คุก 2 ปี'นริศร ทองธิราช'อดีต ส.ส.พท.เสียบบัตรแทนเพื่อน ไม่รอลงอาญา
โดยอัยการโจทก์ระบุฟ้องความผิดสรุปว่า เมื่อวันที่ 10 ก.ย. 2556 เวลากลางวัน มีการประชุมร่วมกันของรัฐสภา วาระที่สอง เพื่อพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติม เวลา 17.33 น. จำเลยนำบัตรอิเล็กทรอนิกส์ซึ่งเป็นบัตรจริงของจำเลยและของสมาชิกรัฐสภารายอื่นหลายใบเสียบเข้าไปในเครื่องออกเสียงลงคะแนนและกดปุ่มเพื่อแสดงตนและลงมติ
ต่อมาวันที่11 ก.ย.2556 เวลา 16.43 น. จำเลยได้นำบัตรอิเล็กทรอนิกส์ซึ่งเป็นบัตรจริงของจำเลยและของสมาชิกรัฐสภารายอื่นจำนวนหลายใบเสียบเข้าไปในเครื่องออกเสียงลงคะแนนและกดปุ่มเพื่อแสดงตนแล้วลงคะแนน ขอให้ลงโทษตามพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตพ.ศ.2543 มาตรา 123/1 พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2561 มาตรา 12 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 9 การกระทำของจำเลยเป็นความผิด ขอให้ลงโทษและนับโทษจำเลยต่อจากโทษจำคุกในคดีอาญาหมายเลขดำที่ อม.8/2565 ของศาลนี้ จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลพิเคราะห์แล้วมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยว่า จำเลยกระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ จำเลยเบิกความรับว่า บุคคลที่ปรากฏในคลิปวีดิทัศน์ คือจำเลย เจือสมกับคำเบิกความของพยาน ศาลส่งคลิปวัดิทัศน์ไปตรวจพิสูจน์แล้วไม่พบร่องรอยการตัดต่อ จึงฟังได้ว่าจำเลยนำบัตรหลายใบเสียบเข้าไปในเครื่องลงคะแนนตามที่ปรากฏภาพในคลิปวีดิทัศน์ทั้ง 3 คลิปจริงซึ่ง พยานโจทก์หลายปากเบิกความว่า บัตรในคลิปวีดิทัศน์เป็นบัตรจริง และมีจำนวนมากกว่า 1 ใบ เหตุที่ทราบว่าเป็นบัตรจริงเนื่องจากเป็นบัตรที่มีรูปถ่าย
การกระทำของจำเลยเป็นการดำเนินการตามขั้นตอนอันส่งผลให้ปรากฎผลการลงคะแนนหลายครั้งสำหรับบัตรแต่ละใบได้ จึงฟังว่าจำเลยลงคะแนนแทนสมาชิกรายอื่น เมื่อไม่มีการออกบัตรใหม่แทนบัตรใบเดิมจึงไม่อยู่ในวิสัยที่จำเลยจะมีบัตรจริงหลายใบดังที่อ้าง บัตรเดิมไม่สามารถลงคะแนนได้จึงไม่มีประโยชน์ที่จำเลยจะต้องนำบัตรที่ถูกยกเลิกแล้วมาใช้บัตรจริงและบัตรสำรองจะแสดงผลการลงคะแนนเพียงครั้งเดียว ซึ่งไม่มีเหตุที่จำเลยจะต้องใส่ทั้งบัตรจริงและบัตรสำรองลงในเครื่องอ่านบัตร ภาพตามคลิปวีดิทัศน์ปรากฎว่ามีสัญญาณไฟกระพริบทุกครั้งที่ใช้บัตรแต่ละใบ แสดงว่าเป็นบัตรอิเล็กทรอนิกส์ลงคะแนนทั้งสิ้น พยานหลักฐานฟังได้ว่า จำเลยลงคะแนนแทนสมาชิกรายอื่นจริง อีกทั้งเสียงที่ปรากฏในคลิปวีดิทัศน์ตรงกับข้อความรายงานการประชุมรัฐสภาซึ่งได้บันทึกถ้อยคำของผู้เข้ารวมประชุมไว้แทบทุกถ้อยคำย่อมนำมาเปรียบเทียบกับเสียงที่ปรากฎในคลิปวีดิทัศน์ได้ ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่า การกระทำของจำเลยตามที่ปรากฏในคลิปวีดิทัศน์เป็นเหตุการณ์ตามฟ้องแม้ต่อมาคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ได้มีประกาศให้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพ.ศ. 2550 สิ้นสุดลง ยกเว้นหมวด 2 แต่ก็หาได้มีผลเป็นการลบล้างว่าไม่มีการกระทำของจำเลยอันชอบด้วยกฎหมายเกิดขึ้น หรือมีผลกลับกลายเป็นว่าการกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิดที่จำเลยอ้างเอกสิทธิ์ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 มาตรา130 วรรคหนึ่ง
ศาลเห็นว่า การใช้เอกสิทธิ์ดังกล่าวต้องชอบด้วยข้อบังคับการประชุมรัฐสภา ตลอดจนอยู่ภายใต้คำปฏิญาณตน เอกสิทธิ์ดังกล่าวจึงมิได้เป็นข้อยกเว้นความรับผิดทางอาญาให้จำเลยสามารถลงมติแทนสมาชิกรัฐสภารายอื่นได้ การกระทำของจำเลยตามฟ้องเป็นการกระทำต่างวันเวลากัน ความผิดในแต่ละคราวอาศัยเจตนาในการกระทำความผิดแยกต่างหากจากกันได้ จึงเป็นความผิด 2 กรรม
พิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 มาตรา 129/1 เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 91
องค์คณะผู้พิพากษาเสียงข้างมากให้ลงโทษจำคุกกระทงละ 1 ปี รวม 2 กระทง เป็น จำคุก 2 ปี คำเบิกความของจำเลยเป็นประโยซน์แก่การพิจารณาอยู่บ้าง มีลดโทษให้ 1ใน 3 ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกกระทงละ 8 เดือน จำนวน 2 กระทง รวมจำคุกจำเลยไว้ทั้งสิ้น 16 เดือน
พิเคราะห์พฤติการณ์แห่งคดีเป็นเรื่องร้ายแรง แม้ไม่ปรากฏว่าจำเลยเคยกระทำความผิดใดๆ มาก่อนก็ไม่มีเหตุเพียงพอที่จะรอการลงโทษแก่จำเลยได้ ส่วนที่โจทก์มีคำขอให้นับโทษจำเลยต่อจากโทษของจำเลยในคดีหมายเลขดำที่ อม.8/2565 ของศาลนี้นั้น เนื่องจากคดีดังกล่าวศาลยังมิได้มีคำพิพากษา คำขอส่วนนี้จึงให้ยก
https://www.naewna.com/politic/681835
อสส.ฟ้องยกก๊วน'ส.ส.เพื่อไทย'ทุจริตฮั้วประมูลปรับปรุงสนามฟุตซอล 15 แห่ง
ไม่รอดอีกราย!!! อสส.ฟ้อง ‘สมหญิง บัวบุตร' ส.ส.เพื่อไทย อำนาจเจริญ กับพวกทุจริตฮั้วประมูลปรับปรุงสนามฟุตซอล 15 แห่ง ก่อนได้ประกันตัว พร้อมรอฟังคำสั่งว่าจะประทับฟ้องคดีไว้พิจารณาหรือไม่ต่อไป
เมื่อวันที่ 22 ก.ย. ที่ศาลฎีกาเเผนกคดีอาญาผู้ดำรงตำเเหน่งทางการเมือง สนามหลวง อัยการสูงสุด(อสส.) ได้เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นางสมหญิง บัวบุตร ส.ส.พรรคเพื่อไทย จ.อำนาจเจริญ กับ พวกรวม 12 คน เป็นจําเลย กรณีทุจริตฮั้วประมูลปรับปรุงสนามฟุตซอล
โดยอัยการโจทก์ฟ้องสรุปว่า จำเลยที่ 1 ขณะดำรงตำเเหน่ง ส.ส.จังหวัดอำนาจเจริญ จำเลยที่ 2 ดำรง ตำแหน่งเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(เลขาฯ สพฐ. ) จำเลยที่ 3 ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงานเขต พื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอำนาจเจริญ
เมื่อระหว่างเดือนพ.ย.2554 ถึงเดือน ม.ค. 2556 จําเลยที่ 1 ร่วมกับจําเลยที่ 2 เข้าไปพิจารณาคำขอเพิ่มเติมงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2555 ของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน จำเลยที่ 1 กำหนดรายชื่อโรงเรียนในเขตพื้นที่ จ.อำนาจเจริญเพื่อให้ได้รับจัดสรรงบประมาณ (งบแปรญัตติ) 15 แห่ง มีการจัดทำบัญชีคุมยอด เชิญ ผอ.โรงเรียนให้เข้าร่วมรับฟังการชี้แจง จำเลยที่ 12 แจกแผ่นซีดี (CD) และตัวอย่างเอกสาร จำเลยที่ 3 เป็นประธานคณะกรรมการกำหนดราคากลาง ได้นำข้อมูลในแผ่นซีดีมากำหนดราคากลาง เป็น เหตุให้ราคากลางสูงและแพงกว่าราคาท้องตลาด จำเลยที่ 3 พิจารณาอนุมัติแบบรูปรายการปรับปรุงสนาม กีฬา (สนามฟุตซอล) และแบบแปลนสนามกีฬาคอนกรีตเสริมเหล็กที่คัดลอกมาจากแผ่นซีดี
ต่อมาโรงเรียน ทั้ง 12 แห่ง ได้ประกาศประกวดราคาจ้างปรับปรุงสนามกีฬาโดยกำหนดช่วงวันเวลาเดียวกัน ใช้สถานที่บริการ ตลาดกลางทางอิเล็กทรอนิกส์แห่งเดียวกันคือ บริษัทป๊อป เนทเวอร์ค จํากัด โดยเป็นรูปแบบเดียวกันตรง ตามที่ได้คัดลอกข้อมูล (COPY) มีกลุ่มผู้ประกอบการที่ยื่นเสนอราคา 3ราย คือ จำเลยที่ 4โดยจำเลยที่ 5 หุ้นส่วนผู้จัดการ จำเลยที่ 6 โดยจำเลยที่ 7 กรรมการผู้จัดการ และจำเลยที่ 8 โดยจำเลยที่ 9 กรรมการผู้จัดการ ซึ่งมีคุณสมบัติไม่ครบถ้วน และมีพฤติการณ์เข้ามายื่นซองประกวดราคาหมุนเวียนเป็นคู่เปรียบเทียบราคากัน ทั้งปลอมเอกสารและใช้เอกสารปลอมหลายรายการในการเสนอราคา เมื่อจำเลยที่ 4และ 6 ก่อสร้างแล้ว เสร็จตามสัญญาจ้างและส่งมอบงานแล้ว ปรากฏว่าสนามกีฬาฟุตซอลไม่สามารถใช้งานได้จริงตามวัตถุประสงค์ เป็นเหตุให้เกิดความเสียหายแก่ทางราชการ
การกระทำของจำเลยทั้ง 12 ราย เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91,151,157(เฉพาะจำเลยที่ 1,4-12มาตรา 86ด้วย) พ.ร.ป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 มาตรา 123/1ประกอบ พรป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561มาตรา 192 (เฉพาะจำเลยที่4-12 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 86) พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิด เกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2542 มาตรา4,7,10-13ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 86 โจทก์จึงขอให้ศาลพิพากษาลงโทษจำเลยตามความผิดด้วย จําเลยทั้ง 12 รายมาศาล และได้รับอนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราว
ทั้งนี้ ศาลฎีกาฯรับคดีไว้พิจารณา หมายเลขดำ ที่ อม.18/2565 และจะนัดฟังคำสั่งว่าจะประทับฟ้องคดีไว้พิจารณาหรือไม่ต่อไป
https://www.naewna.com/politic/681847
ในอนาคต หวังว่าสภาไทยจะมีการพัฒนาส.ส.ให้ไม่ต้องมีคดีแบบนี้อีกนะคะ
🧡มาลาริน🧡ได้แต่ข่าวไม่ดีค่ะ..คุก2ปี อดีตส.ส.เพื่อไทยเสียบบัตรแทนกัน/อสส.ฟ้องยกก๊วน'ส.ส.เพื่อไทย'ทุจริตสนามฟุตซอล
โดยอัยการโจทก์ระบุฟ้องความผิดสรุปว่า เมื่อวันที่ 10 ก.ย. 2556 เวลากลางวัน มีการประชุมร่วมกันของรัฐสภา วาระที่สอง เพื่อพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติม เวลา 17.33 น. จำเลยนำบัตรอิเล็กทรอนิกส์ซึ่งเป็นบัตรจริงของจำเลยและของสมาชิกรัฐสภารายอื่นหลายใบเสียบเข้าไปในเครื่องออกเสียงลงคะแนนและกดปุ่มเพื่อแสดงตนและลงมติ
ต่อมาวันที่11 ก.ย.2556 เวลา 16.43 น. จำเลยได้นำบัตรอิเล็กทรอนิกส์ซึ่งเป็นบัตรจริงของจำเลยและของสมาชิกรัฐสภารายอื่นจำนวนหลายใบเสียบเข้าไปในเครื่องออกเสียงลงคะแนนและกดปุ่มเพื่อแสดงตนแล้วลงคะแนน ขอให้ลงโทษตามพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตพ.ศ.2543 มาตรา 123/1 พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2561 มาตรา 12 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 9 การกระทำของจำเลยเป็นความผิด ขอให้ลงโทษและนับโทษจำเลยต่อจากโทษจำคุกในคดีอาญาหมายเลขดำที่ อม.8/2565 ของศาลนี้ จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลพิเคราะห์แล้วมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยว่า จำเลยกระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ จำเลยเบิกความรับว่า บุคคลที่ปรากฏในคลิปวีดิทัศน์ คือจำเลย เจือสมกับคำเบิกความของพยาน ศาลส่งคลิปวัดิทัศน์ไปตรวจพิสูจน์แล้วไม่พบร่องรอยการตัดต่อ จึงฟังได้ว่าจำเลยนำบัตรหลายใบเสียบเข้าไปในเครื่องลงคะแนนตามที่ปรากฏภาพในคลิปวีดิทัศน์ทั้ง 3 คลิปจริงซึ่ง พยานโจทก์หลายปากเบิกความว่า บัตรในคลิปวีดิทัศน์เป็นบัตรจริง และมีจำนวนมากกว่า 1 ใบ เหตุที่ทราบว่าเป็นบัตรจริงเนื่องจากเป็นบัตรที่มีรูปถ่าย
การกระทำของจำเลยเป็นการดำเนินการตามขั้นตอนอันส่งผลให้ปรากฎผลการลงคะแนนหลายครั้งสำหรับบัตรแต่ละใบได้ จึงฟังว่าจำเลยลงคะแนนแทนสมาชิกรายอื่น เมื่อไม่มีการออกบัตรใหม่แทนบัตรใบเดิมจึงไม่อยู่ในวิสัยที่จำเลยจะมีบัตรจริงหลายใบดังที่อ้าง บัตรเดิมไม่สามารถลงคะแนนได้จึงไม่มีประโยชน์ที่จำเลยจะต้องนำบัตรที่ถูกยกเลิกแล้วมาใช้บัตรจริงและบัตรสำรองจะแสดงผลการลงคะแนนเพียงครั้งเดียว ซึ่งไม่มีเหตุที่จำเลยจะต้องใส่ทั้งบัตรจริงและบัตรสำรองลงในเครื่องอ่านบัตร ภาพตามคลิปวีดิทัศน์ปรากฎว่ามีสัญญาณไฟกระพริบทุกครั้งที่ใช้บัตรแต่ละใบ แสดงว่าเป็นบัตรอิเล็กทรอนิกส์ลงคะแนนทั้งสิ้น พยานหลักฐานฟังได้ว่า จำเลยลงคะแนนแทนสมาชิกรายอื่นจริง อีกทั้งเสียงที่ปรากฏในคลิปวีดิทัศน์ตรงกับข้อความรายงานการประชุมรัฐสภาซึ่งได้บันทึกถ้อยคำของผู้เข้ารวมประชุมไว้แทบทุกถ้อยคำย่อมนำมาเปรียบเทียบกับเสียงที่ปรากฎในคลิปวีดิทัศน์ได้ ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่า การกระทำของจำเลยตามที่ปรากฏในคลิปวีดิทัศน์เป็นเหตุการณ์ตามฟ้องแม้ต่อมาคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ได้มีประกาศให้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพ.ศ. 2550 สิ้นสุดลง ยกเว้นหมวด 2 แต่ก็หาได้มีผลเป็นการลบล้างว่าไม่มีการกระทำของจำเลยอันชอบด้วยกฎหมายเกิดขึ้น หรือมีผลกลับกลายเป็นว่าการกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิดที่จำเลยอ้างเอกสิทธิ์ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 มาตรา130 วรรคหนึ่ง
ศาลเห็นว่า การใช้เอกสิทธิ์ดังกล่าวต้องชอบด้วยข้อบังคับการประชุมรัฐสภา ตลอดจนอยู่ภายใต้คำปฏิญาณตน เอกสิทธิ์ดังกล่าวจึงมิได้เป็นข้อยกเว้นความรับผิดทางอาญาให้จำเลยสามารถลงมติแทนสมาชิกรัฐสภารายอื่นได้ การกระทำของจำเลยตามฟ้องเป็นการกระทำต่างวันเวลากัน ความผิดในแต่ละคราวอาศัยเจตนาในการกระทำความผิดแยกต่างหากจากกันได้ จึงเป็นความผิด 2 กรรม
พิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 มาตรา 129/1 เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 91
องค์คณะผู้พิพากษาเสียงข้างมากให้ลงโทษจำคุกกระทงละ 1 ปี รวม 2 กระทง เป็น จำคุก 2 ปี คำเบิกความของจำเลยเป็นประโยซน์แก่การพิจารณาอยู่บ้าง มีลดโทษให้ 1ใน 3 ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกกระทงละ 8 เดือน จำนวน 2 กระทง รวมจำคุกจำเลยไว้ทั้งสิ้น 16 เดือน
พิเคราะห์พฤติการณ์แห่งคดีเป็นเรื่องร้ายแรง แม้ไม่ปรากฏว่าจำเลยเคยกระทำความผิดใดๆ มาก่อนก็ไม่มีเหตุเพียงพอที่จะรอการลงโทษแก่จำเลยได้ ส่วนที่โจทก์มีคำขอให้นับโทษจำเลยต่อจากโทษของจำเลยในคดีหมายเลขดำที่ อม.8/2565 ของศาลนี้นั้น เนื่องจากคดีดังกล่าวศาลยังมิได้มีคำพิพากษา คำขอส่วนนี้จึงให้ยก
https://www.naewna.com/politic/681835
อสส.ฟ้องยกก๊วน'ส.ส.เพื่อไทย'ทุจริตฮั้วประมูลปรับปรุงสนามฟุตซอล 15 แห่ง
ไม่รอดอีกราย!!! อสส.ฟ้อง ‘สมหญิง บัวบุตร' ส.ส.เพื่อไทย อำนาจเจริญ กับพวกทุจริตฮั้วประมูลปรับปรุงสนามฟุตซอล 15 แห่ง ก่อนได้ประกันตัว พร้อมรอฟังคำสั่งว่าจะประทับฟ้องคดีไว้พิจารณาหรือไม่ต่อไป
เมื่อวันที่ 22 ก.ย. ที่ศาลฎีกาเเผนกคดีอาญาผู้ดำรงตำเเหน่งทางการเมือง สนามหลวง อัยการสูงสุด(อสส.) ได้เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นางสมหญิง บัวบุตร ส.ส.พรรคเพื่อไทย จ.อำนาจเจริญ กับ พวกรวม 12 คน เป็นจําเลย กรณีทุจริตฮั้วประมูลปรับปรุงสนามฟุตซอล
โดยอัยการโจทก์ฟ้องสรุปว่า จำเลยที่ 1 ขณะดำรงตำเเหน่ง ส.ส.จังหวัดอำนาจเจริญ จำเลยที่ 2 ดำรง ตำแหน่งเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(เลขาฯ สพฐ. ) จำเลยที่ 3 ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงานเขต พื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอำนาจเจริญ
เมื่อระหว่างเดือนพ.ย.2554 ถึงเดือน ม.ค. 2556 จําเลยที่ 1 ร่วมกับจําเลยที่ 2 เข้าไปพิจารณาคำขอเพิ่มเติมงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2555 ของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน จำเลยที่ 1 กำหนดรายชื่อโรงเรียนในเขตพื้นที่ จ.อำนาจเจริญเพื่อให้ได้รับจัดสรรงบประมาณ (งบแปรญัตติ) 15 แห่ง มีการจัดทำบัญชีคุมยอด เชิญ ผอ.โรงเรียนให้เข้าร่วมรับฟังการชี้แจง จำเลยที่ 12 แจกแผ่นซีดี (CD) และตัวอย่างเอกสาร จำเลยที่ 3 เป็นประธานคณะกรรมการกำหนดราคากลาง ได้นำข้อมูลในแผ่นซีดีมากำหนดราคากลาง เป็น เหตุให้ราคากลางสูงและแพงกว่าราคาท้องตลาด จำเลยที่ 3 พิจารณาอนุมัติแบบรูปรายการปรับปรุงสนาม กีฬา (สนามฟุตซอล) และแบบแปลนสนามกีฬาคอนกรีตเสริมเหล็กที่คัดลอกมาจากแผ่นซีดี
ต่อมาโรงเรียน ทั้ง 12 แห่ง ได้ประกาศประกวดราคาจ้างปรับปรุงสนามกีฬาโดยกำหนดช่วงวันเวลาเดียวกัน ใช้สถานที่บริการ ตลาดกลางทางอิเล็กทรอนิกส์แห่งเดียวกันคือ บริษัทป๊อป เนทเวอร์ค จํากัด โดยเป็นรูปแบบเดียวกันตรง ตามที่ได้คัดลอกข้อมูล (COPY) มีกลุ่มผู้ประกอบการที่ยื่นเสนอราคา 3ราย คือ จำเลยที่ 4โดยจำเลยที่ 5 หุ้นส่วนผู้จัดการ จำเลยที่ 6 โดยจำเลยที่ 7 กรรมการผู้จัดการ และจำเลยที่ 8 โดยจำเลยที่ 9 กรรมการผู้จัดการ ซึ่งมีคุณสมบัติไม่ครบถ้วน และมีพฤติการณ์เข้ามายื่นซองประกวดราคาหมุนเวียนเป็นคู่เปรียบเทียบราคากัน ทั้งปลอมเอกสารและใช้เอกสารปลอมหลายรายการในการเสนอราคา เมื่อจำเลยที่ 4และ 6 ก่อสร้างแล้ว เสร็จตามสัญญาจ้างและส่งมอบงานแล้ว ปรากฏว่าสนามกีฬาฟุตซอลไม่สามารถใช้งานได้จริงตามวัตถุประสงค์ เป็นเหตุให้เกิดความเสียหายแก่ทางราชการ
การกระทำของจำเลยทั้ง 12 ราย เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91,151,157(เฉพาะจำเลยที่ 1,4-12มาตรา 86ด้วย) พ.ร.ป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 มาตรา 123/1ประกอบ พรป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561มาตรา 192 (เฉพาะจำเลยที่4-12 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 86) พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิด เกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2542 มาตรา4,7,10-13ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 86 โจทก์จึงขอให้ศาลพิพากษาลงโทษจำเลยตามความผิดด้วย จําเลยทั้ง 12 รายมาศาล และได้รับอนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราว
ทั้งนี้ ศาลฎีกาฯรับคดีไว้พิจารณา หมายเลขดำ ที่ อม.18/2565 และจะนัดฟังคำสั่งว่าจะประทับฟ้องคดีไว้พิจารณาหรือไม่ต่อไป
https://www.naewna.com/politic/681847
ในอนาคต หวังว่าสภาไทยจะมีการพัฒนาส.ส.ให้ไม่ต้องมีคดีแบบนี้อีกนะคะ