ฝนตกหนักราคาผัก-ผลไม้เพิ่มดันราคาอาหาร เงินเฟ้อพุ่งตาม
https://www.pptvhd36.com/news/เศรษฐกิจ/180048
อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเดือน ส.ค. เพิ่มขึ้นที่ 7.9% จากราคาหมวดอาหารที่ปรับสูงขึ้น ขณะที่ในช่วงที่เหลือของปี 2022 มีแนวโน้มอยู่ในระดับสูง
อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเดือน ส.ค. อยู่ที่ 7.9% เร่งขึ้นจากเดือนก่อนที่ 7.6% ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 14 ปี สอดคล้องนักวิเคราะห์คาดไว้ที่ 7.85% ปัจจัยหลักจากราคาอาหารสดที่ปรับเพิ่มขึ้นมาสู่ระดับ 10.3% เทียบกับ 7.8% เมื่อเดือน ก.ค. จากฝนตกหนักและน้ำท่วมในพื้นที่เพาะปลูกส่งผลให้ราคาผักและผลไม้ปรับสูงขึ้น และจากราคาต้นทุนวัตถุดิบที่อยู่ในระดับสูงส่งผลให้ราคาไข่และเนื้อสัตว์ปรับสูงขึ้น
นอกจากนี้ อัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน (ไม่รวมหมวดอาหารสดและพลังงาน) เร่งตัวขึ้นมาสู่ระดับ 3.2% เทียบกับ 3.0%
เมื่อเดือน ก.ค. ตามราคาในหมวดอาหารและเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ที่ปรับสูงขึ้น อย่างไรก็ตาม ราคาพลังงานลดลงตามราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกที่ชะลอตัวตามความกังวลต่อภาวะเศรษฐกิจโลกที่อ่อนแรงลงในช่วง 8 เดือนแรกของปี 2565 อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ยอยู่ที่ 6.1% ขณะที่ อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานเฉลี่ยอยู่ที่ 2.2%
อัตราเงินเฟ้อในช่วงที่เหลือของปียังอยู่ในระดับสูง และอาจทำให้อัตราเงินเฟ้อทั้งปี 2022 มีแนวโน้มสูงกว่าประมาณการเดิม
ซึ่งประมาณการณ์เดิมคือ 6.1% สาเหตุสำคัญจากแนวโน้มต้นทุนที่อยู่ในระดับสูงเป็นระยะเวลานานส่งผลให้ราคาสินค้าที่เพิ่มขึ้นกระจายตัวไปยังหลายหมวดมากขึ้น สะท้อนจากอัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน (หักอาหารสดและพลังงาน) ที่เร่งตัวขึ้น 3.2% โดยอัตราเงินเฟ้อหมวดอาหารเพิ่มขึ้นตามต้นทุนวัตถุดิบที่สูงขึ้น
และหมวดที่อยู่อาศัยเพิ่มขึ้นจากค่ากระแสไฟฟ้าและราคาก๊าซหุงต้มที่ปรับสูงขึ้น มองไปในช่วงที่เหลือของปี คาดว่าการส่งผ่านต้นทุนผู้ประกอบการไปยังราคาสินค้าและบริการมีแนวโน้มทยอยเพิ่มขึ้นจากต้นทุนวัตถุดิบที่อยู่ในระดับสูง สอดคล้องกับดัชนีราคาผู้ผลิตที่เพิ่มขึ้นสูงในอัตราเลขสองหลัก ทั้งนี้ต้องจับตาการปรับเพิ่มขึ้นของค่าไฟฟ้าในงวดเดือน ก.ย.–ธ.ค. และการปรับเพิ่มขึ้นของอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ ที่จะทยอยส่งผ่านและสร้างแรงกดดันต่อเงินเฟ้อในระยะต่อไปข้างหน้า
เริ่มไม่สบายใจ! สรท. ชี้ส่งออกไทยเจอศึกนอกศึกในรุมเร้า ขึ้นค่าไฟ-ค่าแรง คาดทั้งปีโตแค่ 8%
https://www.khaosod.co.th/economics/news_7250975
สรท. ชี้ส่งออกไทยอ่วม ศึกนอกศึกในรุมเร้า ทั้งขึ้นค่าไฟ-ค่าแรง คาดทั้งปีโตแค่ 8% – อ้อนตรึงค่าเอฟทียาวถึงปีหน้า พร้อมตรึงดีเซลให้นานที่สุด
สรท.ชี้ส่งออกอ่วม – นาย
ชัยชาญ เจริญสุข ประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.) เปิดเผยถึงภาวะการค้าระหว่างประเทศของไทยเดือนก.ค. 2565 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน พบว่า การส่งออกมีมูลค่า 23,629.3 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัว 4.3% การนำเข้ามีมูลค่า 27,289.8 ล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัว 23.9% ส่งผลให้ไทยขาดดุลเท่ากับ 3,660.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
ส่วนการส่งออกช่วง 7 เดือน (ม.ค.-ก.ค.) ปี 2565 มีมูลค่า 172,814.1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัว 11.5% ขณะที่การนำเข้ามีมูลค่า 182,730.4 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัว 21.4% ส่งผลให้ไทย ขาดดุลเท่ากับ 9,916.3 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
“การส่งออกช่วง 11 เดือนที่ผ่านมาโต 2 หลัก แต่เดือนก.ค. ตกหลุมอากาศโตแค่ 4.3% เนื่องจากตลาดยุโรปและจีนเริ่มชะลอตัว ลดคำสั่งซื้อ ขณะที่การส่งออกยานยนต์ยังมีปัญหาขาดแคลนชิบ ยางพาราส่งออกได้ลดลงโดยเฉพาะถุงมือยาง จากปัญหาโควิด-19 ที่เริ่มคลี่คลาย ขณะที่ราคาน้ำมันยังทรงตัวสูง ส่วนการส่งออกอาหารยังคงเติบโตได้ต่อเนื่องโดยเฉพาะน้ำตาลทราย และอาหาร”
นาย
ชัยชาญ กล่าวว่า สรท. จะยังไม่ปรับประมาณการส่งออกทั้งปีจะคงเป้าเดิมที่ 8% คิดเป็นมูลค่า 292,867 ดอลลาร์สหรัฐ ภายใต้สมมติฐานราคาน้ำมันอยู่ระหว่าง 100-115 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล อัตราแลกเปลี่ยนระหว่าง 33.5-34.5 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ เนื่องจากมีปัจจัยลบมาก ได้แก่ อัตราเงินเฟ้อโลกยังคงทรงตัวสูง กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) คาดการณ์เงินเฟ้อปี 2565 ประเทศพัฒนาที่ 6.6% และกำลังพัฒนาอยู่ที่ 9.5% ส่งผลให้ค่าครองชีพเพิ่มสูงขึ้น กำลังซื้อผู้บริโภคในระดับกลางและล่างทั่วโลก มีสัญญาณชะลอตัว ราคาพลังงานยังสูง, ค่าระวางขนส่งสินค้าทางทะเลทรงตัวสูง และยังมีปัญหาต้นทุนวัตถุดิบขาดแคลนและราคาผันผวน อาทิ เซมิคอนดักเตอร์ เหล็ก ธัญพืช ขณะที่ปัจจัยบวกมีเพียง 2 เรื่องคือ การอ่อนค่าของเงินบาท และความต้องการนำเข้าอาหารของโลกที่เพิ่มสูงขึ้นเท่านั้น
“ขณะนี้การส่งออกไทยมีปัจจัยลบมากกว่าบวก ผู้ส่งออกเริ่มไม่สบายใจ เพราะมีทั้งศึกนอกและศึกในรุมเร้าเยอะไปหมด ทั้งคือราคาพลังงานโลกและเงินเฟ้อสูง ค่าระวางเรือที่ยังแพง และยังมีศึกในที่เข้ามาอีก ทั้งการเตรียมปรับขึ้นค่าไฟฟ้าและค่าจ้างแรงงานในเดือนต.ค. นี้ กระทบต้นทุนการผลิตและความสามารถแข่งขันการส่งออกมาก อยากให้รัฐบาลเข้ามาช่วยเหลือตรึงค่าเอฟที ทั้งภาคการผลิตและครัวเรือนออกไปจนถึงปีหน้า และตรึงราคาดีเซลให้นานที่สุด เพื่อลดภาระต้นทุนไม่ให้สูงเกินไป รวมทั้งอนุญาตให้เอกชนปรับขึ้นราคาสินค้าและบริการให้สอดคล้องกับต้นทุนการผลิตที่แท้จริงให้สามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้”
อดีตขุนคลังตอกย้ำ8ปี ‘รัฐบาลประยุทธ์’ เป็นช่วงเวลาแห่งความสูญเปล่า
https://www.dailynews.co.th/news/1439217/
อดีตขุนคลัง "สุชาติ ธาดาธำรงเวช" ตอกย้ำ 8 ปี "รัฐบาลประยุทธ์" เป็นช่วงเวลาแห่งความสูญเปล่า ทำให้ประเทศถอยหลังไปไกลทั้งด้านเศรษฐกิจ-สังคม-การเมือง อย่างไม่น่าเชื่อ!
เมื่อวันที่ 6 ก.ย. ศ.ดร.
สุชาติ ธาดาธำรงเวช อดีต รมว.คลัง กล่าวถึงการทำรัฐประหารเมื่อปี 57 และการเป็นนายกรัฐมนตรีในช่วง 8 ปีที่ผ่านมาของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ว่า
1. ในช่วง 8 ปีที่ผ่านมา นับตั้งแต่ปี 57 รัฐบาล พล.อ.
ประยุทธ์ได้ทำให้ประเทศถอยหลังไปไกล ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง อย่างไม่น่าเชื่อ
2. พล.อ.
ประยุทธ์มาจากการทำรัฐประหาร ทั่วโลกไม่ยอมรับ ปัจจุบันมีเพียงเกาหลีเหนือ เมียนมา และแอฟริกา 2-3 ประเทศเท่านั้น ที่มาจากการรัฐประหาร ประเทศไทยจึงมีเงินเข้ามาลงทุนน้อยมาก การค้าขายกับต่างประเทศลดน้อยลงมาก ทำให้ประเทศไทยไม่เจริญเติบโต
3. ตัวผู้นำขาดสติปัญญา เป็นคนพาลคนหลง โมโหโทโส ชอบปัดความรับผิดชอบ ชอบโยนความผิดให้คนอื่น ไม่ฟังความเห็นผู้อื่น ทีมงานก็ล้วนขาดความรู้ความสามารถ
4. นโยบายเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง จึงผิดทิศทางหมด ถอยหลังไปสู่ยุคขุนศึก ศักดินานายทุนผูกขาด จนเยาวชนรุ่นใหม่ออกมาเรียกร้อง เพราะไม่เห็นอนาคตของชาติ รัฐบาลกลับสร้างข้อหาจับคนรุ่นใหม่ที่เป็นอนาคตของชาติ ไปกักขัง ไม่ให้ประกันเป็นจำนวนมาก 5.นักลงทุนทั่วโลกไม่เข้ามาเพราะผู้นำประเทศไม่มีเครดิต ไม่มีสติปัญญา พวกเขาเกรงกลัวว่ารัฐบาลจะทำให้เขาเสียหายได้มาก
6. ผู้นำยึดติดอยู่กับอำนาจ แม้ถูกสั่งให้พักงานแล้ว ยังไปใช้ตำแหน่งที่ลดลง เพื่อพยายามยื้ออยู่ต่อไป ดูแล้วน่าสงสาร
7. ในด้านเศรษฐกิจ แทบไม่มีโครงการลงทุนใดๆ ทั้งโครงสร้างบริการพื้นฐาน โครงการเศรษฐกิจสมัยใหม่ในยุคดิจิตัล เศรษฐกิจเจริญเติบโตต่ำมากในช่วง 8 ปีที่ผ่านมา เฉลี่ยเพียงร้อยละ 1% กว่าๆต่อปี คนรุ่นใหม่จบมาไม่มีงานทำ คนที่ทำงานอยู่แล้วถูกให้ออกจากงาน แต่รัฐบาลกลับไปสร้างหนี้มากมายกว่า 5 ล้านล้านบาท มากกว่าหนี้ทั้งหมดของรัฐบาลในอดีตรวมกัน หนี้รัฐบาลเกินกว่า 10 ล้านล้านบาทแล้ว คือเกินกว่า 60% ของจีดีพี และกำลังเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว หนี้ที่สร้างขึ้น ก็เป็นการเอาเงินที่รัฐบาลไปกู้มา ไปแจกจ่ายเพื่อการบริโภค จึงเป็นหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ เอามาซื้ออาวุธที่ใช้ไม่ได้ เช่น เรือดำน้ำไม่มีเครื่องยนต์ เอามาจ้างคนทำราชการโดยไม่ต้องทำงาน แม้เงินให้ยืมเพื่อการศึกษา กยศ. ก็คิดดอกเบี้ยสูง ไล่ยึดทรัพย์สินผู้ค้ำประกัน จนเด็กและเยาวชนไทยไม่มีอนาคต
8. รัฐบาลปล่อยราคาสินค้าขึ้นมากมาย น้ำมัน แก๊สหุงต้ม ขึ้นราคาจนแพงที่สุดแล้ว เงินเฟ้อสูงกว่า 7.5% สินค้าต่างๆ พาเหรดกันขึ้นราคา ค่าไฟฟ้า 4.72 บาทต่อหน่วยแล้ว รัฐบาลปล่อยให้เกิดการผูกขาดตัดตอน เช่น บริษัทค้าปลีกค้าส่ง บริษัทไฟฟ้า บริษัทโทรศัพท์ จนนายทุนร่ำรวยอย่างรวดเร็ว มีคนจำนวนเพียง 1% มีทรัพย์สินของชาติถึง 67% ในขณะที่คนไทย 99% มีทรัพย์สินเพียง 33% ต่างกันมากที่สุดเป็นอันดับหนึ่งของโลก
9. ความสามารถในการแข่งขันลดลง องค์กร IMD ได้ลดระดับไทยลงมา 5 อันดับ เพราะโครงการพื้นฐานแย่ลง ความสามารถรัฐบาลแย่ลง รัฐบาลมีการขาดดุลที่เรียกว่า Double deficits คือขาดดุลทั้งการคลังจำนวนมาก ขาดดุลบัญชีสินค้าและบริการมากขึ้น ซึ่งน่าเป็นห่วงมาก อันดับคอร์รัปชั่น แย่ลงไปเรื่อยๆ จากอันดับที่ 70 กว่าเมื่อ 7-8 ปีที่แล้ว เป็นอันดับที่ 110 ใน 180 ประเทศแล้ว
10. ในด้านสังคม รัฐบาล ทำให้คนยากจนเพิ่มขึ้น จากที่มีคนจน 6 ล้านคน ในปี 57 เป็น 17 ล้านคน ที่รับบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ รัฐขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเพียง 4-5% ต่ำกว่าอัตราเงินเฟ้อที่เฉลี่ย 7.5% ประชาชนยากจนลงมาก จนต้องกู้เงินมากินมาใช้ ทำให้หนี้ครัวเรือนเกือบ 15 ล้านล้านบาท คือเกือบ 90% ของจีดีพีแล้ว
11. ทางด้านการเมือง ก็มีการหลอกล่อ ฉวยโอกาส กลับไปกลับมา อย่างไม่ละอาย ทำทุกอย่างเพื่ออยู่ในอำนาจ แม้ประชาชนไม่ยอมรับไม่ต้องการ ก็ขาดความสำนึก
12. รัฐบาลอยู่มา 8 ปี ได้ทำลายกระบวนการและความชอบธรรม ทางการเมืองและความยุติธรรม เสียหายไปมากมาย จะต้องใช้เวลาอีกนานมาก กว่าจะฟื้นฟูกลับมาได้
“
พี่น้องประชาชนไทยจะต้องช่วยกันครับ ไม่ปล่อยให้คนไม่ฉลาด ไม่มีความสามารถ เข้ามามีอำนาจ ประเทศจะล้าหลัง ประชาชนจะยากจน” ดร.
สุชาติ กล่าว
"นพดล" ค้านสูตร "หาร 750" โหวตนายกฯ หนุน "หาร 500" ชี้เป็นประชาธิปไตย
https://siamrath.co.th/n/380019
วันที่ 6 ก.ย.65 นาย
นพดล ปัทมะ แกนนำพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงการที่รัฐสภาจะพิจารณาว่าจะแก้ไขมาตรา 272 รัฐธรรมนูญเพื่อตัดอำนาจ ส.ว.ในการโหวตนายกฯ ซึ่งพรรคเพื่อไทยและฝ่ายค้านเคยเสนอแก้หลายครั้งแต่ยังไม่สำเร็จ ต้องดูว่าคราวนี้จะแก้สำเร็จหรือไม่ จะมีเสียง ส.ว. สนับสนุนมากเพียงใด แม้ว่า ส.ว. บางท่านเห็นแก่ชาติบ้านเมืองที่ควรเป็นประชาธิปไตยมากขึ้นและรู้ว่าตัวเองไม่ได้มาจากการเลือกตั้งของประชาชน ดังนั้นจึงพร้อมจะโหวตเห็นด้วยกับการตัดอำนาจตัวเองในการโหวตนายกฯ คงต้องรอดูต่อไปว่า ส.ว. กลุ่มนี้จะมีจำนวนเพิ่มมากขึ้นเพียงใด
นาย
นพดล กล่าวต่อว่าสาระของประชาธิปไตยที่สำคัญเรื่องหนึ่งคือประชาชนคนไทยควรมีส่วนในการกำหนดอนาคตของตนเองและเห็นชอบตัวนายกฯทางอ้อมผ่านผู้แทนราษฎรที่เขาเลือกมา 500 คนในสภาผู้แทนราษฎร ส่วน ส.ว. 250 คนที่มาจากการแต่งตั้ง ควรเคารพหลักการพื้นฐานนี้ ประเทศไทยจึงจะเดินหน้าได้ ตนเชื่อว่าการให้ส.ส. เท่านั้นโหวตตัวนายกฯจะทำให้เราคัดสรรผู้ที่มีความสามารถมากที่สุด เหมาะสมที่สุดไปเป็นผู้นำรัฐบาล เพราะประชาชนมีสมองที่จะเลือกคนที่ดีที่สุดเสมอ เราต้องเชื่อมั่นประชาชน ดังนั้นการโหวตตัวนายกควรใช้สูตรหาร 500 เฉพาะ ส.ส. เท่านั้น ไม่เอาสูตรหาร 750 ที่ให้ ส.ว. มาโหวตด้วย หวังว่าสมาชิกรัฐสภาจะเห็นแก่ประเทศชาติ สนับสนุนการแก้ไขมาตรา 272 ในครั้งนี้
JJNY : 5in1 ฝนตกหนักราคาผัก-ผลไม้เพิ่ม│สรท.ชี้ส่งออกเจอศึก│อดีตขุนคลังตอกย้ำ8ปี│"นพดล"ค้านสูตร"หาร 750"│สว.หน้าหงาย
https://www.pptvhd36.com/news/เศรษฐกิจ/180048
อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเดือน ส.ค. เพิ่มขึ้นที่ 7.9% จากราคาหมวดอาหารที่ปรับสูงขึ้น ขณะที่ในช่วงที่เหลือของปี 2022 มีแนวโน้มอยู่ในระดับสูง
อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเดือน ส.ค. อยู่ที่ 7.9% เร่งขึ้นจากเดือนก่อนที่ 7.6% ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 14 ปี สอดคล้องนักวิเคราะห์คาดไว้ที่ 7.85% ปัจจัยหลักจากราคาอาหารสดที่ปรับเพิ่มขึ้นมาสู่ระดับ 10.3% เทียบกับ 7.8% เมื่อเดือน ก.ค. จากฝนตกหนักและน้ำท่วมในพื้นที่เพาะปลูกส่งผลให้ราคาผักและผลไม้ปรับสูงขึ้น และจากราคาต้นทุนวัตถุดิบที่อยู่ในระดับสูงส่งผลให้ราคาไข่และเนื้อสัตว์ปรับสูงขึ้น
นอกจากนี้ อัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน (ไม่รวมหมวดอาหารสดและพลังงาน) เร่งตัวขึ้นมาสู่ระดับ 3.2% เทียบกับ 3.0%
เมื่อเดือน ก.ค. ตามราคาในหมวดอาหารและเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ที่ปรับสูงขึ้น อย่างไรก็ตาม ราคาพลังงานลดลงตามราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกที่ชะลอตัวตามความกังวลต่อภาวะเศรษฐกิจโลกที่อ่อนแรงลงในช่วง 8 เดือนแรกของปี 2565 อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ยอยู่ที่ 6.1% ขณะที่ อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานเฉลี่ยอยู่ที่ 2.2%
อัตราเงินเฟ้อในช่วงที่เหลือของปียังอยู่ในระดับสูง และอาจทำให้อัตราเงินเฟ้อทั้งปี 2022 มีแนวโน้มสูงกว่าประมาณการเดิม
ซึ่งประมาณการณ์เดิมคือ 6.1% สาเหตุสำคัญจากแนวโน้มต้นทุนที่อยู่ในระดับสูงเป็นระยะเวลานานส่งผลให้ราคาสินค้าที่เพิ่มขึ้นกระจายตัวไปยังหลายหมวดมากขึ้น สะท้อนจากอัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน (หักอาหารสดและพลังงาน) ที่เร่งตัวขึ้น 3.2% โดยอัตราเงินเฟ้อหมวดอาหารเพิ่มขึ้นตามต้นทุนวัตถุดิบที่สูงขึ้น
และหมวดที่อยู่อาศัยเพิ่มขึ้นจากค่ากระแสไฟฟ้าและราคาก๊าซหุงต้มที่ปรับสูงขึ้น มองไปในช่วงที่เหลือของปี คาดว่าการส่งผ่านต้นทุนผู้ประกอบการไปยังราคาสินค้าและบริการมีแนวโน้มทยอยเพิ่มขึ้นจากต้นทุนวัตถุดิบที่อยู่ในระดับสูง สอดคล้องกับดัชนีราคาผู้ผลิตที่เพิ่มขึ้นสูงในอัตราเลขสองหลัก ทั้งนี้ต้องจับตาการปรับเพิ่มขึ้นของค่าไฟฟ้าในงวดเดือน ก.ย.–ธ.ค. และการปรับเพิ่มขึ้นของอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ ที่จะทยอยส่งผ่านและสร้างแรงกดดันต่อเงินเฟ้อในระยะต่อไปข้างหน้า
เริ่มไม่สบายใจ! สรท. ชี้ส่งออกไทยเจอศึกนอกศึกในรุมเร้า ขึ้นค่าไฟ-ค่าแรง คาดทั้งปีโตแค่ 8%
https://www.khaosod.co.th/economics/news_7250975
สรท. ชี้ส่งออกไทยอ่วม ศึกนอกศึกในรุมเร้า ทั้งขึ้นค่าไฟ-ค่าแรง คาดทั้งปีโตแค่ 8% – อ้อนตรึงค่าเอฟทียาวถึงปีหน้า พร้อมตรึงดีเซลให้นานที่สุด
สรท.ชี้ส่งออกอ่วม – นายชัยชาญ เจริญสุข ประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.) เปิดเผยถึงภาวะการค้าระหว่างประเทศของไทยเดือนก.ค. 2565 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน พบว่า การส่งออกมีมูลค่า 23,629.3 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัว 4.3% การนำเข้ามีมูลค่า 27,289.8 ล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัว 23.9% ส่งผลให้ไทยขาดดุลเท่ากับ 3,660.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
ส่วนการส่งออกช่วง 7 เดือน (ม.ค.-ก.ค.) ปี 2565 มีมูลค่า 172,814.1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัว 11.5% ขณะที่การนำเข้ามีมูลค่า 182,730.4 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัว 21.4% ส่งผลให้ไทย ขาดดุลเท่ากับ 9,916.3 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
“การส่งออกช่วง 11 เดือนที่ผ่านมาโต 2 หลัก แต่เดือนก.ค. ตกหลุมอากาศโตแค่ 4.3% เนื่องจากตลาดยุโรปและจีนเริ่มชะลอตัว ลดคำสั่งซื้อ ขณะที่การส่งออกยานยนต์ยังมีปัญหาขาดแคลนชิบ ยางพาราส่งออกได้ลดลงโดยเฉพาะถุงมือยาง จากปัญหาโควิด-19 ที่เริ่มคลี่คลาย ขณะที่ราคาน้ำมันยังทรงตัวสูง ส่วนการส่งออกอาหารยังคงเติบโตได้ต่อเนื่องโดยเฉพาะน้ำตาลทราย และอาหาร”
นายชัยชาญ กล่าวว่า สรท. จะยังไม่ปรับประมาณการส่งออกทั้งปีจะคงเป้าเดิมที่ 8% คิดเป็นมูลค่า 292,867 ดอลลาร์สหรัฐ ภายใต้สมมติฐานราคาน้ำมันอยู่ระหว่าง 100-115 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล อัตราแลกเปลี่ยนระหว่าง 33.5-34.5 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ เนื่องจากมีปัจจัยลบมาก ได้แก่ อัตราเงินเฟ้อโลกยังคงทรงตัวสูง กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) คาดการณ์เงินเฟ้อปี 2565 ประเทศพัฒนาที่ 6.6% และกำลังพัฒนาอยู่ที่ 9.5% ส่งผลให้ค่าครองชีพเพิ่มสูงขึ้น กำลังซื้อผู้บริโภคในระดับกลางและล่างทั่วโลก มีสัญญาณชะลอตัว ราคาพลังงานยังสูง, ค่าระวางขนส่งสินค้าทางทะเลทรงตัวสูง และยังมีปัญหาต้นทุนวัตถุดิบขาดแคลนและราคาผันผวน อาทิ เซมิคอนดักเตอร์ เหล็ก ธัญพืช ขณะที่ปัจจัยบวกมีเพียง 2 เรื่องคือ การอ่อนค่าของเงินบาท และความต้องการนำเข้าอาหารของโลกที่เพิ่มสูงขึ้นเท่านั้น
“ขณะนี้การส่งออกไทยมีปัจจัยลบมากกว่าบวก ผู้ส่งออกเริ่มไม่สบายใจ เพราะมีทั้งศึกนอกและศึกในรุมเร้าเยอะไปหมด ทั้งคือราคาพลังงานโลกและเงินเฟ้อสูง ค่าระวางเรือที่ยังแพง และยังมีศึกในที่เข้ามาอีก ทั้งการเตรียมปรับขึ้นค่าไฟฟ้าและค่าจ้างแรงงานในเดือนต.ค. นี้ กระทบต้นทุนการผลิตและความสามารถแข่งขันการส่งออกมาก อยากให้รัฐบาลเข้ามาช่วยเหลือตรึงค่าเอฟที ทั้งภาคการผลิตและครัวเรือนออกไปจนถึงปีหน้า และตรึงราคาดีเซลให้นานที่สุด เพื่อลดภาระต้นทุนไม่ให้สูงเกินไป รวมทั้งอนุญาตให้เอกชนปรับขึ้นราคาสินค้าและบริการให้สอดคล้องกับต้นทุนการผลิตที่แท้จริงให้สามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้”
อดีตขุนคลังตอกย้ำ8ปี ‘รัฐบาลประยุทธ์’ เป็นช่วงเวลาแห่งความสูญเปล่า
https://www.dailynews.co.th/news/1439217/
อดีตขุนคลัง "สุชาติ ธาดาธำรงเวช" ตอกย้ำ 8 ปี "รัฐบาลประยุทธ์" เป็นช่วงเวลาแห่งความสูญเปล่า ทำให้ประเทศถอยหลังไปไกลทั้งด้านเศรษฐกิจ-สังคม-การเมือง อย่างไม่น่าเชื่อ!
เมื่อวันที่ 6 ก.ย. ศ.ดร.สุชาติ ธาดาธำรงเวช อดีต รมว.คลัง กล่าวถึงการทำรัฐประหารเมื่อปี 57 และการเป็นนายกรัฐมนตรีในช่วง 8 ปีที่ผ่านมาของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ว่า
1. ในช่วง 8 ปีที่ผ่านมา นับตั้งแต่ปี 57 รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ได้ทำให้ประเทศถอยหลังไปไกล ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง อย่างไม่น่าเชื่อ
2. พล.อ.ประยุทธ์มาจากการทำรัฐประหาร ทั่วโลกไม่ยอมรับ ปัจจุบันมีเพียงเกาหลีเหนือ เมียนมา และแอฟริกา 2-3 ประเทศเท่านั้น ที่มาจากการรัฐประหาร ประเทศไทยจึงมีเงินเข้ามาลงทุนน้อยมาก การค้าขายกับต่างประเทศลดน้อยลงมาก ทำให้ประเทศไทยไม่เจริญเติบโต
3. ตัวผู้นำขาดสติปัญญา เป็นคนพาลคนหลง โมโหโทโส ชอบปัดความรับผิดชอบ ชอบโยนความผิดให้คนอื่น ไม่ฟังความเห็นผู้อื่น ทีมงานก็ล้วนขาดความรู้ความสามารถ
4. นโยบายเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง จึงผิดทิศทางหมด ถอยหลังไปสู่ยุคขุนศึก ศักดินานายทุนผูกขาด จนเยาวชนรุ่นใหม่ออกมาเรียกร้อง เพราะไม่เห็นอนาคตของชาติ รัฐบาลกลับสร้างข้อหาจับคนรุ่นใหม่ที่เป็นอนาคตของชาติ ไปกักขัง ไม่ให้ประกันเป็นจำนวนมาก 5.นักลงทุนทั่วโลกไม่เข้ามาเพราะผู้นำประเทศไม่มีเครดิต ไม่มีสติปัญญา พวกเขาเกรงกลัวว่ารัฐบาลจะทำให้เขาเสียหายได้มาก
6. ผู้นำยึดติดอยู่กับอำนาจ แม้ถูกสั่งให้พักงานแล้ว ยังไปใช้ตำแหน่งที่ลดลง เพื่อพยายามยื้ออยู่ต่อไป ดูแล้วน่าสงสาร
7. ในด้านเศรษฐกิจ แทบไม่มีโครงการลงทุนใดๆ ทั้งโครงสร้างบริการพื้นฐาน โครงการเศรษฐกิจสมัยใหม่ในยุคดิจิตัล เศรษฐกิจเจริญเติบโตต่ำมากในช่วง 8 ปีที่ผ่านมา เฉลี่ยเพียงร้อยละ 1% กว่าๆต่อปี คนรุ่นใหม่จบมาไม่มีงานทำ คนที่ทำงานอยู่แล้วถูกให้ออกจากงาน แต่รัฐบาลกลับไปสร้างหนี้มากมายกว่า 5 ล้านล้านบาท มากกว่าหนี้ทั้งหมดของรัฐบาลในอดีตรวมกัน หนี้รัฐบาลเกินกว่า 10 ล้านล้านบาทแล้ว คือเกินกว่า 60% ของจีดีพี และกำลังเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว หนี้ที่สร้างขึ้น ก็เป็นการเอาเงินที่รัฐบาลไปกู้มา ไปแจกจ่ายเพื่อการบริโภค จึงเป็นหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ เอามาซื้ออาวุธที่ใช้ไม่ได้ เช่น เรือดำน้ำไม่มีเครื่องยนต์ เอามาจ้างคนทำราชการโดยไม่ต้องทำงาน แม้เงินให้ยืมเพื่อการศึกษา กยศ. ก็คิดดอกเบี้ยสูง ไล่ยึดทรัพย์สินผู้ค้ำประกัน จนเด็กและเยาวชนไทยไม่มีอนาคต
8. รัฐบาลปล่อยราคาสินค้าขึ้นมากมาย น้ำมัน แก๊สหุงต้ม ขึ้นราคาจนแพงที่สุดแล้ว เงินเฟ้อสูงกว่า 7.5% สินค้าต่างๆ พาเหรดกันขึ้นราคา ค่าไฟฟ้า 4.72 บาทต่อหน่วยแล้ว รัฐบาลปล่อยให้เกิดการผูกขาดตัดตอน เช่น บริษัทค้าปลีกค้าส่ง บริษัทไฟฟ้า บริษัทโทรศัพท์ จนนายทุนร่ำรวยอย่างรวดเร็ว มีคนจำนวนเพียง 1% มีทรัพย์สินของชาติถึง 67% ในขณะที่คนไทย 99% มีทรัพย์สินเพียง 33% ต่างกันมากที่สุดเป็นอันดับหนึ่งของโลก
9. ความสามารถในการแข่งขันลดลง องค์กร IMD ได้ลดระดับไทยลงมา 5 อันดับ เพราะโครงการพื้นฐานแย่ลง ความสามารถรัฐบาลแย่ลง รัฐบาลมีการขาดดุลที่เรียกว่า Double deficits คือขาดดุลทั้งการคลังจำนวนมาก ขาดดุลบัญชีสินค้าและบริการมากขึ้น ซึ่งน่าเป็นห่วงมาก อันดับคอร์รัปชั่น แย่ลงไปเรื่อยๆ จากอันดับที่ 70 กว่าเมื่อ 7-8 ปีที่แล้ว เป็นอันดับที่ 110 ใน 180 ประเทศแล้ว
10. ในด้านสังคม รัฐบาล ทำให้คนยากจนเพิ่มขึ้น จากที่มีคนจน 6 ล้านคน ในปี 57 เป็น 17 ล้านคน ที่รับบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ รัฐขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเพียง 4-5% ต่ำกว่าอัตราเงินเฟ้อที่เฉลี่ย 7.5% ประชาชนยากจนลงมาก จนต้องกู้เงินมากินมาใช้ ทำให้หนี้ครัวเรือนเกือบ 15 ล้านล้านบาท คือเกือบ 90% ของจีดีพีแล้ว
11. ทางด้านการเมือง ก็มีการหลอกล่อ ฉวยโอกาส กลับไปกลับมา อย่างไม่ละอาย ทำทุกอย่างเพื่ออยู่ในอำนาจ แม้ประชาชนไม่ยอมรับไม่ต้องการ ก็ขาดความสำนึก
12. รัฐบาลอยู่มา 8 ปี ได้ทำลายกระบวนการและความชอบธรรม ทางการเมืองและความยุติธรรม เสียหายไปมากมาย จะต้องใช้เวลาอีกนานมาก กว่าจะฟื้นฟูกลับมาได้
“พี่น้องประชาชนไทยจะต้องช่วยกันครับ ไม่ปล่อยให้คนไม่ฉลาด ไม่มีความสามารถ เข้ามามีอำนาจ ประเทศจะล้าหลัง ประชาชนจะยากจน” ดร.สุชาติ กล่าว
"นพดล" ค้านสูตร "หาร 750" โหวตนายกฯ หนุน "หาร 500" ชี้เป็นประชาธิปไตย
https://siamrath.co.th/n/380019
วันที่ 6 ก.ย.65 นายนพดล ปัทมะ แกนนำพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงการที่รัฐสภาจะพิจารณาว่าจะแก้ไขมาตรา 272 รัฐธรรมนูญเพื่อตัดอำนาจ ส.ว.ในการโหวตนายกฯ ซึ่งพรรคเพื่อไทยและฝ่ายค้านเคยเสนอแก้หลายครั้งแต่ยังไม่สำเร็จ ต้องดูว่าคราวนี้จะแก้สำเร็จหรือไม่ จะมีเสียง ส.ว. สนับสนุนมากเพียงใด แม้ว่า ส.ว. บางท่านเห็นแก่ชาติบ้านเมืองที่ควรเป็นประชาธิปไตยมากขึ้นและรู้ว่าตัวเองไม่ได้มาจากการเลือกตั้งของประชาชน ดังนั้นจึงพร้อมจะโหวตเห็นด้วยกับการตัดอำนาจตัวเองในการโหวตนายกฯ คงต้องรอดูต่อไปว่า ส.ว. กลุ่มนี้จะมีจำนวนเพิ่มมากขึ้นเพียงใด
นายนพดล กล่าวต่อว่าสาระของประชาธิปไตยที่สำคัญเรื่องหนึ่งคือประชาชนคนไทยควรมีส่วนในการกำหนดอนาคตของตนเองและเห็นชอบตัวนายกฯทางอ้อมผ่านผู้แทนราษฎรที่เขาเลือกมา 500 คนในสภาผู้แทนราษฎร ส่วน ส.ว. 250 คนที่มาจากการแต่งตั้ง ควรเคารพหลักการพื้นฐานนี้ ประเทศไทยจึงจะเดินหน้าได้ ตนเชื่อว่าการให้ส.ส. เท่านั้นโหวตตัวนายกฯจะทำให้เราคัดสรรผู้ที่มีความสามารถมากที่สุด เหมาะสมที่สุดไปเป็นผู้นำรัฐบาล เพราะประชาชนมีสมองที่จะเลือกคนที่ดีที่สุดเสมอ เราต้องเชื่อมั่นประชาชน ดังนั้นการโหวตตัวนายกควรใช้สูตรหาร 500 เฉพาะ ส.ส. เท่านั้น ไม่เอาสูตรหาร 750 ที่ให้ ส.ว. มาโหวตด้วย หวังว่าสมาชิกรัฐสภาจะเห็นแก่ประเทศชาติ สนับสนุนการแก้ไขมาตรา 272 ในครั้งนี้