รีวิวการเตรียมสอบ+สถานที่สอบ TOEFL iBT แบบคนไม่เก่งภาษาอังกฤษ อ่านเอง+ติวonline ได้ 88 คะแนน

สวัสดีทุกคนค่า กระทู้นี้จะเล่าประสบการณ์เกี่ยวกับการสอบ TOEFL iBT ค่ะ ทั้งการเตรียมตัวสอบ หนังสือที่อ่าน พ่วงรีวิวสถานที่สอบไปด้วยเลยค่าเนื่องจากเป็นความตั้งใจตั้งแต่ก่อนสอบว่าสอบเสร็จจะมารีวิวประสบการณ์ เผื่อว่าจะเป็นประโยชน์กับหลายๆคน เนื่องจากช่วง จขกท. เตรียมสอบ ก็ได้กระทู้พันทิป นี่ล่ะค่ะ ในการหาข้อมูลการเตรียมตัวต่างๆ เดี๋ยวจะแปะลิงค์กระทู้ที่เราอ่าน ไว้ด้วยเลยนะค้า ขอขอบพระคุณทุกท่านมาในที่นี่ด้วยค่า 

ก่อนเริ่มรีวิวขอเล่าพื้นฐาน จขกท.เล็กน้อยนะคะ คือปกติไม่ใช่คนเก่งภาษาอังกฤษ ได้ประมาณC+ตอนเรียนมหาลัย อ่านพอได้ เพราะตอนเรียนต้องอ่านเปเปอร์ ส่วน ฟัง พูด เขียน ไม่เคยฝึกจริงจังสักครั้ง ฟังได้บ้างเป็นคำๆ แต่พูดและเขียนไม่คล่องเลย ทีนี้ จขกท.มีความฝันอยากไปเรียนต่อ ตปท. ซึ่งแน่นอนว่าการสอบภาษาอังกฤษ ก็เป็นอะไรที่ต้องผ่านไปให้ได้ และจขกท.ตั้งใจไปเรียน US จึงเลือกสอบ TOEFL IBT ค่ะ เป้าหมาย>80  แต่เนื่องจาก จขกท.ทำงานประจำ ที่ต้องทำวัน เสาร์-อาทิตย์ ด้วย ดังนั้น การไปติวตามสถาบัน อาจจะทำไม่ได้ จึงตัดสินใจอ่านเอง+ซื้อคอร์สติวonline ของสถาบันแห่งหนึ่งเอาค่ะ โดยใช้เวลาตอนเย็นหลังเลิกงานค่อยๆ เริ่มจาก 0 ใช้เวลาประมาณ 5 เดือนค่ะ เมื่อตัดสินใจแล้วก็เริ่มจากเข้า pantip หาข้อมูลเลยค่ะ เริ่มจากกระทู้นี้ 

https://ppantip.com/topic/40989970 เล่าประสบการณ์สอบ TOEFL iBT@home edition ครั้งแรกในชีวิต เตรียมตัว 1 เดือน อ่านเอง ได้ 83 คะแนน - Pantip

คือดีมากค่ะเป็นกระทู้ที่เราไปซื้อหนังสือตาม ดังนั้นหนังสือที่ใช้ก็จะเหมือนของจขกท.ในกระทู้นั้นเลย แต่ไม่เหมือนนิดหน่อย คือเราเผื่อเวลาเตรียมตัวนาน เลยเริ่มจากอ่านทบทวน grammar ก่อน เนื่องจาก จขกท.เรียนจบมานานแล้ว grammar ส่วนใหญ่คืนอาจารย์ไปแล้ว TT
หนังสือที่อ่านมีดังนี้
1. advanced english grammar for high learners อ.สำราญ คำยิ่ง
2. Barron TOEFL iBT 17thed เล่มสีแดงค่ะ
3. Official guide TOEFL iBT test 6th edition 
4. Official TOEFL vol.1 4th edition 
5. Official TOEFL vol.2 4th edition 

ขั้นตอนในการเตรียมตัว
1. เราเริ่มจากซื้อคอร์ส online ของสถาบันติวแห่งหนึ่ง  รูปแบบการเรียน คือเรียนจาก VDO ที่อัดไว้แล้ว เรียนจากคอมที่บ้าน ต้องจัดสรรเวลามาดู VDO เอง
2. ซื้อหนังสือตามรายการข้างต้น เราซื้อทั้งหมดที่ศูนย์หนังสือจุฬาฯค่ะ 
3. สมัครสอบ ใช่ค่ะ เราสมัครสอบก่อนจะอ่านหนังสือ เพราะการรู้วันสอบจะทำให้มีแรงกระตุ้นที่ดี โดย จขกท. สมัครสอบไปเลยล่วงหน้า 2 ครั้ง เพราะคิดว่าครั้งแรก เหมือนลองสนามสอบ และสอบครั้งเดียวอาจจะไม่ได้คะแนนที่ต้องการ โดยเราเริ่มอ่าน April 2022--> สอบครั้งแรก AUG 2022--> สอบครั้งที่2 SEP 2022 ห่างจากครั้งแรกไม่ถึง 2 weeks
4. ทำตารางอ่านหนังสือ เนื่องจากเราทำงานประจำไปด้วยทำเกือบทุกวัน จะมีเวลาอ่านจริงๆแค่ตอนเย็นหลังเลิกงานเท่านั้น ดังนั้นต้องแบ่งเวลาดีๆ เราทำตารางไว้เลย ว่าเดือนไหน ต้องอ่าน part อะไร เล่มไหนจบ เหลือเวลา 1 อาทิตย์ก่อนสอบไว้ตะลุยโจทย์รัวๆ 

เริ่มต้นอ่านหนังสือ+ ลักษณะข้อสอบแต่ละพาร์ท + รีวิวการเตรียมตัวสอบในแต่ละพาร์ท 
- เราเริ่มจากทบทวน grammar จากหนังสือ อ.สำราญก่อน คืออยากบอกว่าเล่มนี้ดีมากๆ คือปูพื้นจาก basic ถึง advanced เลย และเป็นหนังสือที่ไม่น่าเบื่อ เลยอ่าน+ทำ short note ไว้ทั้งเล่มเลย 

- หลังจากทวน grammar เสร็จ ก็เข้าเรียน online ใน course ที่ซื้อไว้ ก็มีคำศัพท์ +สรุปลักษณะข้อสอบแต่ละพาร์ท ข้อดีคือ เหมือนสรุปมาให้แล้ว +เทคนิคในการทำ part ต่างๆ และคำศัพท์มีให้ 650 คำ คือไม่ได้ท่องศัพท์ที่อื่นเพิ่มเลย จขกท.ใช้วิธีเซฟไว้ในโทรศัพท์ แล้วท่องตอนกลางวันวันละ 10 คำ พอวันรุ่งขึ้นก็ท่องเพิ่ม โดยท่องย้อนของเก่าไปเรื่อยๆ ข้อเสียคือต้องมีวินัย เพราะไม่มีใครมาจี้ จะเรียนจะหยุดเมื่อไหร่ก็ได้ และ part writing กับ speaking ไม่ได้มี template ให้ และใช้วิธีส่งตรวจทางเมล์ ดังนั้นขึ้นกับความขยันของเราเองด้วย ก็เรียนครบทุก part จนจบ

- พอเรียนจบก็มาอ่านเนื้อหาเพิ่มจากหนังสือที่ซื้อมาเริ่มจาก 
·      Barron TOEFL iBT 17th ed บอก guide การสอบ TOEFL มีข้อสอบแบบไหนบ้าง trick ต่างๆในแต่ละพาร์ท grammar ที่จำเป็นต้องใช้ เล่มนี้ เราอ่าน grammar ข้ามๆ เพราะอ่านของ อ.สำราญมาแล้ว แค่อ่าน เพื่อเน้น grammar ที่สำคัญที่เอามาใช้เขียน ใช้พูด และมีตัวอย่างข้อสอบให้ทำด้วย จะมี application online ให้โหลด ให้ลองฝึกทำกับคอม แต่ข้อสอบไม่ได้เหมือนเป๊ะๆ คิดว่า part listening ของ Barron ยากกว่า 
·      Official guide TOEFL iBT test 6th edition เล่มนี้เป็นจากศูนย์สอบ ETS เป็นคนเขียนขึ้นมา ถึงแนวทางการสอบ รูปแบบคำถามที่จะเจอในการสอบทั้งหมด เกณฑ์การคิดคะแนน คือทุกอย่างที่ต้องรู้อ่ะ มี Trick การทำข้อสอบ Grammar ที่จำเป็นต้องใช้ มีข้อสอบเก่าทั้งหมด 4 ชุด ทำแบบออนไลน์ได้ โดยในหนังสือจะมีเว็บให้เราเข้าไปโหลดโปรแกรม หน้าหลังสุดหนังสือจะมี code ให้กรอก เฉพาะของเราเท่านั้น โหลดโปรแกรม ทำในโน้ตบุ๊ค เหมือนข้อสอบจริงเลย ตัวข้อสอบคิดว่าง่ายเกินกว่าปัจจุบัน
·      Official TOEFL vol.1 4th edition รวมข้อสอบเก่าที่เคยสอบมา มีเล่มละ 5 โจทย์ ความยากใกล้เคียงปัจจุบัน เราซื้อ vol.2 มาด้วยนะ แต่ว่า…อ่านไม่ทันจ้า แหะๆ เพี้ยนเบลอ

ต่อไปก็จะมาสรุปการเตรียมตัวแต่ละพาร์ทนะค้า  

Reading
- วิธีการฝึกในพาร์ท reading ของ จขกท. คือเอาเทคนิคที่เรียนมาใช้ หลักๆคือ เริ่มจากอ่านชื่อเรื่อง และบรรทัดแรกของ paragraph ก่อน ให้พอรู้คร่าวๆ ว่าเป็นเรื่องเกี่ยวกับอะไร จากนั้นไปเลือกทำข้อ vocab ก่อน เพราะโจทย์จะถามประมาณ ว่า synonym ของคำนี้คืออะไร จุดนี้ถ้ารู้ศัพท์เยอะสามารถกาได้เลย แต่แนะนำว่าควรลองเอาคำตอบที่คิดว่าถูก ไปลองแทนใน paragraph ดูว่าเข้ากับ context โดยรอบไหม

- จากนั้นก็ไปเริ่มทำข้อ 1 อ่านไปทำไป เพราะข้อสอบจะถามเรียงตาม paragraph อยู่แล้ว ไม่แนะนำให้อ่านทั้ง paragraph ค่อยมาทำข้อสอบ เพราะอ่านจบก็จะจำไม่ได้อยู่ดี ต้องอ่านใหม่อีก 

- ข้อสอบจะเป็น passage 3-4 passage 54-72 นาที คือถ้าเป็น 4 บทความจะมี 1 บทความที่ไม่ได้เอามาคิดคะแนน เป็นการทดลองข้อสอบเพื่อเอาไปใช้ในอนาคตเฉยๆ ตอนซ้อม ซ้อม 3 บทความตลอด แต่ตอน จขกท สอบครั้งแรก ตอน Timer ขึ้นมาว่า 72  นาที ใจก็คิดว่าเอาแล้ววว เพี้ยนดีออก เจอ 4 passage ไม่เหมือนตอนซ้อม เพราะถ้าซ้อมตอน 3 บทความจะได้ 54 นาที บทความละประมาณ 18 นาทีพอจะกะเวลาถูก เวลาจะเป็นแบบนับถอยหลัง ทำเรื่องแรกต้องเหลืออีก 36 นาที ทำเรื่องที่สองต้องเหลือประมาณ 18 นาที ประมาณนี้ค่ะ ส่วนสอบครั้งสองได้ 3 บทความ ดีขึ้นหน่อย อยากบอกว่าอ่าน 3 หรือ อ่าน 4 passage ความล้ามันต่างกันจริงนะ 

 - ข้อสอบเป็น choice ทั้งหมด มีถาม detail, ถูกทั้งหมดยกเว้นข้อไหน, ผู้เขียนบทความพูดถึงเรื่องนี้ทำไม, choice ไหน closet meaning to คำนี้, มีประโยคมาให้เติม ควรเติมตำแหน่งไหนของบทความดี และสุดท้ายข้อละ 2 คะแนน คือ ให้เลือก 3 จาก 6 ประโยค ว่าอันไหนคือ summary main idea ค่ะ

 - เนื้อเรื่องที่เอามาสอบเป็นบทความจาก text book ในเรื่อง Economics, geology, astronomy, medical, art, sciences ซึ่ง ETS เค้าเคลมว่า เราไม่ต้องมีพื้นฐานในเรื่องนั้นเราก็ทำได้ แต่เอาจริงๆ ถ้าเราได้เรื่องที่พอมี basic มันช่วยให้เรา เก็ท และจะอ่านได้เร็วกว่าจริงๆนะ (อันที่ไม่ชอบเลยคือ astronomy อ่านแล้วปวดตับ TT) 

คะแนน part นี้ รอบแรกได้ 25 คะแนน, รอบสองได้ 26 คะแนนค่ะ

Listening
 - ข้อสอบจะเป็นฟังทั้งหมด 4 เรื่องเป็น conversation 2 เรื่อง คือ นักเรียนคุยกับ professor กับ นักเรียนคุยกับเจ้าหน้าที่ในมหาวิทยาลัย กับ lecture อีก 2 เรื่อง ที่นักศึกษาในมหาลัยเรียนกันจริงๆ เป็นพวกเรื่อง geology astronomy psychology biology art history ประมาณนี้

 - เป็นข้อสอบ choice ทั้งหมด ถ้าทำข้อสอบมาเยอะๆประมาณนึง จะรู้ว่าต้องฟัง และจดอะไร คือเราไม่สามารถจะจดได้ทั้งหมดอยู่แล้ว และถ้ามัวแต่จด อาจจะไม่ทันได้ฟังเนื้อหาที่สำคัญๆ ดังนั้นเราต้องเลือกจด เช่นถ้าฟัง conversation สิ่งที่ต้องจดออกมาให้ได้คือ นร.ไปพบ professor/officer ทำไม ถ้าไปปรึกษาปัญหา อ./เจ้าหน้าที่เสนอแนะอย่างไร ส่วนlecture  ถาม main idea แน่ๆ ถ้าใน lecture มีพูดถึง category แยกย่อย ก็พยายามจดว่าอะไรอยู่อันไหน ถ้าเล่า เหตุการณ์ประวัติศาสตร์ พยายามจดอะไรมาก่อน-หลังประมาณนี้ค่ะ 

 - ตอนฟังให้เราจดโน้ตช่วย ใช้คำย่อ ลูกศร ช่วยให้จดเร็วขึ้น

 - การฝึก listening ของ จขกท คือฟังจากในข้อสอบ เวลาซ้อมสอบแต่ละรอบในเล่ม Barron, Official guide TOEFL iBT  และ Official TOEFL vol.1 ค่ะ

- ฟังช่อง youtube, Podcast ภาษาอังกฤษ โหลดแอพ BBC news, VOA, CNN ฟังข่าวภาษาอังกฤษ ทุกเช้าตอนขับรถไปทำงาน เลิกดูซีรีย์เกาหลีที่ชื่นชอบ ดูหนัง ฟังเพลงภาษาอังกฤษเท่านั้น คือพยายามทำทุกอย่างรอบตัวให้เป็นภาษาอังกฤษทั้งหมด 

คะแนน part นี้ รอบแรกได้ 15 คะแนน, รอบสองได้ 22 คะแนนค่ะ
ตอนคะแนน listening รอบแรกออก คืออึ้ง shock ไปเลยค่ะ แต่อันที่จริงมันก็มีเหตุผลของมันอยู่ จะอธิบายในตอนท้ายนะคะ

Speaking
ข้อสอบเป็น 4 โจทย์ค่ะ
    1. โจทย์ให้พูดแบบคิดเอง ข้อสอบจริงที่ จขกท ได้ถามว่า ควรออกกำลังกายกี่วันต่อสัปดาห์ เพราะอะไรเตรียมตัว 15 วินาที พูดอย่าหยุดค่ะ 45 วินาที
    2. โจทย์ให้อ่านบทความสั้นๆ ประมาณ 45 วินาที เหมือนเป็นประกาศจากมหาวิทยาลัย หรือ นศ.เขียนจดหมายถึงหนังสือพิมพ์ของมหาวิทยาลัย หลังจากนั้นให้ฟัง conversation ระหว่าง นศ. 2 คนว่าเห็นด้วย หรือไม่เห็นด้วย กับบทความที่เขียน ให้เตรียมตัว 30 วินาที พูด 60 วินาที
    3. โจทย์ให้อ่านบทความสั้นๆ ให้เวลา 45 วินาทีอ่าน แล้วฟัง lecture ที่เป็นการยกตัวอย่างแบบเฉพาะเจาะจงของบทความนั้น ให้เวลาเตรียมตัว 30 วินาที พูด 60 วินาที สรุปจากที่อ่าน และพูดถึงตัวอย่างที่ lecture พูด
    4. ให้ฟัง lecture อย่างเดียวล้วนๆ เตรียมตัว 20 วินาที พูด 60 วินาที สรุป lecture ที่ได้ฟัง

    - เวลาฝึก คือ หลังจากเรียน คอร์ส online จบแล้ว เรายังทำข้อสอบไม่ค่อยได้ คือที่เรียนเค้าก็สอนนะ ว่าควรพูดอย่างไร ควรใช้ transition word ใช้คำให้หลากหลาย แต่ปัญหาคือ ด้วยเวลาแค่นั้น คือมันคิดไม่ทันหรอก ดังนั้นดีสุดคือหา template ในการพูดค่ะ ด้วยอานิสงส์ ได้มาเจอกระทู้นี้ 

    https://ppantip.com/topic/37756233 ประสบการณ์และการเตรียมตัว Toefl 70 -> 100+ - Pantip

    เลยใช้ template การพูดตาม notefull บวกกับเราแวะไปที่ช่อง youtube ของ Juva 

    https://www.youtube.com/channel/UCOPB7UX9lyG4U67BQI8LCqw/playlists 

    คือดีมากอ่ะ recommend อย่างยิ่งสำหรับคนจะสอบ TOEFL เราใช้ Template จากทั้งของ notefull และ Juva เอามาปรับเป็นคำที่เข้าปากตัวเอง และตอนฝึก ฝึกจาก template นี้ทุกครั้ง 

   - นอกจากนี้ เราคิดว่านอกจากมี template ที่ดี แล้วตอนสอบ คือเวลามันบีบมากอ่ะ ไหนจะต้องทั้งอ่านจับใจความ ฟัง และเอามาพูดตอบคำถาม โดย based on จากสิ่งที่ทั้งอ่าน และฟัง แล้วต้องพูดออกมาให้รู้เรื่อง ได้ใจความ ดังนั้นเราต้องพยายามซื้อเวลาให้ตัวเองมากสุด วิธีที่ จขกท.ใช้แล้วได้ผลคือ หลังสอบ listening เสร็จ จะมีเบรค 10 นาที ซึ่ง 10 นาทีนี้แหละคือเวลาอันมีค่าของเรา จขกท.ใช้วิธีการ “เขียน” template ทั้งของ part speaking และ writing ลงกระดาษ เพื่อที่จะเวลาสอบใช้วิธีอ่าน-ฟัง จากนั้นเหมือนเติมคำลงในช่องว่างของ template วิธีนี้ช่วยประหยัดเวลาในการเรียบเรียงเนื้อหาที่จะพูดได้ดีมาก ช่วยให้ไม่ลน(มาก) ตอนที่จะพูดด้วย

    - ตอนสอบตื่นเต้นมากค่ะ ให้นึกสภาพห้องหนึ่งห้องที่มีคนพูดพร้อมๆกัน อย่าสนใจคนอื่นค่ะ พูดไปอย่าหยุด

คะแนน part นี้ รอบแรกได้ 17 คะแนน, รอบสองได้ 19 คะแนนค่ะ
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่