ผมได้ลองศึกษารวบรวมข้อมูลกับแผนประกันแล้วพบว่าการทำประกันD Health Plusของเมืองไทยประกันชีวิต และ Health Fit DD ของไทยประกันชีวิตพร้อมกันตอบโจทย์ความต้องการและไลฟ์สไตล์ของผมสูงสุด (ถ้าผมไม่ได้เข้าใจส่วนใดส่วนหนึ่งของแผนประกันใดผิดไป)
เนื่องจากตัวผมเป็นพนักงานบริษัทและปัจจุบันมีสวัสดิการประกันกลุ่มเป็นค่าห้อง5000 ค่ารักษา100kอยู่แล้ว การทำประกันสุขภาพของผมจึงมองประกันแบบมีความรับผิดส่วนแรก(Deductible)เป็นหลักเพื่อลดภาระค่าเบี้ย
ตัวเลือกแรกของผมคือ D Health Plus ของเมืองไทย เพราะมีแผนประกันแบบDeductible และยังการันตียกเลิกDeductibleให้ด้วย หากอายุ55-65ปี ก็คือช่วงที่เกษียณและไม่มีสวัสดิการใดๆแล้ว ทำให้ผมสามารถมั่นใจได้ว่าหลังเกษียณจะมีความคุ้มครองค่ารักษาพยาบาลแบบเต็มที่ (ผมยังไม่เห็นเจ้าอื่นการันตีแบบนี้ ถ้ามีแนะนำได้ครับ)
ข้อเสียหลักของแผน D Health Plus คือไม่ครอบคลุมการรักษาแบบOPDสำหรับโรคไตและมะเร็ง ซึ่งจากการพูดคุยหาข้อมูลมา ก็พบว่ามันมีโอกาสที่จะต้องรักษาแบบOPDอยู่พอสมควร ซึ่งผมต้องการอุดช่องว่างนี้ จึงเป็นที่มาของการต้องซื้อประกันอีกแผน
ตัวเลือกเสริมคือการซื้อประกันHealth Fit DDของไทยประกัน ด้วยเงื่อนไขDeductibleสูงสุด เนื่องจากไทยประกันมีการจ่ายผลประโยชน์กรณีOPDโรคไต/โรคมะเร็งด้วย และการคุ้มครองOPDที่เกี่ยวเนื่องกับการเข้ารักษาตัวเป็นผู้ป่วยในรวมถึงโรคไตและมะเร็ง ก็ไม่ต้องจ่ายDeductibleด้วย
ทำให้ผมมั่นใจได้ว่าทุกความเจ็บป่วยในอนาคตจะถูกคุ้มครอง
ข้อเสียของแผนHealth Fit DD คือขาดความยืดหยุ่นในการปรับเปลี่ยนเงื่อนไขDeductible ไม่งั้นผมคงเลือกซื้อHeath Fit DDแผนเดียวแทน
สรุปข้อดีของแผนประกันนี้ คือสามารถรักษาโรงพยาบาลไหนก็ได้ในไทย ครอบคลุมทุกโรคหลัก โดยไม่ต้องกังวลเรื่องค่าห้อง และเงินเฟ้อที่จะส่งผลต่อค่าห้อง วงเงินค่ารักษาก็สูงเพราะนำสองแผนมาประกอบกัน
ข้อเสีย ความเสี่ยง หรือสิ่งที่ไม่แน่ใจ ในการวางแผนครั้งนี้
1. D Health Plus ของเมืองไทยมีการเขียนเงื่อนไขการต่ออายุปีสัญญาให้สามารถปรับเบี้ยรายบุคคลได้ (หลังNew Standardมีผลบังคับใช้ ผมเข้าใจว่าเป็นที่แรกที่เขียนขอปรับเบี้ยรายบุคคลด้วย) ซึ่งผมไม่มีรายละเอียดที่เป็นลายลักษณ์อักษรเลยว่าเงื่อนไขการปรับเบี้ยคืออะไร ปรับได้สูงสุดเท่าไหร่ เมื่อไหร่จะปรับลง ทำให้เกิดความไม่แน่ใจเกิดขึ้นว่าตัวเลขที่เราคำนวณไว้จะรับไหวจริงๆไหมถ้ามีการปรับเบี้ย
2. ถ้า D Health Plusปรับเบี้ยเกินกว่าที่เราจะรับไหว เราจะเหลือแค่ Health Fit DDในมือ และไม่สามารถยกเลิกเรื่องDeductibleได้
3. ไม่แน่ใจว่าการเคลมประกันสุขภาพสองเล่มต่างบริษัท มันยุ่งยากวุ่นวายไหม
4. ต้องจ่ายเบี้ยประกันชีวิตตลอดชีพให้สองที่ ซึ่งสำหรับผมเป็นตัวเงินที่ไม่อยากจ่ายเนื่องจากไม่ได้มีคนข้างหลังให้ดูแล จึงรู้สึกเสียดายเงินตรงนี้ครับ
ข้อความทั้งหมดนี้ยังอยู่ในขั้นการวางแผนนะครับ ยังไม่ได้ซื้อจริง
ถ้าเพื่อนๆ พี่ๆ มีคำตอบในส่วนที่ผมสงสัย หรือคำแนะนำ ข้อควรระวัง เรียนเชิญคอมเม้นต์ได้เลยนะครับ
ขอบคุณสำหรับทุกคำตอบครับ
คุ้มไหมครับถ้าเลือกทำประกันสุขภาพพร้อมกันสองบริษัท
เนื่องจากตัวผมเป็นพนักงานบริษัทและปัจจุบันมีสวัสดิการประกันกลุ่มเป็นค่าห้อง5000 ค่ารักษา100kอยู่แล้ว การทำประกันสุขภาพของผมจึงมองประกันแบบมีความรับผิดส่วนแรก(Deductible)เป็นหลักเพื่อลดภาระค่าเบี้ย
ตัวเลือกแรกของผมคือ D Health Plus ของเมืองไทย เพราะมีแผนประกันแบบDeductible และยังการันตียกเลิกDeductibleให้ด้วย หากอายุ55-65ปี ก็คือช่วงที่เกษียณและไม่มีสวัสดิการใดๆแล้ว ทำให้ผมสามารถมั่นใจได้ว่าหลังเกษียณจะมีความคุ้มครองค่ารักษาพยาบาลแบบเต็มที่ (ผมยังไม่เห็นเจ้าอื่นการันตีแบบนี้ ถ้ามีแนะนำได้ครับ)
ข้อเสียหลักของแผน D Health Plus คือไม่ครอบคลุมการรักษาแบบOPDสำหรับโรคไตและมะเร็ง ซึ่งจากการพูดคุยหาข้อมูลมา ก็พบว่ามันมีโอกาสที่จะต้องรักษาแบบOPDอยู่พอสมควร ซึ่งผมต้องการอุดช่องว่างนี้ จึงเป็นที่มาของการต้องซื้อประกันอีกแผน
ตัวเลือกเสริมคือการซื้อประกันHealth Fit DDของไทยประกัน ด้วยเงื่อนไขDeductibleสูงสุด เนื่องจากไทยประกันมีการจ่ายผลประโยชน์กรณีOPDโรคไต/โรคมะเร็งด้วย และการคุ้มครองOPDที่เกี่ยวเนื่องกับการเข้ารักษาตัวเป็นผู้ป่วยในรวมถึงโรคไตและมะเร็ง ก็ไม่ต้องจ่ายDeductibleด้วย
ทำให้ผมมั่นใจได้ว่าทุกความเจ็บป่วยในอนาคตจะถูกคุ้มครอง
ข้อเสียของแผนHealth Fit DD คือขาดความยืดหยุ่นในการปรับเปลี่ยนเงื่อนไขDeductible ไม่งั้นผมคงเลือกซื้อHeath Fit DDแผนเดียวแทน
สรุปข้อดีของแผนประกันนี้ คือสามารถรักษาโรงพยาบาลไหนก็ได้ในไทย ครอบคลุมทุกโรคหลัก โดยไม่ต้องกังวลเรื่องค่าห้อง และเงินเฟ้อที่จะส่งผลต่อค่าห้อง วงเงินค่ารักษาก็สูงเพราะนำสองแผนมาประกอบกัน
ข้อเสีย ความเสี่ยง หรือสิ่งที่ไม่แน่ใจ ในการวางแผนครั้งนี้
1. D Health Plus ของเมืองไทยมีการเขียนเงื่อนไขการต่ออายุปีสัญญาให้สามารถปรับเบี้ยรายบุคคลได้ (หลังNew Standardมีผลบังคับใช้ ผมเข้าใจว่าเป็นที่แรกที่เขียนขอปรับเบี้ยรายบุคคลด้วย) ซึ่งผมไม่มีรายละเอียดที่เป็นลายลักษณ์อักษรเลยว่าเงื่อนไขการปรับเบี้ยคืออะไร ปรับได้สูงสุดเท่าไหร่ เมื่อไหร่จะปรับลง ทำให้เกิดความไม่แน่ใจเกิดขึ้นว่าตัวเลขที่เราคำนวณไว้จะรับไหวจริงๆไหมถ้ามีการปรับเบี้ย
2. ถ้า D Health Plusปรับเบี้ยเกินกว่าที่เราจะรับไหว เราจะเหลือแค่ Health Fit DDในมือ และไม่สามารถยกเลิกเรื่องDeductibleได้
3. ไม่แน่ใจว่าการเคลมประกันสุขภาพสองเล่มต่างบริษัท มันยุ่งยากวุ่นวายไหม
4. ต้องจ่ายเบี้ยประกันชีวิตตลอดชีพให้สองที่ ซึ่งสำหรับผมเป็นตัวเงินที่ไม่อยากจ่ายเนื่องจากไม่ได้มีคนข้างหลังให้ดูแล จึงรู้สึกเสียดายเงินตรงนี้ครับ
ข้อความทั้งหมดนี้ยังอยู่ในขั้นการวางแผนนะครับ ยังไม่ได้ซื้อจริง
ถ้าเพื่อนๆ พี่ๆ มีคำตอบในส่วนที่ผมสงสัย หรือคำแนะนำ ข้อควรระวัง เรียนเชิญคอมเม้นต์ได้เลยนะครับ
ขอบคุณสำหรับทุกคำตอบครับ