สมัยหนึ่ง ซึ่งก็มีหลายสมัยหนึ่ง
คนที่มีความคิดที่เขาเรียกนักปราชญ์พูดกันถึงการปกครอง
แล้วมา คิด วิเคราะห์ แยกแยะ กันว่า แบบไหนถึงจะดี
ตั้งแต่สมัยกรีก-โรมัน
มาถึงจีน ก็หลายสมัยอีกล่ะ
จนมาเป็นสากลโลก ที่ไม่บอกถูกบอกผิด ถ้าไม่คิดครอบงำนะ
ก็จะมีเผด็จการสังคมหรือคอมมู กับประชาธิปไตยอะไรเงี๊ยะ
จนมาตอนนี้ ที่ โลกติจิทัลบูม
เขาว่าจะเหลือแค่ทุนนิยมเป็นตัวตั้งต้นแต่ไม่ประสงค์จะออกนาม
คนอยู่กันเหมือนยอดภูเขาน้ำแข็ง
คือคนจะมีตัวตนถ้าเป็นชนที่อยู่ส่วนยอดเท่านั้น
ตัวอย่างง่ายๆ ในอังกฤษ
ในขณะที่คนยากจนแทบจะไม่มีที่ยืน
แต่นางงามบอกฉันเป็นตัวฉันเอง ประกวดโดยมีเมคอัพน้อยมาก
หรือแทบจะโนเมคอัพเลย (ถ้าไม่เกรงใจสปอนเซอร์เวที)
ในชนชั้นหนึ่งไม่อาจจะปรากฏตัวตามสื่อปกติได้
แต่อีกชนชั้นหนึ่งเป็นข่าวได้เรื่อยๆ แม้จะไม่ใช่มโนสาเร่อะไรเลย
ก็มาที่การปกครองแบบไหนถึงจะดี
ไทยเรามีสมัยพ่อขุน ว่ากันว่าเป็นแบบพ่อปกครองลูก
เก่ากว่านั้นก็มีเวียงปรึกษา ที่ไม่ต่างกะสมัยกรีก-โรมัน คือมีสภา
ยอมรับว่าที่เชียงราย มีมากกว่าเวียงปรึกษา
ล่าสุดมีการพบวัดที่ไม่ใช่วัด อณาเขตกว้างใหญ่และรูปแบบเกินกว่าจะเป็นวัด
และไม่ใช่วัง หรืออาจจะเป็นที่ ที่ใครบางคนอยากตามหาเมืองรอดหรือเมืองยอดก็ได้
นักคิดสมัยก่อนมองโอกาสที่เท่าเทียมมาก่อนม๊อบน้ำนมจะมองหาเสียอีก
แล้วเวลาที่ผ่านมามากมายมานี้ พวกเขาได้คำตอบอะไร
ส่วนตัวเจ้าของกระทู้ คิดแค่ว่า คนเห็นแก่ตัวก็คือคนเห็นแก่ตัว
คนเห็นแก่ได้ อาจจะไม่ใช่คนเห็นแก่ตัว
คนแดงๆ มองว่าโกงแล้วแบ่งนะดี อาจจะตรงกัน
แต่ก็ไม่ตรงกันเลย ตรงที่ เจ้าของกระทู้ไม่ชอบการฉกชิงวิ่งราว
แล้วอย่ามาหาว่า รัฐบาลนี้ต่อยอดมาจากสิ่งนี้
ย้อนไปมองวันที่ เรียกสองแกนนำมาพบกัน เกิดอะไรขึ้นนะจ๊ะ
ดังนั้นระบบอุปถัมน์สำหรับเจ้าของกระทู้ก็มาจากนัยยะนี้
คือเห็นแก่ตัว ไม่ใช่เห็นแก่ได้ และเห็นแก่ได้ไม่จำเป็นต้องมาจากฉกชิงวิ่งราว
เพียงแต่เป็นการที่รวบรวมโอกาสเพื่อจะแบ่งโอกาสเท่านั้น
ใครมีคำตอบอื่นๆจะเสริม เชิญเลยจ๊ะ
รู้กันบ้างไหมระบบอุปถัมน์คืออะไรกันแน่ หรือมันคือการแบ่งลังให้คนตัวเตี้ยสามารถยืนพ้นขอบรั้วเห็นภาพสนามแข่งชัดเจนได้ ?
คนที่มีความคิดที่เขาเรียกนักปราชญ์พูดกันถึงการปกครอง
แล้วมา คิด วิเคราะห์ แยกแยะ กันว่า แบบไหนถึงจะดี
ตั้งแต่สมัยกรีก-โรมัน
มาถึงจีน ก็หลายสมัยอีกล่ะ
จนมาเป็นสากลโลก ที่ไม่บอกถูกบอกผิด ถ้าไม่คิดครอบงำนะ
ก็จะมีเผด็จการสังคมหรือคอมมู กับประชาธิปไตยอะไรเงี๊ยะ
จนมาตอนนี้ ที่ โลกติจิทัลบูม
เขาว่าจะเหลือแค่ทุนนิยมเป็นตัวตั้งต้นแต่ไม่ประสงค์จะออกนาม
คนอยู่กันเหมือนยอดภูเขาน้ำแข็ง
คือคนจะมีตัวตนถ้าเป็นชนที่อยู่ส่วนยอดเท่านั้น
ตัวอย่างง่ายๆ ในอังกฤษ
ในขณะที่คนยากจนแทบจะไม่มีที่ยืน
แต่นางงามบอกฉันเป็นตัวฉันเอง ประกวดโดยมีเมคอัพน้อยมาก
หรือแทบจะโนเมคอัพเลย (ถ้าไม่เกรงใจสปอนเซอร์เวที)
ในชนชั้นหนึ่งไม่อาจจะปรากฏตัวตามสื่อปกติได้
แต่อีกชนชั้นหนึ่งเป็นข่าวได้เรื่อยๆ แม้จะไม่ใช่มโนสาเร่อะไรเลย
ก็มาที่การปกครองแบบไหนถึงจะดี
ไทยเรามีสมัยพ่อขุน ว่ากันว่าเป็นแบบพ่อปกครองลูก
เก่ากว่านั้นก็มีเวียงปรึกษา ที่ไม่ต่างกะสมัยกรีก-โรมัน คือมีสภา
ยอมรับว่าที่เชียงราย มีมากกว่าเวียงปรึกษา
ล่าสุดมีการพบวัดที่ไม่ใช่วัด อณาเขตกว้างใหญ่และรูปแบบเกินกว่าจะเป็นวัด
และไม่ใช่วัง หรืออาจจะเป็นที่ ที่ใครบางคนอยากตามหาเมืองรอดหรือเมืองยอดก็ได้
นักคิดสมัยก่อนมองโอกาสที่เท่าเทียมมาก่อนม๊อบน้ำนมจะมองหาเสียอีก
แล้วเวลาที่ผ่านมามากมายมานี้ พวกเขาได้คำตอบอะไร
ส่วนตัวเจ้าของกระทู้ คิดแค่ว่า คนเห็นแก่ตัวก็คือคนเห็นแก่ตัว
คนเห็นแก่ได้ อาจจะไม่ใช่คนเห็นแก่ตัว
คนแดงๆ มองว่าโกงแล้วแบ่งนะดี อาจจะตรงกัน
แต่ก็ไม่ตรงกันเลย ตรงที่ เจ้าของกระทู้ไม่ชอบการฉกชิงวิ่งราว
แล้วอย่ามาหาว่า รัฐบาลนี้ต่อยอดมาจากสิ่งนี้
ย้อนไปมองวันที่ เรียกสองแกนนำมาพบกัน เกิดอะไรขึ้นนะจ๊ะ
ดังนั้นระบบอุปถัมน์สำหรับเจ้าของกระทู้ก็มาจากนัยยะนี้
คือเห็นแก่ตัว ไม่ใช่เห็นแก่ได้ และเห็นแก่ได้ไม่จำเป็นต้องมาจากฉกชิงวิ่งราว
เพียงแต่เป็นการที่รวบรวมโอกาสเพื่อจะแบ่งโอกาสเท่านั้น
ใครมีคำตอบอื่นๆจะเสริม เชิญเลยจ๊ะ