🇹🇭💙มาลาริน💙🇹🇭9ก.ย.โควิดไทยที่29โลก/ป่วย1,191คน หาย1,327คน ตาย20คน/น้ำท่วมไม่ให้กระทบการบริการปชช./5 โรคที่มากับน้ำ


https://www.bangkokbiznews.com/health/public-health/1025763

เพี้ยนแคปเจอร์ยอดรักษาโควิดลดเหลือ 1.3 หมื่นราย ยังใส่ท่อ 351 คน แนวโน้มขาลงต่อเนื่อง

รักษาโควิดเหลือ 1.3 หมื่นราย ใส่ท่อช่วยหายใจ 351 ราย แนวโน้มกลุ่มป่วยหนักลดลง วันนี้เสียชีวิต 20 ราย เป็นกลุ่ม 608 ทั้งหมด 100% ป่วยใหม่พบ 1.1 พันรายใน 54 จังหวัด
เมื่อวันที่ 9 ก.ย. ศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด 19 (ศบค.) รายงานสถานการณ์โควิด 19 ประจำวัน ว่า วันนี้ผู้ป่วยรายใหม่ทั้ง RT-PCR และ ATK รวม 1,191 ราย สะสม 4,665,347 ราย หายป่วย 1,327 ราย สะสม 4,618,939 ราย เสียชีวิต 20 ราย สะสม 32,503 ราย อยู่ระหว่างการรักษา 13,905 ราย อยู่ รพ.สนามและอื่นๆ 6,403 ราย และอยู่ใน รพ. 7,502 ราย จำนวนนี้มีผู้ป่วยอาการหนัก 697 ราย ใส่ท่อช่วยหายใจ 351 ราย อัตราครองเตียงระดับ 2-3 อยู่ที่ 11.5% ทั้งนี้ ไม่มีรายงานผู้ติดเชื้อในเรือนจำ และมีผู้ติดเชื้อเดินทางจากต่างประเทศ ภาพรวมผู้ป่วยเฉลี่ยรายวัน ผู้ป่วยอาการหนัก ใส่ท่อช่วยหายใจ และผู้เสียชีวิตมีทิศทางลดลง

ผู้เสียชีวิต 20 ราย มาจาก กทม. 3 ราย , สมุทรปราการ นครพนม เชียงใหม่ พิจิตร จังหวัดละ 2 ราย , อุดรธานี ขอนแก่น ชัยภูมิ นครศรีธรรมราช กระบี่ สมุทรสงคราม ลพบุรี นครสวรรค์ และจันทบุรี จังหวัดละ 1 ราย ผู้เสียชีวิตเป็นชาย 10 ราย หญิง 10 ราย อายุ 44-98 ปี อายุเฉลี่ย 83 ปี เป็นผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไปและโรคเรื้อรัง 100% ปัจจัยเสี่ยงที่มีการเสียชีวิตมากที่สุด คือ โรคไต 4 ราย , โรคหัวใจ 4 ราย , มะเร็ง 1 ราย , หลอดเลือดสมอง 1 ราย , ติดเตียง 1 ราย และอ้วน 1 ราย

การฉีดวัคซีนโควิด 19 วันที่ 8 ก.ย. 2565 ฉีดได้ 19,860 โดส สะสม 142,951,344 โดส แบ่งเป็นเข็มแรก 57,279,610 โดส คิดเป็น 82.4% เข็มสอง 53,757,252 โดส คิดเป็น 77.3% และเข็มสามขึ้นไป 31,914,482 โดส คิดเป็น 45.9% สำหรับผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป ฉีดเข็มสามแล้ว 6,461,750 โดส คิดเป็น 50.9% ส่วนเด็กอายุ 5-11 ปี ฉีดเข็มแรก 3,313,018 โดส คิดเป็น 64.3% เข็มสอง 2,449,614 โดส คิดเป็น 47.6% และเข็มสาม 37,248 คิดเป็น 0.7%

ขณะที่กรมควบคุมโรครายงานจำนวนผู้ป่วยโควิด 19 รายใหม่รายจังหวัด พบว่า 10 จังหวัดที่มีผู้ป่วยรายใหม่สูงสุด ได้แก่ 1.กทม. 749 ราย 2.สมุทรปราการ 35 ราย 3.ชลบุรี 28 ราย 4.นครราชสีมา 26 ราย 5.นนทบุรี 25 ราย 6.บุรีรัมย์ 23 ราย 7.ขอนแก่น 20 ราย 8.จันทบุรี 18 ราย 9.สุรินทร์ 18 ราย และ 10.กระบี่ 16 ราย ภาพรวมมีรายงานผู้ป่วย 54 จังหวัด ไม่มีรายงานผู้ป่วย 23 จังหวัด ได้แก่ กำแพงเพชร ชัยนาท ตาก นราธิวาส น่าน บึงกาฬ ปัตตานี พะเยา พังงา พัทลุง พิษณุโลก แม่ฮ่องสอน ยะลา ระนอง ลพบุรี ศรีสะเกษ สกลนคร สุพรรณบุรี สุราษฎร์ธานี สุโขทัย หนองบัวลำภู อำนาจเจริญ และอ่างทอง

https://mgronline.com/qol/detail/9650000086716



วันนี้ (9 กันยายน 2565) นายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า จากสถานการณ์ร่องมรสุมพาดผ่านภาคเหนือตอนบนเข้าสู่พายุโซนร้อน “หมาอ๊อน” ทำให้ประเทศไทยตอนบนมีฝนตกหนักบางแห่งบริเวณภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง ภาคตะวันออก และภาคใต้ฝั่งตะวันตก ส่งผลให้เกิดน้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก น้ำท่วมขัง น้ำล้นตลิ่ง ระหว่างวันที่ 13 ส.ค. – 9 ก.ย. 2565 ในพื้นที่ 27 จังหวัด มีสถานบริการสาธารณสุขที่ได้รับผลกระทบ 16 แห่ง ประกอบด้วย สำนักงานสาธารณสุขอำเภอ 1 แห่ง โรงพยาบาล  2 แห่ง และรพ.สต. 13 แห่ง โดยหน่วยบริการเปิดให้บริการได้ตามปกติ 11 แห่ง เปิดให้บริการบางส่วน 1 แห่ง และต้องปิดให้บริการ 3 แห่ง ซึ่งได้ย้ายจุดบริการไปยังพื้นที่ปลอดภัยเรียบร้อยแล้ว ทั้งนี้ ได้จัดทีมแพทย์ออกปฏิบัติการเชิงรุกประกอบด้วย หน่วยแพทย์เคลื่อนที่ 41 ทีม MERT 2 ทีม miniMERT 24 ทีม CDCU 2 ทีม MCATT 3 ทีม และอื่นๆ 3 ทีม มีผู้เข้ารับบริการรวม 3,849 ราย โดยกองสาธารณสุขฉุกเฉิน สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข ได้ส่งยาช่วยเหลือผู้ประสบภัยลงไปสนับสนุนในพื้นที่ 19 จังหวัด จำนวน 19,100 ชุด 

นายแพทย์เกียรติภูมิ กล่าวต่อว่า สำหรับเหตุการณ์น้ำท่วมบ้านพักพยาบาล โรงพยาบาลแกลง จังหวัดระยอง ได้รับรายงานจากผู้อำนวยการโรงพยาบาลว่า อาคารที่ถูกน้ำท่วมเป็นบ้านพักเก่า 2 ชั้น อยู่ในที่ลุ่ม มีเจ้าหน้าที่ได้รับผลกระทบ 37 คน ขณะนี้ได้จัดที่พักให้ใหม่แล้ว ส่วนอาคารโรงพยาบาลและบริเวณอื่นๆ ไม่ได้รับผลกระทบ สามารถเปิดให้บริการได้ตามปกติ และเหตุการณ์ฝ้าเพดานห้องฉุกเฉินพังลงมา ที่โรงพยาบาลโพธิ์ทอง จังหวัดอ่างทอง เบื้องต้นได้รับรายงานว่า เกิดจากรอยต่อโครงสร้างอาคารที่มีการต่อเติมประกอบกับฝนตกหนักทำให้มีน้ำซึม ไม่มีอุปกรณ์ทางการแพทย์ได้รับความเสียหาย ได้เคลื่อนย้ายอุปกรณ์และเจ้าหน้าที่ออกมาให้บริการบริเวณหน้าห้องฉุกเฉิน สามารถให้บริการได้ตามปกติ สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดอ่างทองได้ประสานสำนักงานโยธาธิการและผังเมืองจังหวัดให้เข้ามาทำการตรวจสอบแล้ว

“ขอให้พื้นที่เสี่ยงเฝ้าระวังติดตามสถานการณ์ เตรียมพร้อมป้องกันน้ำท่วม สำรวจอาคารสถานที่ โดยเฉพาะระบบน้ำประปา ระบบบำบัดน้ำเสีย และระบบสำรองไฟฟ้า เพื่อไม่ให้กระทบการให้บริการประชาชน

https://www.hfocus.org/content/2022/09/25917

เพี้ยนปักหมุด5 โรคภัย ที่มากับน้ำท่วม



เมื่อย่างเข้าสู่ช่วงกลาง ๆ ของฤดูฝนนั้น แน่นอนว่าหลายๆ คน คงจะประสบกับภาวะของน้ำท่วมในบางพื้นที่ ซึ่งนอกจากจะสร้างความเสียหายต่อทรัพย์สินและชีวิตแล้ว ในเรื่องสุขภาพก็เป็นอีกปัจจัยที่จะต้องเผชิญตามมาด้วย ซึ่งเรา ๆ ท่าน ๆ ทั้งหลายนั้น จะต้องเตรียมรับมือให้ดีกับ 5 โรคภัยที่มากับน้ำท่วม

1. โรคน้ำกัดเท้าหรือ ฮ่องกงฟุต
เรียกว่าโรคนี้จะเป็นโรคฮิตประจำการน้ำท่วมเลยก็ว่าได้ โดยจะเริ่มมีอาการคัน นำมาก่อน ซึ่งเกิดจากเชื้อราที่เท้า เมื่อเท้าเปียก ๆ ชื้น ๆ จะเป็นบ่อเกิดของเชื้อราที่เรียกว่า Dermatophytes เนื่องจากเชื้อราจะเจริญเติบโตได้ดีในอากาศชื้น บวกกับ หากเกิดอาการในช่วงน้ำท่วม ซึ่งมักจะเกิดจากเท้าที่เปียกๆ ชื้นๆ บ่อยๆ แล้วไม่ดูแลรักษาความสะอาดให้ดี นั่นคือที่มาของโรคน้ำกัดเท้านั่นเอง
สำหรับอาการของโรคน้ำกัดเท้านั้น จะมีอาการคันในที่ต่างๆ โดยอาจจะเริ่มที่คันตามซอกนิ้วเท้า หรือตรงบริเวณผิวหนัง ซึ่งหากมีการคันที่มากเกินไป ก็จะมีการลอกออกเป็นขุย ๆ เป็นผื่นที่เท้า โดยที่พบบ่อยจะเกิดตรงซอกนิ้ว แต่ก็สามารถลุกลามไปถึงฝ่าเท้าและเล็บได้

ซึ่งการรักษาโรคราที่เท้านั้น ควรล้างเท้าให้สะอาดด้วยสบู่และเช็ดให้แห้ง ใส่ถุงเท้าที่สะอาดและไม่เปียกชื้น ใช้ครีมรักษาเชื้อรา ส่วนการป้องกันโรคก็มีหลักง่าย ๆ คือ หลีกเลี่ยงการแช่อยู่ในน้ำเป็นเวลานานๆ กับ ถ้าจำเป็นจะต้องเดินลุยน้ำหรือแช่น้ำควรสวมรองเท้าบู๊ททุกครั้ง

2. โรคอุจจาระร่วง
ถือว่าเป็นอีกหนึ่งโรคที่มากับภาวะน้ำท่วม โดยการสัมผัสเชื้อจากการกินอาหารหรือดื่มน้ำที่ปนเปื้อนเชื้อโรคจากสิ่งปฏิกูลที่มาจากน้ำท่วม หรือจากการใช้น้ำที่ไม่สะอาดชำระล้างภาชนะใส่อาหาร เช่น ถ้วย ชาม ช้อน ที่ปนเปื้อนปัสสาวะ อุจจาระ ขยะมูลฝอยที่บูดเน่า หรือจากการไม่ล้างมือให้สะอาดก่อนเตรียมหรือปรุงอาหาร จะทำให้เกิดโรคติดต่อทางเดินอาหารต่าง ๆ ได้

สำหรับการป้องกันของโรคนี้นั้น สามารถแบ่งได้ดังนี้
1. ดื่มน้ำสะอาด หรือน้ำบรรจุขวด แต่ถ้าจำเป็นต้องดื่มน้ำที่ท่วม ควรทำการต้มให้สุกก่อน
2. ล้างมือด้วยสบู่ทุกครั้ง ก่อนกินอาหารและหลังการขับถ่าย
3. ภาชนะที่ใส่อาหารควรล้างด้วยน้ำสะอาดก่อนนำมาใช้
4. กินอาหารที่ทำสุกใหม่ ๆ ที่ไม่มีแมลงวันตอม
5. รักษาความสะอาดในเรื่องการกำจัดขยะมูลฝอย การกำจัดอุจจาระ ปัสสาวะที่ถูกต้อง
6. หลีกเลี่ยงการถ่ายอุจจาระในน้ำที่ท่วมเพราะจะทำให้เกิดการแพร่กระจายของเชื้อโรคได้ (ในภาวะน้ำท่วมสูงควรถ่ายใส่ถุงดำแล้วโรยปูนขาว ปิดปากถุงให้แน่น รอเรือเก็บขยะมาเก็บ)
7. ไม่ควรกินยาหยุดถ่ายเองควรปรึกษาแพทย์

3. โรคตาแดง
ในภาวะน้ำท่วมนั้น โรคตาแดงถือว่าเป็นโรคที่เผยแพร่ได้ง่าย โดยอาการตาแดงเกิดจากเชื้อไวรัส แม้ว่าโรคนี้จะไม่ทำให้เป็นอันตรายถึงชีวิต แต่หากไม่รีบรักษาอาจเกิดโรคแทรกซ้อนได้ โดยอาการของโรค ก็จะมีการเคืองตา น้ำตาไหล มีขี้ตามาก อาการจะมีประมาณ 10 วัน

ส่วนสาเหตุที่ทำให้เกิดการตาแดง มีดังนี้คือ
1. ใช้มือสกปรกที่อาจมีเชื้อโรคขยี้ตา
2. ใช้สิ่งของเครื่องใช้ร่วมกับผู้ที่เป็นโรค หรือเล่นกับผู้ป่วย
3. แมลงวันหรือแมงหวี่ตอมตา หรือฝุ่นละอองเข้าตามาก ๆ จนตาอักเสบ
4. อาบน้ำในคลองสกปรก หรือที่มีตาแดงระบาด
สำหรับการป้องกัน คือ ไม่คลุกคลีกับผู้ป่วยโรคตาแดง ล้างหน้าและมือให้สะอาดอยู่เสมอ ไม่ควรเอามือขยี้ตา ส่วนการรักษา คือพักสายตาบ่อย ๆ ประคบตาด้วยผ้าเย็น และเช็ดตาด้วยสำลีชุบน้ำอุ่น

4. โรคฉี่หนู 
“โรคฉี่หนู” ก็เป็นภัยใหญ่สำคัญที่มากับน้ำท่วม โดยเชื้อนี้สามารถพบได้สัตว์หลายชนิด แต่พบมากในหนู ซึ่งผ่านจากฉี่ของหนู และปนเปื้อนอยู่ตามแหล่งน้ำ แล้วเชื้อดังกล่าวนี้ที่อยู่ตามแหล่งน้ำ ก็สามารถเข้าทางผิวหนังของผู้ป่วยที่มีบาดแผล หรือรอยถลอกที่ผิวหนัง และหากบริเวณบาดแผลไปสัมผัสกับน้ำที่มีเชื้อโรคฉี่หนู เชื้อโรคก็จะเข้าสู่ตัวผู้ป่วย และก่อให้เกิดโรคได้

สำหรับสาเหตุนั้น เกิดจากเชื้อ Leptospira interogans ที่มักจะพบการระบาดในเดือนตุลาคม และพฤศจิกายน เนื่องจากเป็นฤดูฝนและมีน้ำขัง ส่วนการติดต่อของโรค จะมาผ่านทางเชื้อที่ปนในน้ำ ในดิน แล้วเข้าสู่คนทางผิวหนัง หรือเยื่อบุ ที่ตา ปาก จมูก โดยหลังจากที่ได้รับเชื้อโดยเฉลี่ย 10 วันผู้ป่วยก็จะเกิดอาการของโรค คือ

- ปวดศีรษะทันที มักจะปวดบริเวณหน้าผาก หรือหลังตา บางรายปวดบริเวณขมับทั้งสองข้าง
- ปวดกล้ามเนื้อมาก โดยเฉพาะบริเวณ ขา น่อง เวลากด หรือจับจะปวดมาก
- ไข้สูงร่วมกับหนาวสั่น อาการต่าง ๆ อาจอยู่ได้ 4-7 วัน
นอกจากมีอาการดังกล่าวที่ว่ามาแล้วนั้น ผู้ป่วยอาจมีอาการเบื่ออาหาร คลื่นไส้อาเจียน บางรายมีอาการถ่ายเหลว ปวดท้อง การตรวจร่างกายในระยะนี้อาจพบว่าผู้ป่วยมีอาการตาแดง ซึ่งถ้าเป็นโรคดังกล่าวนั้น ให้ผู้ป่วยไปพบแพทย์เพื่อรับการตรวจวินิจฉัย และยาที่มักจะได้รับ คือ ยาปฏิชีวนะ เช่น เพนนิซิลิน หรือ doxycycline แต่อย่างไรก็ตาม ห้ามซื้อยารับประทานเองเด็ดขาดเพราะอาจเกิดอันตรายถึงชีวิตได้
การป้องกัน
- ทำการหลีกเลี่ยงการว่ายน้ำ แช่หรือลุยในน้ำที่อาจปนเปื้อนเชื้อปัสสาวะของสัตว์นำโรค ถ้าจำเป็นควรสวมรองเท้าบู๊ท
- ล้างเท้าหรือส่วนที่แช่อยู่ในน้ำเมื่อขึ้นจากการแช่น้ำทุกครั้งและรีบอาบน้ำทำความสะอาดร่างกายทันที
- เมื่อมีอาการน่าสงสัย เช่น มีไข้ ปวดศรีษะรุนแรง ปวดกล้ามเนื้อน่อง โคนขา หลังหรือมีอาการตาแดง ให้รีบพบแพทย์ด่วน

5. โรคเครียด
ในภาวะเช่นนี้ ทุกคนที่ประสบภัยน้ำท่วม หรือกำลังอยู่ในที่ที่มีความเสี่ยงที่อาจถูกน้ำท่วม ก็จะเกิดภาวะเครียดเป็นธรรมดา จะมากหรือน้อยขึ้นกับหลายปัจจัย เช่น ปัจจัยส่วนตัวของผู้นั้นเองว่ามีความมั่นคงทางอารมณ์มากน้อยเพียงใด แก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าได้ดีเพียงใด และอีกปัจจัยที่มีผลต่อความรุนแรงของความเครียด คือขนาดของความเสียหาย หากขนาดของความเสียหายมาก ก็มีโอกาสที่จะมีความเครียดรุนแรงได้

ซึ่งถ้าหากมีอาการเครียดมากจนทำให้การทำกิจวัตรประจำวันเสียไป นอนไม่หลับ ก็ควรไปพบแพทย์ เพื่อรับคำแนะนำ และแพทย์อาจให้ยาคลายเครียดช่วย ในรายที่มีอาการมาก จนรบกวนการดำรงชีวิตประจำวัน และในรายที่อาการมาก อาจต้องพบจิตแพทย์

ขอบคุณข้อมูลจาก : คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล

https://mgronline.com/goodhealth/detail/9650000079247

ติดตามข่าวโควิดวันนี้ค่ะ....
แก้ไขข้อความเมื่อ
คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 8

[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
รวมสไลด์แถลงสถานการณ์โควิด-19 จาก ศบค.
วันศุกร์ที่ 9 กันยายน 2565
https://www.facebook.com/informationcovid19/posts/pfbid0298UJQEaN1vrbxU3WfdPy6kwYhLkgZiXobJGXCQGeJKG1BSdiq3VZgwwxDmywhxb7l


จำนวนการได้รับวัคซีนสะสม (28 ก.พ. 2564 - 8 ก.ย. 2565)
รวม 142,951,344 โดส ใน 77 จังหวัด

ภาพรวมยอดฉีดวัคซีน วันที่ 8 กันยายน 2565
ยอดฉีดทั่วประเทศ 19,860 โดส

เข็มที่ 1 : 2,874 ราย
เข็มที่ 2 : 3,959 ราย
เข็มที่ 3 : 13,027 ราย

จำนวนผู้ได้รับวัคซีน เข็มที่ 1 สะสม : 57,279,610 ราย
จำนวนผู้ได้รับวัคซีน เข็มที่ 2 สะสม : 53,757,252 ราย
จำนวนผู้ได้รับวัคซีน เข็มที่ 3 สะสม : 31,914,482 ราย

แหล่งข้อมูล : MOPH-IC
https://www.facebook.com/informationcovid19/posts/pfbid0zdPRbxJpazaNF8beVMZs7iTDdnHhj6YsEwkKrvvx83qhb4TuEFX8zuYk8unJyxUEl


รายละเอียดผู้เสียชีวิตของประเทศไทย
วันศุกร์ที่ 9 กันยายน 2565 จำนวน 20 ราย
แหล่งข้อมูล : กระทรวงสาธารณสุข
https://www.facebook.com/informationcovid19/posts/pfbid02NqxVKEReRMGqh4PXHkFdsC47DHqBxWB8EaaHK4HEfF1r4RWCkZQeRKjrsfM2aaVbl


ติดโควิดแล้วมีอาการไอ เจ็บคอ ให้ดื่มน้ำมาก ๆ เพื่อละลายและขับเสมหะ การดื่มน้ำขิงใส่มะนาวหรือน้ำผึ้งช่วยลดอาการได้
หลีกเลี่ยงอาหารระคายคอ ของทอด ของมันและกินยาแก้ไอตามคำแนะนำแพทย์ หากเจ็บคอร่วมให้กินยาแก้เจ็บคอ หรือยาสมุนไพร

ที่มา : กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข
https://www.facebook.com/informationcovid19/posts/pfbid0w9ZrBRZJxoLtWDGT2Fo1KkNEgXzMv1iWhb1bVz4fybNV1E9oU6VLZVnqq2unFh8Jl


ลงนามแล้ว !!
กรมควบคุมโรค ลงนามสัญญาจัดหาวัคซีนไฟเซอร์ 3 ล้านโดส
เด็กอายุ 6 เดือนถึงอายุน้อยกว่า 5 ปี ป้องกันโควิดได้สูง ร้อยละ 80.3

นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค เปิดเผยว่า ได้ลงนามสัญญาจัดหาวัคซีนโควิด 19 (ไฟเซอร์) ฝาจุกสีม่วงแดงจำนวน 3 ล้านโดส กับทางบริษัท ไฟเซอร์ (ประเทศไทย) จำกัด เป็นที่เรียบร้อย เพื่อใช้ฉีดป้องกันโควิด 19 ในเด็กอายุ 6 เดือนถึงอายุน้อยกว่า 5 ปี โดยวัคซีนมีปริมาณโดสละ 0.2 มิลลิลิตร ซึ่งเท่ากับ 3 ไมโครกรัม รวมทั้งสิ้น 3 เข็มต่อคน หลังจากฉีดเข็มที่ 1 จะเว้นระยะห่าง 3 สัปดาห์ แล้วฉีดเข็มที่ 2 จากนั้นเว้นระยะอีก 8 สัปดาห์ จึงจะฉีดเข็มที่ 3 ซึ่งมีแผนการกระจายวัคซีนไปทุกจังหวัดเมื่อได้รับการส่งมอบวัคซีนล็อตแรกจำนวน 1 ล้านโดสในเดือนตุลาคม 2565 โดยวัคซีนสามารถป้องกันโรคโควิด 19 ได้สูงร้อยละ 80.3 ซึ่งเด็กเล็กในวัยนี้เป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อและแพร่เชื้อโควิดสูงเนื่องจากยังไม่สามารถดูแลป้องกันตนเอง การที่เด็กได้รับวัคซีนจะช่วยลดโอกาสของการเจ็บป่วยในเด็กกลุ่มนี้และอีกทั้งลดการแพร่เชื้อไปยังผู้สูงอายุในครอบครัวอีกด้วย

ที่มา : กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข
https://www.facebook.com/informationcovid19/posts/pfbid0ZVyi5MNRVerd7z9sSRLm8g2LkZRFKBGx9ooxC7rhBCzL9xCpsTcFV8LcDKjvMQepl


ปรับโควิด 19 เป็นโรคติดต่อที่ต้องเฝ้าระวัง เริ่ม 1 ต.ค. 65
ย้ำ !! กลุ่มเสี่ยงรีบมารับวัคซีนเข็มกระตุ้น ป้องกันป่วยหนัก เสียชีวิต
https://www.facebook.com/permalink.php?story_fbid=pfbid02iMozhgVt3QFKWYExEbGAuMBAwYqTwsnjR81mHiNW1wL4z7aJ5s27aQSjC7Ay1N9Zl&id=100068069971811


ฉีดตามความสมัครใจ

ผู้ปกครองเตรียมพาบุตรหลาน อายุ 6 เดือน - น้อยกว่า 5 ปี เข้ารับวัคซีนโควิดได้ในช่วงเดือนตุลาคม เป็นต้นไป ที่จุดบริการวัคซีนพื้นฐานในโรงพยาบาล

ตามที่ ครม. ได้อนุมัติให้กรมควบคุมโรคดำเนินการปรับเปลี่ยนสัญญาจัดซื้อวัคซีนไฟเซอร์ ซึ่งตามสัญญาเดิมผู้ผลิตต้องจัดส่งวัคซีนรวม 30 ล้านโดส โดยขณะนี้เหลือการจัดส่งอีก 3.6 ล้านโดส ให้ปรับเปลี่ยนจำนวน 3 ล้านโดสเป็นวัคซีนสำหรับเด็ก 6 เดือน – น้อยกว่า 5 ปี (ฝาจุกสีม่วงแดง)

กรมควบคุมโรคได้ลงนามการเปลี่ยนแปลงในสัญญากับบริษัทไฟเซอร์ ประเทศไทยเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทั้งนี้ กรมควบคุมโรคได้แจ้งแผนการรับมอบวัคซีนว่าจะได้รับวัคซีนล็อตแรก 1 ล้านโดสในเดือนตุลาคม จากนั้นจะทยอยกระจายวัคซีนไปทุกจังหวัดทั่วประเทศ

โดยการให้วัคซีนจะดำเนินการผ่านโรงพยาบาลซึ่งโดยปกติพ่อแม่ผู้ปกครองจะนำเด็กช่วงอายุ 6 เดือน – น้อยกว่า 5 ปี ไปรับวัคซีนพื้นฐานอยู่แล้ว จึงให้เป็นจุดให้บริการฉีดวัคซีนโควิด-19 ด้วย และการให้วัคซีนจะเป็นไปตามความสมัครใจของผู้ปกครอง โดยโรงพยาบาลจะสอบถามความสมัครใจและให้ข้อมูลที่เพียงพอแก่ผู้ปกครองต่อไป

ขอให้พ่อแม่ผู้ปกครองที่มีบุตรหลานในช่วงอายุ 6 เดือน – น้อยกว่า 5 ปี ติดตามข้อมูลข่าวสารจากกระทรวงสาธารณสุข และเตรียมนำบุตรหลานเข้ารับวัคซีนในโรงพยาบาลได้ในช่วงเดือนตุลาคมเป็นต้นไป

ซึ่งวัคซีนจะสามารถป้องกันบุตรหลานซึ่งอยู่ในวัยที่ยังไม่สามารถดูแลป้องกันตนเองได้จากโรคโควิด 19 ได้ถึงร้อยละ 80.3 ซึ่งนอกจากจะลดโอกาสของการเจ็บป่วยในเด็กแล้วยังเป็นการลดโอกาสการแพร่เชื้อจากเด็กไปยังผู้สูงอายุในครอบครัว

สำหรับปริมาณวัคซีนที่จะให้เด็กกลุ่มดังกล่าวนี้จะให้เข็มละ 0.2 มิลลิลิตร หรือ 3 ไมโครกรัม รวมทั้งสิ้น 3 เข็มต่อคน ซึ่งหลังจากฉีดเข็มที่ 1 แล้วจะเว้นระยะห่าง 3 สัปดาห์ แล้วฉีดเข็มที่ 2 จากนั้นเว้นระยะอีก 8 สัปดาห์ จึงจะฉีดเข็มที่ 3
https://www.facebook.com/PMOCNEWS/posts/pfbid02wAz8gqUDbZcEFUXLmBJdyH367UZ6p5SjZm6YZQfrWqPptxeZfb3i23k5aaxrCKmSl


โมเดอร์นา มาเพิ่ม! ไปฉีดได้เลยที่ศูนย์ฉีดวัคซีนบางซื่อ 10-18 ก.ย.นี้

ศูนย์ฉีดวัคซีนกลางบางซื่อ พร้อมให้บริการฉีดวัคซีนโมเดอร์นาเพิ่มเติมสำหรับผู้มีอายุ 18 ปี ทุกสัญชาติ วันที่ 10-18 กันยายน 2565 เวลา 9.00 - 15.00 น. ติดต่อประตู 2

มีเงื่อนไขคือ บริการฉีดเข็ม 1 ด้วยโมเดอร์นา แต่ไม่มีบริการนัดเข็ม 2 ส่วนผู้ฉีดโมเดอร์นา ตั้งแต่เข็ม 2 ขึ้นไป ต้องมีระยะห่างดังนี้ เข็ม 2 ห่างจากเข็ม 1 อย่างน้อย 28 วัน เข็ม 3 ห่างจากเข็ม 2 อย่างน้อย 90 วัน เข็ม 4 ขึ้นไป ห่างจากเข็มก่อนหน้าอย่างน้อย 120 วัน

สำหรับผู้ที่จองคิวเข็ม 3,4,5,6 เป็นวัคซีนไฟเซอร์ไว้ สามารถแจ้งเจ้าหน้าที่ตอนลงทะเบียนเปลี่ยนเป็นวัคซีนโมเดอร์นาได้

ทั้งนี้ วัคซีนโมเดอร์นาที่ได้รับจัดสรรมามีจำนวนจำกัด ทางศูนย์ของสงวนสิทธิหยุดให้บริการฉีดวัคซีนโมเดอร์นาโดยไม่ต้องแจ้งล่วงหน้าเมื่อวัคซีนหมด
https://www.facebook.com/Rachadaspoke/posts/pfbid02uTH3d335qWtMFDjKc4qSrP1Cuwer9XWrqe8Jz3zNqkvCubCQE4JUgCk9qekUWM3Kl


ข่าวดี! ‘ประกันสังคม’ ขยายเวลาฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ ปี 65 ฟรี ให้ผู้ประกันตนอายุ 50 ปีขึ้นไป ถึงสิ้นปีนี้

สำนักงานประกันสังคมขยายเวลาฉีดวัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ ให้แก่ผู้ประกันตนมาตรา 33 และผู้ประกันตนมาตรา 39 ที่มีอายุตั้งแต่ 50 ปีขึ้นไป จนถึงวันที่ 31 ธ.ค.65 โดยสามารถเข้ารับการฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ได้ที่สถานพยาบาลตามสิทธิของผู้ประกันตนได้ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย

สำหรับผู้ประกันตนอายุตั้งแต่ 50 ปีขึ้นไป ที่มีความประสงค์จะฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ควรติดต่อนัดหมายการฉีดวัคซีนกับสถานพยาบาล ก่อนเข้ารับบริการ กรณีสถานพยาบาลตามสิทธิของผู้ประกันตนไม่มีวัคซีนไข้หวัดใหญ่ สามารถติดต่อสำนักงานประกันสังคมโทรศัพท์ 0 2956 2500-10 ผู้ประกันตนสามารถฉีดวัคซีนโควิด-19 พร้อมกับวัคซีนไข้หวัดใหญ่โดยไม่ต้องเว้นระยะห่าง แต่หากมีโรคประจำตัวหรือมีประวัติการแพ้วัคซีน แนะนำให้ปรึกษาแพทย์ก่อนการเข้ารับบริการ

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.sso.go.th หรือโทรสายด่วน 1506 ให้บริการทุกวันตลอด 24 ชั่วโมง
https://www.facebook.com/Sumnakkaow.PRD/posts/pfbid0YscRbs3UM87nmshVM1yxLr1VBRcUAeYi5uUSpNrSAwiyM8yFopEqcYQ5usszz8fWl


ไปฉีดได้เลย! ขยายเวลาฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ฟรี! ถึง 30 ก.ย.นี้ สำหรับประชาชน 7 กลุ่มเสี่ยง ทุกสิทธิรักษา

สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ขยายเวลาฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ฟรี! สำหรับประชาชนทุกสิทธิรักษาที่อยู่ใน 7 กลุ่มเสี่ยง ถึงวันที่ 30 กันยายน 2565 นี้ ติดต่อที่เข้ารับบริการได้ที่สถานพยาบาลในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติทุกแห่ง ได้แก่ โรงพยาบาลรัฐ รพ.สต. ศูนย์บริการสาธารณสุขในพื้นที่ กทม. คลินิกเอกชนและโรงพยาบาลที่เข้าร่วม

สำหรับ 7 กลุ่มเสี่ยง ที่สามารถเข้ารับบริการฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ฟรี ได้แก่
1. หญิงตั้งครรภ์ อายุครรภ์ 4 เดือนขึ้นไป (ให้บริการตลอดทั้งปี)
2. เด็กอายุ 6 เดือน ถึง 2 ปีทุกคน
3. ผู้มีโรคเรื้อรัง ดังนี้ ปอดอุดกั้นเรื้อรัง หอบหืด หัวใจ หลอดเลือดสมอง ไตวาย ผู้ป่วยมะเร็งที่อยู่ระหว่างการได้รับเคมีบำบัด และเบาหวาน
4. บุคคลที่มีอายุ 65 ปีขึ้นไป
5. โรคธาลัสซีเมียและผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง (รวมผู้ติดเชื้อ HIV ที่มีอาการ)
6. โรคอ้วน (น้ำหนักมากว่า 100 กิโลกรัม หรือ BMI มากกว่า 35 กิโลกรัมต่อตารางเมตร)
7. ผู้พิการทางสมองที่ช่วยเหลือตนเองไม่ได้

สอบถามเพิ่มเติมได้ที่สายด่วน สปสช. 1330 หรือไลน์ สปสช. @nhso
https://www.facebook.com/Rachadaspoke/posts/pfbid0Wb95hGBx5QkTNy6cj8EkMDHcCHpv1SgvYFvRmmxLrwxeWELgGPWiD2F5BWVTgqqGl
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่