เมื่อเช้าได้ฟังข่าวพบว่ามีเด็กตายในรถโรงเรียนอีกแล้ว
ผมคิดว่าเราน่าจะมีมาตรการจริงจังกับเรื่องนี้กันเสียที
การกำชับให้ครูหรือคนขับดูแลนักเรียนและเช็คว่าเด็กลงจากรถหมดแล้วหรือยัง ก็จำเป็น
แต่ถ้าหากตัวคนมีนิสัยประมาทก็ต้องประมาทอยุ่ดี
เช่นคนขับรถทุกคนก็ไม่อยากชนกับใครแต่ก็เกิดเหตุรถชนวันหนึ่งเป็นพันครั้ง
หรือเขาอาจแต่งเรื่องขึ้นว่าได้เช็คแล้ว
(ตัวอย่างที่เข้าใจง่ายเช่นผมเคยเอารถไปเช็คที่อู่
และบอกว่าช่วยเช็คน้ำมันเกียร์ให้ด้วย ตอนจ่ายเงินผมถามแคชเชียร์ว่าได้เช็คหรือเปล่า
แคชเชียร์เรียกช่างมาถาม ช่างงง มองผม รถผม และแคชเชียร์อยู่นาน กว่าจะตอบไม่เต็มเสียงว่าเช็คแล้วน้ำมันไม่รั่ว
อีกสามอาทิตย์ต่อมาเกียร์พัง และพบว่าน้ำมันแห้งสนิท)
วิธีแก้เท่าที่ผมนึกออกตามหลักอาชีวอนามัยคือ
1. administrative control
เช่นมีข้อบังคับว่า ก่อนลงจากรถ ต้องมีการพูดชัดๆดังๆ และเด็กทุกคนประสานเสียงพร้อมกันว่า
"เด็กคนสุดท้ายออกจากรถแล้ว"
"ในรถไม่มีใครอยู่แล้ว"
"ฉันจะล็อครถแล้ว"
แบบเดียวกับที่ญี่ปุ่นใช้ในรถไฟชินคันเซน
หรือ มีผู้ตรวจการรถนักเรียน
เช่นเมื่อจอดรถแล้ว ให้ผู้ตรวจไขรถทุกคันดูซ้ำ โดยมีรางวัลใหญ่ให้ถ้าพบเด็กตกค้างอยู่
ซึ่งส่วนหนึ่งต้องหักจากเงินเดือนคนขับ (กันการฮั้วกัน) และต้องมีรางวัลเล็กด้วย เพื่อให้ได้เกือบทุกวัน
เช่น พบของส่วนตัวนักเรียนตกในรถ รถไม่สะอาดฯลฯ
อาจมีระเบียบว่า ห้ามจอดรถตากแดด ห้ามล็อกรถ
หรือจอดรถทุกครั้งต้องเปิดหน้าต่างไว้บานหนึ่งเสมอ
2. engineering control
เช่น แก้ระบบไฟฟ้าในรถใหม่ ให้กดล็อคไม่ได้ถ้าหน้าต่างปิดทุกบาน
มีเซนเซอร์อุณหภูมิในรถ ถ้าเกิน 40 องศา ให้แตรดังไม่หยุด
มีคาร์บอนไดออกไซด์เซนเซอร์ ต่อกับแตรรถ
มีเครื่องวัดรังสีอินฟราเรดในรถ ว่ายังมีคนตกค้างหรือไม่
หรือมีอุปกรณ์ตรวจจับความเคลื่อนไหว
3. Personal Protection Equipment
อุปกรณ์ที่ตัวเด็กเอง อาจเป็นเซนเซอร์ที่มือถือของเด็ก เพื่อวัดอุณหภูมิ รถ
หรืออัตราการเต้นของหัวใจ
ลองช่วยกันออกความเห็นครับ
จะแก้ปัญหาเด็กตายในรถโรงเรียนได้อย่างไร
ผมคิดว่าเราน่าจะมีมาตรการจริงจังกับเรื่องนี้กันเสียที
การกำชับให้ครูหรือคนขับดูแลนักเรียนและเช็คว่าเด็กลงจากรถหมดแล้วหรือยัง ก็จำเป็น
แต่ถ้าหากตัวคนมีนิสัยประมาทก็ต้องประมาทอยุ่ดี
เช่นคนขับรถทุกคนก็ไม่อยากชนกับใครแต่ก็เกิดเหตุรถชนวันหนึ่งเป็นพันครั้ง
หรือเขาอาจแต่งเรื่องขึ้นว่าได้เช็คแล้ว
(ตัวอย่างที่เข้าใจง่ายเช่นผมเคยเอารถไปเช็คที่อู่
และบอกว่าช่วยเช็คน้ำมันเกียร์ให้ด้วย ตอนจ่ายเงินผมถามแคชเชียร์ว่าได้เช็คหรือเปล่า
แคชเชียร์เรียกช่างมาถาม ช่างงง มองผม รถผม และแคชเชียร์อยู่นาน กว่าจะตอบไม่เต็มเสียงว่าเช็คแล้วน้ำมันไม่รั่ว
อีกสามอาทิตย์ต่อมาเกียร์พัง และพบว่าน้ำมันแห้งสนิท)
วิธีแก้เท่าที่ผมนึกออกตามหลักอาชีวอนามัยคือ
1. administrative control
เช่นมีข้อบังคับว่า ก่อนลงจากรถ ต้องมีการพูดชัดๆดังๆ และเด็กทุกคนประสานเสียงพร้อมกันว่า
"เด็กคนสุดท้ายออกจากรถแล้ว"
"ในรถไม่มีใครอยู่แล้ว"
"ฉันจะล็อครถแล้ว"
แบบเดียวกับที่ญี่ปุ่นใช้ในรถไฟชินคันเซน
หรือ มีผู้ตรวจการรถนักเรียน
เช่นเมื่อจอดรถแล้ว ให้ผู้ตรวจไขรถทุกคันดูซ้ำ โดยมีรางวัลใหญ่ให้ถ้าพบเด็กตกค้างอยู่
ซึ่งส่วนหนึ่งต้องหักจากเงินเดือนคนขับ (กันการฮั้วกัน) และต้องมีรางวัลเล็กด้วย เพื่อให้ได้เกือบทุกวัน
เช่น พบของส่วนตัวนักเรียนตกในรถ รถไม่สะอาดฯลฯ
อาจมีระเบียบว่า ห้ามจอดรถตากแดด ห้ามล็อกรถ
หรือจอดรถทุกครั้งต้องเปิดหน้าต่างไว้บานหนึ่งเสมอ
2. engineering control
เช่น แก้ระบบไฟฟ้าในรถใหม่ ให้กดล็อคไม่ได้ถ้าหน้าต่างปิดทุกบาน
มีเซนเซอร์อุณหภูมิในรถ ถ้าเกิน 40 องศา ให้แตรดังไม่หยุด
มีคาร์บอนไดออกไซด์เซนเซอร์ ต่อกับแตรรถ
มีเครื่องวัดรังสีอินฟราเรดในรถ ว่ายังมีคนตกค้างหรือไม่
หรือมีอุปกรณ์ตรวจจับความเคลื่อนไหว
3. Personal Protection Equipment
อุปกรณ์ที่ตัวเด็กเอง อาจเป็นเซนเซอร์ที่มือถือของเด็ก เพื่อวัดอุณหภูมิ รถ
หรืออัตราการเต้นของหัวใจ
ลองช่วยกันออกความเห็นครับ