🇹🇭🧡มาลาริน🧡🇹🇭ไทยเล็งซื้อวัคซีนโควิด"โอมิครอน-อู่ฮั่น"เป็นบูสเตอร์โดสปี 66/พ่อแม่ควรพาลูก 6 ด.-4 ปี ฉีดวัคซีน

ไทยเล็งซื้อวัคซีนโควิด 2 สายพันธุ์ "โอมิครอน-อู่ฮั่น" เป็นบูสเตอร์โดสปี 66 เร่งติดตามข้อมูลเพิ่ม



ผอ.สถาบันวัคซีน เผยเร่งติดตามข้อมูลวัคซีนโควิดสูตรผสม 2 สายพันธุ์ "โอมิครอน-อู่ฮั่น" เล็งซื้อเป็นบูสเตอร์โดสปี 66 ใช้งบประมาณตั้งใหม่ เผยทุกตัวยังขึ้นทะเบียนใช้ในภาวะฉุกเฉิน ไม่มีขึ้นทะเบียนใช้ในภาวะปกติ

เมื่อวันที่ 13 ต.ค. นพ.นคร เปรมศรี ผอ.สถาบันวัคซีนแห่งชาติ กล่าวว่า การจัดหาวัคซีนโควิด 19 เพื่อเป็นบูสเตอร์โดสในปี 2566 เป็นไปตามแผนดำเนินการของกรมควบคุมโรค ปัจจุบันมีอยู่แล้วจำนวนหนึ่ง แต่ยังมีบางส่วนที่ต้องมีการจัดซื้อเพิ่ม ซึ่งต้องดูตามสถานการณ์ ขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาและติดตามวัคซีนสูตรใหม่ที่เป็นวัคซีนรวม 2 สายพันธุ์ คือ สายพันธุ์โอมิครอนและสายพันธุ์อู่ฮั่น ของไฟเซอร์และโมเดอร์นาที่มีการใช้อยู่ในสหรัฐอเมริกาและยุโรป
"ข้อจำกัดของการผลิตวัคซีนที่ผ่านๆ มา จะไม่ทันกับการเปลี่ยนแปลงของสายพันธุ์ แต่ตอนนี้รุ่นอู่ฮั่นก็ถือว่าได้ผล มีรายงานว่าไม่แตกต่างกัน สามารถลดอาการรุนแรงของโรค และลดการเสียชีวิตได้" นพ.นครกล่าว

เมื่อถามว่าวัคซีนรุ่น 2 สายพันธุ์ หากได้ข้อสรุปจะต้องเป็นงบประมาณตั้งใหม่ หรือใช้หลักการเปลี่ยนแปลงสัญญาการจัดซื้อวัคซีนรุ่นเดิม นพ.นคร กล่าวว่า เป็นงบประมาณตั้งใหม่ เพราะวัคซีนสูตรเดิมที่มีการทำสัญญาซื้อนั้น อย่างของไฟเซอร์ก็หมดแล้ว ไม่มีวัคซีนต้องส่งมอบ แต่กรณีวัคซีนรุ่นใหม่อาจจะมีราคาสูงขึ้น ตอนนี้จึงอยู่ระหว่างการติดตาม ประชาชนไม่ต้องรอเพื่อรับวัคซีนตัวนั้นตัวนี้ หรือรอวัคซีนรุ่นใหม่ เพราะวันนี้ประเทศไทยมีวัคซีนที่เตรียมไว้สำหรับฉีดให้ประชาชนอย่างเพียงพอ ขอให้มารับเข็มกระตุ้นสร้างภูมิคุ้มกันลดการป่วยหนักและเสียชีวิต เพราะทุกวันนี้ยังมีรายงานคนเสียชีวิต ส่วนใหญ่ไม่ได้ฉีดวัคซีน หรือฉีดไม่ครบ

เมื่อถามว่า ขณะนี้มีวัคซีนที่ขึ้นทะเบียนใช้ในภาวะปกติแล้วหรือไม่ นพ.นคร กล่าวว่า ประเทศไทยยังไม่มี ทุกตัวเป็นวัคซีนที่ขึ้นทะเบียนใช้ในภาวะฉุกเฉิน ส่วนระดับโลกมีเพียงวัคซีนไฟเซอร์ที่ขอขึ้นทะเบียนใช้ในภาวะปกติในสหรัฐอเมริกาเท่านั้น ส่วนที่เหลือยังขึ้นทะเบียนใช้ในภาวะฉุกเฉิน จึงเป็นเรื่องที่ต้องติดตามเรื่องของความปลอดภัยต่อไป แต่ ณ วันนี้ จากข้อมูลที่มีการฉีดในไทยมากกว่า 100 ล้านโดส ทั่วโลกกว่าหมื่นล้านโดส ในแง่ของความปลอดภัย ตอนแรกๆ ที่เรากังวลเรื่องลิ่มเลือดอุดตัน หัวใจอักเสบ ก็พบน้อย หรือไม่พบ

https://mgronline.com/qol/detail/9650000098324

หมอประสิทธิ์" ย้ำพ่อแม่พาลูก 6 ด. - 4 ปี ฉีดวัคซีนโควิด พบเด็กเล็กยังมีตาย "สิงคโปร์" ระบาดแบบสโลว์เบิร์น ไม่กระทบไทย



หมอประสิทธิ์" ย้ำเด็กเล็ก 6 เดือน - 4 ปี ควรมาฉีดวัคซีน เป็นกลุ่มเสี่ยงติดกันง่าย ทุกวันนี้ยังเจอเด็กเล็กเสียชีวิต อย่าคิดว่าผู้ใหญ่ฉีดมากแล้วจะปลอดภัย เหตุ้ชื้อกลายพันธุ์ตลอดเวลา ส่วน "สิงคโปร์" ติดเชื้อเพิ่ม เป็นสโลว์เบิร์น ปะทุขึ้แล้วลดลง ไม่แพร่ออกไปนอกประเทศ

เมื่อวันที่ 13 ต.ค. ศ.นพ.ประสิทธิ์ วัฒนาภา อดีตคณบดีคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ม.มหิดล ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีพ่อแม่ผู้ปกครองยังกังวลการฉีดวัคซีนโควิด 19 สำหรับเด็กอายุ 6 เดือน - 4 ปี ว่า วัคซีนแต่ละตัวต้องผ่านการศึกษาวิจัยและทดลองมาอย่างดีหลายขั้นตอนก่อนจะอนุมัติให้มีการฉีด วัคซีนไฟเซอร์สำหรับเด็กเล็กก็ผ่าน อย.สหรัฐฯ และเริ่มให้ฉีดในกลุ่มเด็กเล็กซึ่งเป็นกลุ่มเสี่ยงที่ติดกันง่ายมาก ยิ่งกลุ่มเสี่ยงที่มีภาวะอักเสบในอวัยวะต่างๆ (MIS-C) แล้วติดเชื้อโควิด จะเสี่ยงเสียชีวิตมากขึ้น

"ยืนยันวัคซีนมีความปลอดภัย ขณะนี้มีการใช้จำนวนมากในหลายประเทศ อย่างไรก็ตาม วัคซีนโควิดชนิดโปรตีนซับยูนิตเป็นอีกแพลตฟอร์มที่ปลอดภัยมาก ประเทศไทยมีการนำเข้ามา และกำลังศึกษาในเด็ก รอ อย.พิจารณา ก็จะเป็นอีกทางเลือกหนึ่ง และจริงๆ ในจีนมีการนำเชื้อตายฉีดในเด็กเช่นกัน" ศ.นพ.ประสิทธิ์กล่าว

ศ.นพ.ประสิทธิ์ กล่าวว่า โควิดดูเหมือนสงบ แต่มีโอกาสก่อตัวขึ้นมาเมื่อไรก็ได้ เพราะไวรัสมีการกลายพันธุ์ตลอดเวลา ความเห็นตนหากมีความมั่นใจกับวัคซีน อยากแนะนำให้พาลูกหลานไปฉีด เพราะยังต้องอยู่โควิดอีกนาน อย่างน้อยเป็นการกระตุ้นภูมิคุ้มกันจะได้สบายใจ และกลุ่มที่เสียชีวิตขณะนี้มีเด็กเล็กด้วย เหมือนตอนวัคซีนเข้ามาใหม่ๆ มีคนมาปรึกษาว่า คุณพ่อคุณแม่อายุ 90 ปีเป็นโรคหัวใจควรฉีดไหม ทั้งที่เป็นกลุ่มเสี่ยงที่ต้องรีบฉีด แต่คิดตรงข้ามว่าอายุเยอะแล้วฉีดวัคซีนจะเสี่ยง ทั้งที่ความจริงต้องรีบฉีดเพราะเป็นกลุ่มเสี่ยงกับไวรัส พอฉีดเสร็จก็ปลอดภัย บางทีเราไปกังวลหรือกลัวกับคนที่ฉีดไปเพียงรายเดียวที่เกิดผลข้างเคียงรุนแรงจากที่ฉีดเป็นหมื่นๆรายแล้วไม่เกิดผลข้างเคียงใดๆ

เมื่อถามถึงความคิดว่าผู้ใหญ่ฉีดมากจนเกิดภูมิคุ้มกันหมู่แล้ว ไม่ต้องให้เด็กฉีด ศ.นพ.ประสิทธิ์ กล่าวว่า เชื้อโควิดมีการกลายพันธุ์ตลอด แต่ละครั้งที่กลายพันธุ์จะพบว่า ประสิทธิภาพวัคซีนลดลง ดังนั้นที่บอกว่าผู้ใหญ่ฉีดกันเยอะแล้ว ก็ยังเป็นห่วงว่าในอีก 5-6 ปีข้างหน้าโคโรนาไวรัสอาจจะกลับมาอีก เพราะโคโรนาไวรัสเคยโจมตีเรามาแล้วตั้งแต่เกิดโรคซาร์สปี 2002 ต่อด้วยเมอร์ส 2012 จนมาโควิด เชื้อกลายพันธุ์อยู่เรื่อยๆ หากคนทั้งโลกภูมิคุ้มกันลดลง เชื้อกลายพันธุ์จนถึงจุดที่รุนแรงก็จะกลับมาระบาดได้
ถามถึงบางประเทศ เช่น สิงคโปร์ พบผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นจะส่งผลถึงไทยหรือไม่อย่างไร ศ.นพ.ประสิทธิ์ กล่าวว่า เป็นการระบาดที่เรียกว่าสโลว์เบิร์น (slow burn) จะประทุขึ้นและค่อยๆ ลดลง โดยเกิดขึ้นในประเทศนั้นๆ แล้วก็หยุดลง ไม่ได้เป็นการแพร่ระบาดไปทั้งโลก จึงไม่ค่อยน่ากังวล สโลว์เบิร์นเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ตามที่เราคาดการณ์

https://mgronline.com/qol/detail/9650000098329

ติดตามข่าวโควิดวันนี้นะคะ.....
คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 6

อนามัยโพลเผย !! โควิดทำคนไทยกว่าร้อยละ 95 มีพฤติกรรมล้างมือเพิ่มขึ้น
หลังออกจากห้องส้วม และสัมผัสสิ่งสกปรก

นายแพทย์อรรถพล แก้วสัมฤทธิ์ รองอธิบดีกรมอนามัย เปิดเผยว่า วันที่ 15 ตุลาคมของทุกปี เป็นวันล้างมือโลก (Global Hand Washing Day) โดยในปี 2565 คำขวัญวันล้างมือโลก คือ “รวมกันเป็นหนึ่งเพื่อสุขอนามัยของมือ : Unite for Universal Hand Hygiene” ถือเป็นการรณรงค์สร้างความตระหนักให้ประชากรทั่วโลกล้างมือด้วยน้ำและสบู่ ซึ่งเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพ และเสียค่าใช้จ่ายน้อยในการป้องกันโรคติดต่อ โดยจากผลสำรวจพฤติกรรมการล้างมือของคนไทย พบว่ามีการล้างมือเพิ่มขึ้น ส่วนหนึ่งมาจากการรณรงค์ของกรมอนามัยในช่วงสถานการณ์การระบาดของโรคโควิด-19 คือ รักษาระยะห่าง หลีกเลี่ยงสถานที่แออัด สวมหน้ากากอนามัยเมื่อไปในสถานที่เสี่ยง ล้างมือบ่อย ๆ ด้วยน้ำและสบู่หรือเจลแอลกอฮอล์ ซึ่งข้อมูลผลการสำรวจระหว่างวันที่ 2 กันยายน - 6 ตุลาคม 2565 จำนวน 5,191 ราย พบมีการล้างมือทุกครั้งหลังออกจากห้องส้วมมากที่สุด ถึงร้อยละ 95.47 ล้างมือหลังสัมผัสสิ่งสกปรก เช่น น้ำมูก น้ำลาย ขยะ ร้อยละ 95.40 ล้างมือก่อนเตรียม ปรุง ประกอบอาหาร ร้อยละ 89.77 โดยล้างมือด้วยน้ำและสบู่มากที่สุด ร้อยละ 89.80 ล้างด้วยเจลแอลกอฮอล์ ร้อยละ 62.70 และในช่วงสถานการณ์โควิด-19 มีการล้างมือบ่อยครั้งด้วยน้ำและสบู่หรือเจลแอลกอฮอล์ มากถึงร้อยละ 93.71

ทั้งนี้ การล้างมือด้วยน้ำและสบู่หรือเจลแอลกอฮอล์ เป็นวิธีที่ง่ายในการให้ประชาชนปฏิบัติให้เป็นพฤติกรรมสุขภาพ และเป็นหนึ่งในมาตรการสำคัญในการป้องกัน และหยุดการแพร่ระบาดของโรคติดต่อที่มีประสิทธิภาพ จึงขอเชิญชวนภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชน ร่วมรณรงค์การล้างมือที่ถูกวิธีด้วยน้ำและสบู่ โดยให้ยึดหลัก 2 ก่อน 5 หลัง และ 7 ขั้นตอน ซึ่ง 2 ก่อน คือ ล้างมือก่อนทำอาหาร และกินอาหาร ส่วน 5 หลัง คือ หลังเข้าห้องส้วม หยิบจับสิ่งสกปรก เยี่ยมผู้ป่วย สัมผัสหรือเล่นกับสัตว์ และหลังกลับมาจากนอกบ้าน สำหรับ 7 ขั้นตอน คือ การล้างมือที่ถูกวิธีด้วยน้ำและสบู่ ดังนี้ 1) ฝ่ามือถูกัน 2) ฝ่ามือถูหลังมือ และนิ้วถูซอกนิ้ว 3) ฝ่ามือถูฝ่ามือ และนิ้วถูซอกนิ้ว 4) หลังนิ้วมือถูฝ่ามือ 5) ถูนิ้วหัวแม่มือโดยรอบด้วยฝ่ามือ 6) ปลายนิ้วมือถูขวางฝ่ามือ และ 7) ถูรอบข้อมือ โดยทุกขั้นตอนทำ 5 ครั้ง สลับกันทั้ง 2 ข้าง เพื่อเป็นการป้องกันโรคติดต่อและสร้างสุขอนามัยที่ดีส่วนบุคคล

ที่มา : กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข
https://www.facebook.com/informationcovid19/posts/pfbid02y8h8mPw8p82QQCi4DK7BJEkrMaKVfguE3X9qnwSERtSEZ9we21b2oCHnRgipUtHsl


กรมควบคุมโรค เผยการฉีดวัคซีนโควิด 19 ในเด็กปฐมวัย สามารถฉีดพร้อมกับวัคซีนอื่นๆ ได้ทันที
ที่มา https://ddc.moph.go.th/brc/news.php?news=28996&deptcode=brc
https://www.facebook.com/thaimoph/posts/pfbid0pZneUUnkAKzAbFtAwJ5UgxRV5c7Mhmm9g1aucCL8DvEv85EhU8sVAqygNiVUkixel

คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ
ข้อคำแนะนำการให้วัคซีนโควิด 19 (Pfizer ฝาสีแดง) ในเด็กอายุ 6 เดือน - 4 ปี
https://www.facebook.com/permalink.php?story_fbid=pfbid024ukUgQMrUsy956XqQSNURpoxh5G68avpi34DyaBnKYrZj9ffUaaUzqPwZRz6YqD8l&id=100068069971811


เริ่มแล้ว! ฉีดวัคซีนโควิดเด็ก 6 เดือน – 4 ปี เป็นไปตามความสมัครใจ ไม่มีผลต่อการเข้าเรียน

กระทรวงสาธารณสุข โดยกรมควบคุมโรค ให้คำแนะนำการฉีด วัคซีนโควิด19 ในเด็กอายุ 6 เดือน - 4 ปี ให้ฉีดวัคซีน Pfizer ฝาสีแดง แถบสีแดง โดยฉีดเข้ากล้ามเนื้อ 0.2 มิลลิลิตร (3 ไมโครกรัม) ต่อโดส ฉีดจำนวน 3 เข็ม ส่วนการเว้นระยะห่างนั้น เข็มที่ 2 ต้องเว้นระยะห่างจากเข็มแรก 4 สัปดาห์ (หรือ 3-8 สัปดาห์) ส่วนเข็มที่ 3 ต้องเว้นระยะห่างจากเข็มที่ 2 อย่างน้อย 8 สัปดาห์

กรณีเด็กที่มีประวัติติดเชื้อโควิด 19 ให้เว้นระยะห่าง 3 เดือนนับจากวันที่ตรวจพบ ส่วนเด็กที่มีอายุครบ 5 ปี เมื่อถึงกำหนดรับวัคซีนโควิดเข็มถัดไป ให้ฉีดวัคซีนฝาสีส้ม จนครบ 3 เข็ม โดยมีระยะห่างตามเดิม (สัปดาห์ที่ 0, 4,12 )

กระทรวงสาธารณสุขย้ำว่า เด็กทุกคนควรได้รับวัคซีนโควิด19 โดยเฉพาะเด็กที่มีโรขอคประจำตัวที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรครุนแรงหรือเสียชีวิต ทั้งนี้ การเข้ารับวัคซีนเป็นไปตามความสมัครใจของผู้ปกครองและเด็ก โดยไม่เป็นเงื่อนไขในการไปโรงเรียน ผู้ปกครองที่สนใจสามารถติดต่อรับวัคซีนได้ที่สถานพยาบาล รวมทั้ง รพ.สต. ตามที่คณะกรรมการโรคติดต่อกำหนด
https://www.facebook.com/Rachadaspoke/posts/pfbid02hNiL5GZHHfrCGkufijvxKEpXjSg7edzGCeTkqRuoGnC9QDmgApN2F12SC1RscFZpl
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่