Hunt: ล่าคน ปลอมคน
" ผลงานกำกับเรื่องแรกของอีจองแจ จาก Squid Game... สอบผ่านฉลุย ! "
สวัสดีครับทุกท่าน! ล่าสุด ผมมีโอกาสได้รับชมภาพยนตร์เกาหลีเรื่อง
Hunt (2022) ตัวหนังทำรายได้ขึ้น Box Office อันดับ 1 ของเกาหลี แถมยังได้รับเลือกให้เข้าฉายหมวด
Out of Competition ใน
Cannes Film Festival 2022 เช่นเดียวกับ
Emergency Declaration (2021) และ
Train to Busan (2016) วันนี้ผมจึงอยากจะมารีวิวหนัง เผื่อว่าท่านใดสนใจนะครับ
เรื่องย่อ
Hunt | ล่าคนปลอมคน - Official Trailer
Hunt (2022) เป็นผลงานกำกับเรื่องแรกของ
อีจองแจ (พระเอกจาก Squid Game) โดยที่ตัวเขานำแสดงเองด้วย
เนื้อเรื่องพูดถึงเหตุการณ์หลังจากที่ผู้นำระดับสูงของเกาหลีเหนือขอลี้ภัย หัวหน้าฝ่ายกิจการ
ต่างประเทศของหน่วยสืบราชการลับเกาหลีใต้
พัค พยองโฮ (อีจองแจ) และ ผู้อำนวยการฝ่ายกิจการ
ภายในประเทศ คิมจองโด (จองอูซอง) ถูกมอบหมายให้ล่าตัวสายลับเกาหลีเหนือที่ได้ฉายาว่า
ดงลิม ซึ่งแฝงตัวลึกอยู่ในองค์กร
เมื่อสายลับเริ่มปล่อยข้อมูลลับสุดยอดที่อาจทำให้ทั้งประเทศสั่นคลอน สองบิ๊กแห่งองค์กรถูกบีบให้ต้องมาสืบสวนกันเอง ซึ่งถ้าหาตัวการไม่ได้พวกเขาเองอาจต้องกลายเป็นแพะรับบาปในแผนการร้ายที่เดิมพันด้วยความเป็นความตายของประธานาธิบดีเกาหลีใต้ [Credit -
Pantip]
ความรู้สึกหลังชม
- หลังจากดูจบ ก็รู้สึกคล้ายกับตอนดู
Emergency Declaration (2021) มันเป็นความรู้สึกชื่นชมในฝีไม้ลายมือของเกาหลีที่สามารถหยิบจับทุกอย่างมาใส่ความเค้น / ความดราม่า พร้อมกับหาประเด็นบางอย่างมาทัชใจผู้ชม ผลลัพธ์ที่ได้เลยดู Commercial และมีความลึกในเวลาเดียวกัน
หากใส่ Genre ของหนังเรื่องนี้ อาจเห็นว่า Hunt เป็นหนัง "
ดราม่าการเมือง / แอ็คชั่น / ทริลเลอร์ + อิงประวัติศาสตร์การเมืองเกาหลีใต้ + ประเด็นสายลับและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ" ด้วยส่วนผสมที่หลากหลาย นับว่าไม่ง่ายที่สร้างเรื่องนี้ออกมาด้วยคุณภาพระดับนี้
- ในแง่ Production จุดนี้ทำได้เนี้ยบจริง... ดูเป็นเกรดที่แข่งกับระดับนานาชาติได้แบบไม่เสียเปรียบแล้ว ฉากแอ็คชั่นในเรื่องทำได้มันส์ระทึก โหด ดิบ สมจริง (ซีนเอา M16 ยิงกันที่สี่แยกนี่มันส์ระทึกติดตามาก !)
- ในแง่ความสร้างสรรค์เนื้อเรื่อง ถือว่าหนังมีความสร้างสรรค์ในการครีเอทเนื้อเรื่อง อย่างไรก็ตาม อาจเป็นเพราะ มีหนังฮ่องกงในลักษณะเดียวกันมาก่อน เช่น
หนังของจอห์นวู หรือที่คล้าย ก็เรื่อง
Internal Affairs (สองคนสองคม) โดยส่วนที่คล้ายกันก็คือ
" เรื่องราวการเฉือนกันระหว่างสองตัวละครเอกที่มาจากคนละฝั่งอุดมการณ์ แน่นอนว่าไม่ได้มีฝ่ายใดถูกหรือผิด เพราะต่างฝ่ายต่างมีวิธีคิดที่ตัวเองเชื่อมั่น ทั้งสองคนต่างสู้กันในกติกาและนอกกติกา อีกทั้งยังสามารถทิ้งอุดมการณ์ของตัวเองได้ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายระยะยาว "
เมื่อมาเทียบสไตล์เรื่องกัน เลยไม่ได้ว้าวเซอร์ไพร์สเสียทีเดียว แต่ยังคงรู้สึกชื่นชม Hunt ในฐานะหนังสายลับการเมืองรสเข้มข้น... เข้มชนิดที่เค้นจนไม่มีเวลาให้หายใจ และถ้าใครเหม่อ ก็อาจหลุดได้ทันที
ทั้งนี้เห็นว่าเป็นผลงานที่อีจองแจทั้งกำกับ (เรื่องแรก) และนำแสดงเอง ถ้าวัดจากจุดนี้ ก็ถือว่าทำออกมาได้เกินมาตรฐาน น่าชื่นชมมาก !
- สำหรับคุณภาพนักแสดง ทั้ง
อีจองแจ และ
จองอูซอง แสดงได้เยี่ยมชนิดไร้ที่ติ สุดยอดทั้งคู่
อีจองแจ (ซ้าย) และ จองอูซอง (ขวา)
- ประเด็นที่น่าสนใจในเรื่องมีหลายประเด็น ประเด็นแรกเกี่ยวกับ
"ความอลหม่านของการเมืองเกาหลีใต้ในช่วงปี 1980" ในเวลานั้น เกาหลีใต้ยังคงถูกปกครองด้วยเผด็จการ มีเหตุการณ์โหดร้ายเกิดขึ้น เช่น เหตุการณ์ล้อมปราบนักศึกษาที่กวางจู จนมีผู้เสียชีวิตและสูญหายจำนวนมาก (คล้ายกับเหตุการณ์ 6 ตุลา ของไทย) หนังผสมเหตุการณ์นี้เข้ามาและแสดงความโหดของการเมืองเกาหลีช่วงยุค 80
ดังนั้นแม้หนังจะฉายภาพการเมืองเกาหลีใต้เมื่อ 40 ปีที่แล้ว ยังคงมีหลายประเด็นคล้ายกับปัญหาการเมืองไทยในปัจจุบัน เชื่อว่า หลาย ๆ จุดน่าจะสะกิดใจผู้ชมชาวไทยได้ไม่มากก็น้อย
ประเด็นถัดมา คือ
"ความโหดของหน่วยสืบราชการลับเกาหลี" ในหนังมีฉากการสอบปากคำ / ทรมานผู้ต้องหาที่โหดจริง (ไม่รู้ว่าปัจจุบันเป็นอย่างไรแล้ว)
ประเด็นสุดท้าย เกี่ยวกับเรื่อง
"ความสัมพันธ์ระหว่างเกาหลีใต้และเกาหลีเหนือ" อีกประเด็นยอดฮิตของหนังเกาหลี 😂 ต่างฝ่ายต่างอยากรวมประเทศ แต่ด้วยอุดมการณ์และวิธีคิดที่ต่างกัน ทำให้ดูแทบเป็นไปไม่ได้ที่สองประเทศนี้จะรวมกัน หากไม่ก่อสงครามใหญ่ เพื่อยึดอีกฝ่ายกันแบบตรง ๆ (เอาจริงแค่ให้คืนดีเป็นเพื่อนกันยังยากจนเหงื่อตก 😭)
ภาพเหตุการณ์ล้อมปราบที่กวางจู
- จุดที่เป็นข้อเสียหนัง จุดแรกเป็นเรื่อง "การตัดต่อ" รู้สึกว่า หนังตัดไปตัดมาค่อนข้างถี่ จนยุ่งเหยิงและพาให้คนสับสนได้ง่าย
อีกเรื่องก็ "ความเข้มหนัง" บางทีหนังก็มี Emotion ที่หนักล้นเกินพอดี เช่น การเค้นอารมณ์ที่ถี่เกินไป (เราอาจไม่ต้องเร่งหรือเค้นหนังตลอดเวลาก็ได้) หรือ ข้อมูลที่มากเกินไป ทำให้ผู้ชมตามเรื่องไม่ทัน ส่วนนี้มีผลต่อความเป็นธรรมชาติของหนัง ดังนั้น ถ้าปรับสมดุลอารมณ์ / ความไวของหนังให้พอดีกว่านี้ได้ หนังจะออกมาคมและสวยกว่านี้
จุดสุดท้าย เป็นเรื่องบทสรุปของหนังที่ยังไม่ถึงกับว้าวเท่าไร เมื่อเทียบกับสิ่งที่หนังปูเรื่องมารวม ๆ
สรุป
Hunt (2022) เป็นหนังสายลับ / การเมืองที่ถือว่าสนุก เข้มข้น คุณภาพเยี่ยมเรื่องหนึ่งของเกาหลี อาจจะไม่ได้ Perfect ในทุกจุด แต่โดยรวมถือว่า เป็นผลงานที่มีความน่าสนใจ ยิ่งในฐานะที่เป็นหนังแอ็คชั่นสายลับ นับว่าน่าชื่นชมจริง ๆ ที่เกาหลีสามารถสร้างหนังในสเกลระดับนี้ได้
ดังนั้นใครสนใจ ก็แนะนำเลยนะครับ ยิ่งถ้าได้ดูในโรง ได้อรรถรสเต็มที่แน่นอน !
_________________________________
ป.ล. ในหนังมีฉากสอบปากคำที่โหดและฉากต่อสู้กันที่มีเลือด ดังนั้นควรระมัดระวังในการรับชมนะครับ
ป.ล.2 อีกหนึ่งช่องทางการติดต่อทาง Facebook เผื่อสนใจอยากพุดคุยหรือติดต่อกับผม
Hunt (2022) - มันส์ทะลุจุดเดือดไปกับหนังสายลับการเมืองสไตล์ "อีจองแจ"
เรื่องย่อ
เนื้อเรื่องพูดถึงเหตุการณ์หลังจากที่ผู้นำระดับสูงของเกาหลีเหนือขอลี้ภัย หัวหน้าฝ่ายกิจการต่างประเทศของหน่วยสืบราชการลับเกาหลีใต้ พัค พยองโฮ (อีจองแจ) และ ผู้อำนวยการฝ่ายกิจการภายในประเทศ คิมจองโด (จองอูซอง) ถูกมอบหมายให้ล่าตัวสายลับเกาหลีเหนือที่ได้ฉายาว่า ดงลิม ซึ่งแฝงตัวลึกอยู่ในองค์กร
เมื่อสายลับเริ่มปล่อยข้อมูลลับสุดยอดที่อาจทำให้ทั้งประเทศสั่นคลอน สองบิ๊กแห่งองค์กรถูกบีบให้ต้องมาสืบสวนกันเอง ซึ่งถ้าหาตัวการไม่ได้พวกเขาเองอาจต้องกลายเป็นแพะรับบาปในแผนการร้ายที่เดิมพันด้วยความเป็นความตายของประธานาธิบดีเกาหลีใต้ [Credit - Pantip]
ความรู้สึกหลังชม
หากใส่ Genre ของหนังเรื่องนี้ อาจเห็นว่า Hunt เป็นหนัง "ดราม่าการเมือง / แอ็คชั่น / ทริลเลอร์ + อิงประวัติศาสตร์การเมืองเกาหลีใต้ + ประเด็นสายลับและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ" ด้วยส่วนผสมที่หลากหลาย นับว่าไม่ง่ายที่สร้างเรื่องนี้ออกมาด้วยคุณภาพระดับนี้
- ในแง่ Production จุดนี้ทำได้เนี้ยบจริง... ดูเป็นเกรดที่แข่งกับระดับนานาชาติได้แบบไม่เสียเปรียบแล้ว ฉากแอ็คชั่นในเรื่องทำได้มันส์ระทึก โหด ดิบ สมจริง (ซีนเอา M16 ยิงกันที่สี่แยกนี่มันส์ระทึกติดตามาก !)
" เรื่องราวการเฉือนกันระหว่างสองตัวละครเอกที่มาจากคนละฝั่งอุดมการณ์ แน่นอนว่าไม่ได้มีฝ่ายใดถูกหรือผิด เพราะต่างฝ่ายต่างมีวิธีคิดที่ตัวเองเชื่อมั่น ทั้งสองคนต่างสู้กันในกติกาและนอกกติกา อีกทั้งยังสามารถทิ้งอุดมการณ์ของตัวเองได้ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายระยะยาว "
เมื่อมาเทียบสไตล์เรื่องกัน เลยไม่ได้ว้าวเซอร์ไพร์สเสียทีเดียว แต่ยังคงรู้สึกชื่นชม Hunt ในฐานะหนังสายลับการเมืองรสเข้มข้น... เข้มชนิดที่เค้นจนไม่มีเวลาให้หายใจ และถ้าใครเหม่อ ก็อาจหลุดได้ทันที
ทั้งนี้เห็นว่าเป็นผลงานที่อีจองแจทั้งกำกับ (เรื่องแรก) และนำแสดงเอง ถ้าวัดจากจุดนี้ ก็ถือว่าทำออกมาได้เกินมาตรฐาน น่าชื่นชมมาก !
- สำหรับคุณภาพนักแสดง ทั้ง อีจองแจ และ จองอูซอง แสดงได้เยี่ยมชนิดไร้ที่ติ สุดยอดทั้งคู่
ดังนั้นแม้หนังจะฉายภาพการเมืองเกาหลีใต้เมื่อ 40 ปีที่แล้ว ยังคงมีหลายประเด็นคล้ายกับปัญหาการเมืองไทยในปัจจุบัน เชื่อว่า หลาย ๆ จุดน่าจะสะกิดใจผู้ชมชาวไทยได้ไม่มากก็น้อย
ประเด็นถัดมา คือ "ความโหดของหน่วยสืบราชการลับเกาหลี" ในหนังมีฉากการสอบปากคำ / ทรมานผู้ต้องหาที่โหดจริง (ไม่รู้ว่าปัจจุบันเป็นอย่างไรแล้ว)
ประเด็นสุดท้าย เกี่ยวกับเรื่อง "ความสัมพันธ์ระหว่างเกาหลีใต้และเกาหลีเหนือ" อีกประเด็นยอดฮิตของหนังเกาหลี 😂 ต่างฝ่ายต่างอยากรวมประเทศ แต่ด้วยอุดมการณ์และวิธีคิดที่ต่างกัน ทำให้ดูแทบเป็นไปไม่ได้ที่สองประเทศนี้จะรวมกัน หากไม่ก่อสงครามใหญ่ เพื่อยึดอีกฝ่ายกันแบบตรง ๆ (เอาจริงแค่ให้คืนดีเป็นเพื่อนกันยังยากจนเหงื่อตก 😭)
ดังนั้นใครสนใจ ก็แนะนำเลยนะครับ ยิ่งถ้าได้ดูในโรง ได้อรรถรสเต็มที่แน่นอน !