู้สึกคล้ายคัดจมูกขึ้นมา
“ท่านรู้แล้ว” ปกป้องตอบสั้นๆ มองอาการคล้ายจะมีน้ำหูน้ำตาของหญิงสาว ซึ่งหล่อนพยายามกล้ำกลืน ไม่แสดงความอ่อนแอออกมาให้เห็น “อย่างที่ผมบอก ตราบใดที่คุณทำตามที่ผมบอกแล้วคุณจะปลอดภัย อย่าตุกติกหรือคิดหนี”
“แล้วฉันจะมั่นใจได้อย่างไรว่าอยู่ที่นี่ฉันจะปลอดภัย”
“คิดง่ายๆ ถ้าสินค้าอย่างคุณบุบสลาย ผมคงได้เงินไม่เต็มจำนวนที่เรียกไป”
“แล้วฉันจะต้องอยู่ที่นี่อีกกี่วัน” ถามออกไปด้วยความรู้สึกท้อแท้ที่พลุ่งขึ้นมาในใจ
“ขึ้นอยู่กับทางฝ่ายคุณ”
“แล้วถ้าเกิด...ถ้าคุณพ่อของฉันไม่ได้มีเงินมากอย่างที่นายคิดล่ะ”
“ถึงท่านเจ้ากรมฯ ไม่ได้มีเงินมาก แต่อย่างน้อยท่านก็มีอำนาจระดับหนึ่ง จริงไหม? ”
เนตริยาผุดลุกขึ้นทันที เขารู้เกี่ยวกับเธอและครอบครัวเธอแบบนี้ แสดงว่าเขาวางแผนการนี้มาอย่างดี ไม่ใช่โจรกระจอกๆ แน่นอน
“นายเป็นใครกันแน่” พร้อมทั้งสายตาจับจ้องผู้ชายตรงหน้าอย่างพยายามคาดคะเน การที่คุณพ่อของเธอมียศมีตำแหน่ง แถมตัวเธอเองก็เป็นหนึ่งในคณะกรรมการวางแผนยุทธศาสตร์ของภาคใต้อีกด้วยเช่นนี้ ช่างน่าสงสัยเหลือเกินว่าเขามีวัตถุประสงค์อื่นใดแอบแฝง
จะใช่การจับตัวเรียกค่าไถ่ธรรมดาล่ะหรือ
รึว่า เขาจะเกี่ยวโยงกับผู้ก่อการร้ายใน 3 จังหวัดชายแดนใต้ !? เนตริยาหนาวเยือกไปกับความคิดนี้
“คุณไม่ต้องรู้หรอกว่าผมเป็นใคร เมื่อไหร่ที่ผมตกลงเรื่องค่าไถ่กับคุณพ่อคุณสำเร็จ วันนั้นคุณจะได้กลับบ้าน”
ไม่มีความกระจ่างใดๆ รอบตัวเนตริยาดูคล้ายมืดมนไปหมด
ดึกสงัด ความเงียบและอากาศรอบตัวที่เย็นสบายน่าจะเอื้อให้หญิงสาวหลับสนิท แต่เปล่าเลย หล่อนผุดลุกผุดนั่งอยู่บนเตียงหลายรอบ บางครั้งก็ลุกขึ้นมาเช็กกลอนประตูว่ายังสนิทแน่นเหมือนเดิมหรือไม่ด้วยความหวาดระแวง
ในสมองที่ยังไม่ยอมหลับนั้นฟุ้งซ่านไปด้วยการคิดหาวิธีหนี บอกตัวเองว่าจะไม่ยอมรอจนถึงวันที่หล่อนจะถูกยื่นหมูยื่นแมวกับเงินค่าไถ่นั่นหรอก เพราะเหตุการณ์แบบนี้ ตัวประกันมักจะตายเพราะเกิดการผิดพลาดบางอย่าง หรือไม่ก็ถูกฆ่าตายไปเสียก่อนเพื่อปิดปาก เพราะหล่อนจำหน้าเขาได้
นายโจรคนนี้จะปล่อยหล่อนง่ายๆ งั้นหรือ ไม่มีทาง
แล้วถ้าหล่อนจะหนี จะด้วยวิธีใด เวลากลางคืนมันอาจจะเสี่ยงเกินไป อย่างที่เขาบอกว่าในป่าเช่นนี้มีอันตรายจากสัตว์ร้าย
แต่ถ้าหล่อนมีปืน ถ้าได้ปืนสักกระบอกก็น่าจะเอาตัวรอดได้ แล้วถ้าไม่หนีตอนกลางคืน จะหนีกลางวัน เขาก็ต้องตามหล่อนเจออยู่ดี
แล้วเนตริยาก็ได้คำตอบ หล่อนควรจะหนีตอนใกล้รุ่งจะดีที่สุด เพราะหากหลุดไปพ้นจากบ้านหลังนี้ ออกไปข้างนอกได้ ก็จะค่อยๆ สว่างขึ้นๆ แต่จะคืนนี้หรือ ถามตัวเองแล้วตอบเองว่า ไม่ได้ หล่อนยังไม่รู้ทางหนีทีไล่ดีนัก แผนอาจจะล่ม หล่อนต้องมีเวลาสำรวจและประมวลข้อมูลก่อนตัดสินใจ หล่อนจะต้องสำรวจที่นี่อย่างละเอียด มองหาทางหนีให้ดีก่อนจะตัดสินใจ
และอย่างน้อยหล่อนน่าจะทดสอบว่าเขาเตรียมป้องกันหล่อนหนีตอนกลางคืนอย่างไร
หญิงสาวคิดดังนั้นแล้ว ค่อยๆ ลุกขึ้นไปที่ประตู จัดแจงถอดกลอนประตูอย่างเบามือที่สุด แล้วค่อยๆ แง้มประตูออกมา แม้ข้างนอกจะมืดสนิทแต่หญิงสาวพยายามปรับสายตาให้ชินกับความมืด สักพักก็เริ่มมองเห็นได้รางๆ
เนตริยาค่อยๆ จรดปลายเท้าเดินคลำทางโดยระมือไปตามผนังห้อง หล่อนจะเดินไปทางด้านหลังที่จะมีบันไดลงไปข้างล่าง
“อุ๊ย ! ” หล่อนสะดุดเข้ากับอะไรบางอย่าง คล้ายขอบไม้ จึงค่อยๆ เดินเลี่ยงไป แต่
“ว้าย ! ” เนตริยารู้สึกคล้ายร่างถูกคว้าจนล้มลงบนบางอย่างนุ่มๆ แขนแข็งแรงของใครคนหนึ่งรัดรึงอยู่รอบตัวทำให้
หญิงสาวออกแรงดิ้นสุดชีวิต
“กรี๊ด ! ปล่อยนะ”
“บอกแล้วใช่ไหมว่าไม่ให้ออกมา รึว่าเหงา”
เป็นจังหวะที่นาดีร์นำไข่เจียวหอมกรุ่นมาวางตรงหน้า
“ทานซะก่อนแล้วค่อยคุย” ชายหนุ่มพยักหน้าเชิญชวน
ความหอมของไข่เจียวร้อนๆ บวกกับความหิวทำให้เนตริยาตักอาหารเข้าปากอย่างว่าง่าย บอกตัวเองว่าหล่อนจะต้องกินให้อิ่ม เพื่อให้มีแรงไว้หนีหรือต่อสู้ป้องกันตัว หากเขาคิดจะรังแกหล่อน
ปกป้องมองอาการก้มหน้าก้มตารับประทานนั้นแล้วอมยิ้ม พลางคิดว่าให้หล่อนเข้าใจว่าถูกจับมาเรียกค่าไถ่นั้นดีแล้ว เขาไม่อยากบอกความจริงว่า สิ่งที่เขาตั้งใจทำครั้งนี้คืออะไร
พอทั้งคู่เสร็จจากรับประทานอาหาร และนาดีร์เก็บจานชามออกไปแล้ว
“ผมว่าเราต้องมาทำความตกลงในการอยู่ร่วมกันที่นี่ก่อนนะครับ ผู้กองเนตริยา”
หญิงสาวเบิกตากว้างอย่างตกใจเมื่อได้ยินเขาเรียกหล่อนเช่นนั้น นี่หมายความว่า เขารู้จักหล่อนจริงๆ ไม่ใช่เรื่องผิดตัวแต่อย่างใด
“เอ่อ ย...อยู่ร่วมกัน ? ” หล่อนทวนคำ อึกอักไม่แน่ใจกับคำพูดนั้น อยู่ร่วมกันแบบไหน
“ผมจะไม่ขังคุณหรือล่ามโซ่แต่อย่างใด คุณมีอิสระที่จะอยู่ในบ้านนี้ได้และออกไปเดินรอบบริเวณได้ แต่ต้องไม่เกินแนวกอไผ่ตรงนั้น” เขาอธิบายแล้วหยิบไฟฉายใกล้ตัวออกมาส่องให้หญิงสาวมองจากระเบียงลงไปเห็นแนวกอไผ่ที่ปลูกเป็นแถวยาวราวกับรั้วกั้นบริเวณบ้านจากป่าด้านนอก ซึ่งกะคร่าวๆ แล้วไม่เกิน 200 เมตร
“ที่ห้าม เพราะในป่านี้มันมีอันตรายทั้งสิงห์สาราสัตว์และคน ผมไม่ใด้กลัวคุณหนีหรอกนะ เพราะเมื่อก่อนหน้านี้คุณก็เห็นแล้วว่าคุณไปไหนไม่รอดจริงๆ ”
เนตริยาถอนหายใจ บอกตัวเองว่าเขาพยายามขู่ให้หล่อนกลัว อย่างไรเสียหล่อนไม่มีทางถอดใจเรื่องหนีแน่นอน
“ที่นี่ไม่มีไฟฟ้าเดินสายเข้ามา ไฟที่เห็นเปิดอยู่นี้มาจากเครื่องปั่นไฟเท่านั้น ซึ่งเราจะปิดตอนสี่ทุ่ม จากนั้นมีเพียงไฟฉายและเทียนไข
ผมเตรียมไว้ให้ในห้องคุณแล้ว แต่ทางที่ดี คุณรีบเข้านอนซะ แล้วไม่ต้องออกมาอีกจนถึงเช้า เพื่อความปลอดภัยของตัวคุณเอง”
ปกป้องแกล้งทำตาเจ้าชู้แล้วบอกว่า
“นอกจากคุณจะเหงา นอนคนเดียวไม่ได้ ก็บอกมา”
“เอ๊ะ ! ” เนตริยามองค้อนด้วยสายตาไม่พอใจกับวาจาลดเลี้ยวนั้น แม้ไม่อยากพูดด้วยกับผู้ชายคนนี้ แต่หล่อนห่วงกังวลถึงที่บ้านเหลือเกิน
“นายแจ้งไปยังครอบครัวฉันหรือยัง ฉันกลัวคุณพ่อคุณแม่เป็นห่วง” พูดมาถึงตรงนี้แล้วอดใจหายไม่ได้ว่าป่านนี้ผู้บังเกิดเกล้าจะเป็นอย่างไร บิดาคงกลุ้มใจแทบคลั่ง ส่วนมารดาคงร้องไห้ไม่หยุด ลูกสาวคนเดียวอย่างหล่อน เป็นทุกสิ่งทุกอย่างสำหรับท่านทั้งสอง เนตริยารู้สึกคล้ายคัดจมูกขึ้นมา
“ท่านรู้แล้ว” ปกป้องตอบสั้นๆ มองอาการคล้ายจะมีน้ำหูน้ำตาของหญิงสาว ซึ่งหล่อนพยายามกล้ำกลืน ไม่แสดงความอ่อนแอออกมาให้เห็น “อย่างที่ผมบอก ตราบใดที่คุณทำตามที่ผมบอกแล้วคุณจะปลอดภัย อย่าตุกติกหรือคิดหนี”
“แล้วฉันจะมั่นใจได้อย่างไรว่าอยู่ที่นี่ฉันจะปลอดภัย”
“คิดง่ายๆ ถ้าสินค้าอย่างคุณบุบสลาย ผมคงได้เงินไม่เต็มจำนวนที่เรียกไป”
“แล้วฉันจะต้องอยู่ที่นี่อีกกี่วัน” ถามออกไปด้วยความรู้สึกท้อแท้ที่พลุ่งขึ้นมาในใจ
“ขึ้นอยู่กับทางฝ่ายคุณ”
“แล้วถ้าเกิด...ถ้าคุณพ่อของฉันไม่ได้มีเงินมากอย่างที่นายคิดล่ะ”
“ถึงท่านเจ้ากรมฯ ไม่ได้มีเงินมาก แต่อย่างน้อยท่านก็มีอำนาจระดับหนึ่ง จริงไหม? ”
เนตริยาผุดลุกขึ้นทันที เขารู้เกี่ยวกับเธอและครอบครัวเธอแบบนี้ แสดงว่าเขาวางแผนการนี้มาอย่างดี ไม่ใช่โจรกระจอกๆ แน่นอน
“นายเป็นใครกันแน่” พร้อมทั้งสายตาจับจ้องผู้ชายตรงหน้าอย่างพยายามคาดคะเน การที่คุณพ่อของเธอมียศมีตำแหน่ง แถมตัวเธอเองก็เป็นหนึ่งในคณะกรรมการวางแผนยุทธศาสตร์ของภาคใต้อีกด้วยเช่นนี้ ช่างน่าสงสัยเหลือเกินว่าเขามีวัตถุประสงค์อื่นใดแอบแฝง
จะใช่การจับตัวเรียกค่าไถ่ธรรมดาล่ะหรือ
รึว่า เขาจะเกี่ยวโยงกับผู้ก่อการร้ายใน 3 จังหวัดชายแดนใต้ !? เนตริยาหนาวเยือกไปกับความคิดนี้
“คุณไม่ต้องรู้หรอกว่าผมเป็นใคร เมื่อไหร่ที่ผมตกลงเรื่องค่าไถ่กับคุณพ่อคุณสำเร็จ วันนั้นคุณจะได้กลับบ้าน”
ไม่มีความกระจ่างใดๆ รอบตัวเนตริยาดูคล้ายมืดมนไปหมด
ดึกสงัด ความเงียบและอากาศรอบตัวที่เย็นสบายน่าจะเอื้อให้หญิงสาวหลับสนิท แต่เปล่าเลย หล่อนผุดลุกผุดนั่งอยู่บนเตียงหลายรอบ บางครั้งก็ลุกขึ้นมาเช็กกลอนประตูว่ายังสนิทแน่นเหมือนเดิมหรือไม่ด้วยความหวาดระแวง
ในสมองที่ยังไม่ยอมหลับนั้นฟุ้งซ่านไปด้วยการคิดหาวิธีหนี บอกตัวเองว่าจะไม่ยอมรอจนถึงวันที่หล่อนจะถูกยื่นหมูยื่นแมวกับเงินค่าไถ่นั่นหรอก เพราะเหตุการณ์แบบนี้ ตัวประกันมักจะตายเพราะเกิดการผิดพลาดบางอย่าง หรือไม่ก็ถูกฆ่าตายไปเสียก่อนเพื่อปิดปาก เพราะหล่อนจำหน้าเขาได้
นายโจรคนนี้จะปล่อยหล่อนง่ายๆ งั้นหรือ ไม่มีทาง
แล้วถ้าหล่อนจะหนี จะด้วยวิธีใด เวลากลางคืนมันอาจจะเสี่ยงเกินไป อย่างที่เขาบอกว่าในป่าเช่นนี้มีอันตรายจากสัตว์ร้าย
แต่ถ้าหล่อนมีปืน ถ้าได้ปืนสักกระบอกก็น่าจะเอาตัวรอดได้ แล้วถ้าไม่หนีตอนกลางคืน จะหนีกลางวัน เขาก็ต้องตามหล่อนเจออยู่ดี
แล้วเนตริยาก็ได้คำตอบ หล่อนควรจะหนีตอนใกล้รุ่งจะดีที่สุด เพราะหากหลุดไปพ้นจากบ้านหลังนี้ ออกไปข้างนอกได้ ก็จะค่อยๆ สว่างขึ้นๆ แต่จะคืนนี้หรือ ถามตัวเองแล้วตอบเองว่า ไม่ได้ หล่อนยังไม่รู้ทางหนีทีไล่ดีนัก แผนอาจจะล่ม หล่อนต้องมีเวลาสำรวจและประมวลข้อมูลก่อนตัดสินใจ หล่อนจะต้องสำรวจที่นี่อย่างละเอียด มองหาทางหนีให้ดีก่อนจะตัดสินใจ
และอย่างน้อยหล่อนน่าจะทดสอบว่าเขาเตรียมป้องกันหล่อนหนีตอนกลางคืนอย่างไร
หญิงสาวคิดดังนั้นแล้ว ค่อยๆ ลุกขึ้นไปที่ประตู จัดแจงถอดกลอนประตูอย่างเบามือที่สุด แล้วค่อยๆ แง้มประตูออกมา แม้ข้างนอกจะมืดสนิทแต่หญิงสาวพยายามปรับสายตาให้ชินกับความมืด สักพักก็เริ่มมองเห็นได้รางๆ
เนตริยาค่อยๆ จรดปลายเท้าเดินคลำทางโดยระมือไปตามผนังห้อง หล่อนจะเดินไปทางด้านหลังที่จะมีบันไดลงไปข้างล่าง
“อุ๊ย ! ” หล่อนสะดุดเข้ากับอะไรบางอย่าง คล้ายขอบไม้ จึงค่อยๆ เดินเลี่ยงไป แต่
“ว้าย ! ” เนตริยารู้สึกคล้ายร่างถูกคว้าจนล้มลงบนบางอย่างนุ่มๆ แขนแข็งแรงของใครคนหนึ่งรัดรึงอยู่รอบตัวทำให้
หญิงสาวออกแรงดิ้นสุดชีวิต
“กรี๊ด ! ปล่อยนะ”
“บอกแล้วใช่ไหมว่าไม่ให้ออกมา รึว่าเหงา”
แสดงความคิดเห็น
วันที่ฟ้าเปิด บทที่ 2
ถูกทำความสะอาดจนปราศจากฝุ่นแดงแล้วนำมาวางไว้ที่หน้าห้องห้องหนึ่ง
“คุณพักห้องนี้ ถ้าคุณอยากจะเข้าห้องน้ำ มีห้องน้ำสองห้อง อยู่ด้านหลังกับข้างล่าง”
เนตริยามองตามที่เขาชี้บอก
“อีกสักพัก อาหารใกล้เสร็จแล้ว หิวแล้วใช่ไหม” คำถามตอนท้ายฟังดูอ่อนโยนจนหญิงสาวต้องเหลือบตามองอย่างไม่แน่ใจ
ปกป้องรีบเมินหน้า เขาเกือบลืมความตั้งใจเดิมที่จะทำท่าโหดเหี้ยมใส่หล่อน
“หรือถ้าคิดจะอดข้าวประท้วงไม่ยอมกินก็ตามใจนะ” เขาแกล้งประชดแล้วผละไป
เนตริยาจำต้องหิ้วกระเป๋าเดินทางก้าวเข้าไปในห้องนอน ที่มีเตียงสำหรับนอนคนเดียวกับตู้ไม้ หล่อนวางกระเป๋าแล้วเดินไปเปิดหน้าต่าง มีมุ้งลวด
และเหล็กดัดลายลูกคลื่นอ่อนช้อยไม่ได้เป็นซี่ลูกกรง ทำให้ไม่รู้สึกว่าถูกขังคุกแต่อย่างใด
ไม่มีหนทางหนีออกจากห้องนี้
แค่เขาปล่อยให้หล่อนหนีไปก่อนหน้านี้ หล่อนก็หนีไม่รอดแล้ว
หญิงสาวถอนหายใจหนักหน่วง นี่หล่อนจะช่วยตัวเองได้อย่างไร ใจนึกถึงโทรศัพท์มือถือ จริงซิโทรศัพท์ของหล่อนอยู่ในกระเป๋าถือ แต่ว่ากระเป๋า
ถือของหล่อน มันไปตกอยู่ที่ไหน หันรีหันขวางเตรียมจะออกไปตามหา แต่ตาเหลือบไปเห็นว่ามันถูกวางแอบไว้ตรงหัวเตียง เนตริยารีบถลาไปเปิด
มันออกแล้วควานหาโทรศัพท์มือถือ
แต่ไม่มี
ใจที่พองฟูเมื่อครู่หุบลงด้วยความผิดหวัง ทั้งๆ ที่น่าจะเดาได้ว่าโจรพวกนี้ไม่สะเพร่าปล่อยให้หล่อนใช้โทรศัพท์ได้หรอก
เนตริยาค่อยๆ ทรุดตัวลงนั่งที่ขอบเตียงอย่างอ่อนล้า นี่หล่อนจะทำอย่างไร ป่านนี้ทุกคนคงเป็นห่วงเพราะเธอหายไป ไม่ได้ไปเช็กอินที่โรงแรม
เพื่อนที่นัดกันไว้ก็คงเฝ้ารอ แล้วพ่อกับแม่ล่ะ ป่านนี้จะเป็นห่วงเธอแค่ไหน
แล้วสวัสดิภาพของตัวเธอเองล่ะ บ้านนี้เธอไม่เห็นใครนอกจากผู้ชายสองคน พลางมองไปรอบตัวที่เริ่มจะมืดลง
แล้วนี่ คืนนี้เธอจะปลอดภัยล่ะหรือ
คิดได้ดังนั้นก็รีบลุกขึ้นไปตรวจดูกลอนประตูไม้แบบบ้านโบราณ ซึ่งก็ดูแน่นหนาดี หันกลับไปมองที่หน้าต่างอีกครั้ง ไม่มีทางหนีได้เลย
ก็อก ก็อก เสียงเคาะประตูทำให้หญิงสาวสะดุ้งจากภวังค์
“อาหารเสร็จแล้ว ออกมาทานได้”
เนตริยาลังเล หล่อนไม่อยากออกไป แต่ท้องเริ่มร้องเตือนด้วยความหิว
“คุณ...” เสียงเรียกหน้าห้องเริ่มดังขึ้น เมื่อไม่มีการขานรับจากคนภายในห้อง “คุณ ออกมาทานข้าวได้แล้ว”
ครั้นภายในห้องยังคงเงียบ คนที่อยู่ข้างนอกจึงหมดความอดทน เขาใช้กำปั้นทุบประตูดังปังปัง
“ผมบอกให้ออกมา ! หรือจะให้พังประตูเข้าไป” อารมณ์คนพูดเริ่มแรงขึ้น เป็นเพราะห่วงใยคนข้างในกลัวว่าจะเป็นอะไรไปมากกว่าจะ
โมโหโกรธา หล่อนอาจจะเป็นลมไปแล้วเพราะหิวข้าวก็ได้
เนตริยาถอยกรูดไปยืนท้ายห้อง รู้ว่ากลอนโลหะเก่าๆ บนบานประตูไม้เช่นนั้นคงไม่อาจต้านแรงถีบของผู้ชายตัวโตๆ อย่างเขาได้แน่นอน
ถามตัวเองว่านี่หล่อนจะแข็งขืนต่อต้านเขาหรือจะยอมอ่อนตามเพื่อให้เขานอนใจแล้วค่อยหาจังหวะหนี ความคิดแล่นปราดๆ อยู่ในสมอง
อึดใจต่อมาเนตริยาตัดสินใจเดินไปถอดกลอน แล้วเปิดประตูออกมา ไม่กล้าสบตาผู้ชายที่ยืนทำหน้าบึ้งอยู่ตรงหน้า ใจสั่นไม่หายด้วย
ความกลัวที่เขาตะโกนเสียงดังและขู่จะพังประตูเช่นนั้น
“คุณนี่ไม่ฉลาดเลยนะ น่าจะคิดว่ากินให้อิ่มๆ ไว้ คืนนี้จะได้มีแรงหนี” เขาประชด
เนตริยาเม้มปากแน่น อยากจะบอกออกไปว่า แน่นอนฉันจะต้องหนีออกไปจากที่นี่ให้ได้ แต่ที่หล่อนพูดคือ
“ฉันขอไปล้างมือก่อนนะ”
ปกป้องมองท่าทางที่เหมือนจะอ่อนยอมนั้นอย่างพึงพอใจ แม้ว่าลึกๆ แล้วเขายังไม่ไว้ใจนัก..ไม่ไว้ใจมารยาหญิง โดยเฉพาะผู้หญิงที่เรียนจบ
มาทางจิตวิทยาอย่างหล่อนด้วยแล้ว ที่หล่อนยอมเช่นนี้เพราะกลัวเกรงเขาจริงๆ หรือกำลังเล่นละครตบตากันแน่
ชายหนุ่มพยักพเยิดไปทางด้านหลังที่เป็นห้องน้ำ แล้วมองตามร่างบางที่เดินตัวลีบๆ ไปนั้น ด้วยความรู้สึกสงสารไม่น้อย เขาเองก็ไม่เคย
ทำอะไรแบบนี้ ที่จะต้องมาขู่เข็ญผู้หญิงและวางท่าไม่ต่างจากพวกมหาโจร หล่อนก็คงมองเขาเป็นเช่นนั้นอยู่แล้วเพราะหนวดเคราที่เขาไว้รุงรังนั้น
ทำให้หล่อนจำเขาไม่ได้แม้แต่น้อยว่าเขาคือนายปกป้อง ผู้ชายคนที่เคยออกไปตั้งคำถามกับหล่อนในการบรรยายทางวิชาการเมื่อปีก่อน คิดมา
ถึงตรงนี้ ปกป้องเผลอยิ้มกับตัวเองออกมา
เนตริยาล้างมือแล้วมองดูตัวเองในกระจก มองเห็นผู้หญิงหน้าซีดๆ ผมเผ้ายุ่งเหยิง หน้าตามอมแมม จึงจัดแจงวักน้ำล้างหน้าและเสยผมให้เข้าที่
ตามประสาผู้หญิงที่อดจะรักสวยรักงามไม่ได้แม้มาตกอยู่ในอันตรายเช่นนี้
ปกป้องนั่งรออยู่แล้วที่โต๊ะอาหารที่ตั้งอยู่นอกชานกว้างหน้าบ้าน เขาหันหน้ามาเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าของหญิงสาว
“เชิญ” เขาเชื้อเชิญ พร้อมทั้งมองใบหน้าที่กระจ่างใสปราศจากเครื่องสำอางนั้น ดูผุดผาดอยู่ท่ามกลางบรรยากาศรอบตัวที่เริ่มสลัวลางลง
แสงอาทิตย์สุดท้ายถูกขุนเขาทะมึนที่โอบล้อมอยู่บดบังเสียสิ้น
“อาหารพื้นเมืองปักษ์ใต้ อาจจะเผ็ดหน่อย คุณทานได้ไหม ถ้าไม่ได้ผมจะได้สั่งให้เขาทอดไข่เจียวมาเพิ่ม”
เนตริยามองผู้ชายตรงหน้า ที่จริงเขาก็เอาใจใส่ดูแลหล่อนดี ไม่ได้ปฏิบัติต่อหล่อนอย่างโหดร้ายเยี่ยงเชลยอย่างที่หล่อนกลัวแต่แรก ไม่เช่นนั้น
หล่อนอาจจะถูกล่ามโซ่ไว้กับเสาเรือนแล้วมีข้าวกับน้ำปลาใส่จานสังกะสีมาวางให้กินอย่างที่เห็นในหนังในละคร
ปกป้องหันไปพยักหน้าให้คนงานอีกคนที่ยืนรออยู่เข้ามาตักข้าวใส่จานให้หล่อน หญิงสาวสังเกตดูจานชามชุดอาหารบนโต๊ะล้วนเป็นกระเบื้องอย่างดี แม้ไม่ถึงกับหรูนักก็ตาม ดูไม่เหมือนตกมาอยู่ในบ้านป่าสักนิด เหมือนอยู่รีสอร์ตมากกว่า
หลังจากเริ่มตักอาหารเข้าปากไปได้ไม่กี่คำ เนตริยาก็รับรู้ได้ถึงความเผ็ดร้อนของอาหารปักษ์ใต้ หล่อนพยายามกล้ำกลืนพร้อมทั้งรีบดื่มน้ำตาม
ใบหน้าเริ่มแดง ปากเห่อแดงไปด้วยความเผ็ดร้อน
ปกป้องเห็นดังนั้นจึงหันไปสั่งคนงานว่า
“นาดีร์ ไปทอดไข่มาให้คุณผู้หญิงด่วนเลยนะ” แล้วหันมาบอกคนที่กำลังเผ็ดนั้นว่า “ซดน้ำแกงจืดนี่ ช่วยแก้เผ็ดได้”
ท่าทางอาทรนั้น ทำให้หญิงสาวอดจะเหลือบตามองไม่ได้ ดูเหมือนเขาจะเมตตาหล่อนมากกว่าโจรทั่วไป แน่ล่ะซิ หากหล่อนบุบสลายไป
ค่าไถ่อาจจะไม่ได้เต็มเม็ดเต็มหน่วย
แล้วในที่สุดหล่อนก็ถามออกมา
“นายจับฉันมาทำไม”
ปกป้องชะงักอาการตักอาหารเข้าปาก ใช้สายตาเหี้ยมๆ มองสบตาดำวาวที่พยายามทำใจแข็งจ้องตอบไม่ลดละ
“แค่อยากพาคุณมาพักผ่อน เปลี่ยนบรรยากาศ” เขาแกล้งเล่นลิ้น
หญิงสาวตวัดสายตาผ่านหน้าเขาไปอย่างไม่พอใจในคำตอบที่ได้รับ
“นายรู้ใช่ไหมว่าฉันเป็นใคร ถึงได้จับฉันมาแบบนี้ นายต้องการเรียกค่าไถ่ใช่ไหม”
“แล้วคุณเป็นใคร บอกผมได้ไหม”
คำถามนั้น ทำให้เนตริยาชะงัก เริ่มไม่แน่ใจว่าเขารู้หรือไม่ หากเขาไม่รู้จริงๆ แล้วหล่อนบอกไปว่าหล่อนเป็นใคร จะยิ่งเป็นอันตรายต่อตัวเองหรือไม่