ถ้าคุณกำลังมองหารถจักรยานไฟฟ้าสำหรับเดินทางใกล้ๆ บ้าน เราคือพวกเดียวกันครับ ส่วนตัวแล้วผมชื่นชอบรถจักรยานไฟฟ้าเป็นพิเศษ เพราะไม่วุ่นวายกับการหาปั๊มน้ำมัน ชาร์จไฟบ้านได้ง่าย ไม่ต้องจดทะเบียน และครั้งนี้ผมได้ลอง EM Hachi ซึ่งเป็นจักรยานไฟฟ้ารุ่นล่าสุดของทางค่าย EM กับราคาเปิดตัว 24,000 บาท
ดีไซน์สะดุดสายตา ยากจะห้ามใจไม่ให้สัมผัส
ความประทับใจแรกของผมก็คือดีไซน์ที่สวยมาก ประเภทว่าแฟนผมเห็นปุ๊บขับเล่นไม่หยุดเลย สีสันมีให้เลือกทั้งหมด 3 สี ได้แก่ ฟ้า, ขาว, เขียว โดยเฉดสีออกไปทางพาสเทลนุ่มๆ น่ารัก ดูเป็นมิตรน่าชักชวนเข้าบ้าน
ด้วยความช่างสงสัยและเชื่อว่าหลายคนก็เป็น …ผมก็เลยเคาะๆ ไปที่บอดี้ตัวรถเพื่อทดสอบความแข็งแรงเบื้องต้น ความรู้สึกก็คือความหนักแน่นที่เคาะแล้วไม่ก๊องแก๊ง ฟิลลิ่งการสัมผัสก็ดีสมราคา
เบาะเดิมๆ ออกแบบให้นั่งได้ 2 คน และต้องบอกว่าเบาะนุ่มนั่งสบายมาก อยากจะเอาไปทำโซฟาที่บ้าน
ฮ่า! แม้ว่าจะออกแบบให้นั่งได้ 2 คน แต่ตัวรถก็ไม่ควรบรรทุกน้ำหนักมากกว่า 150 กก. ดังนั้นในทางปฏิบัติก็เหมาะให้ผู้ใหญ่ขับและเด็กซ้อนครับ หรือถ้าเป็นคนร่างเล็ก 2 คนก็ได้เช่นกัน
นอกจากตัวรถที่สวยถูกใจแล้ว จุดถัดมาที่ผมชอบก็คือหน้าจอ LED ที่คมชัดและสีสันสวยงามมาก ด้านหน้ามีไฟส่องสว่างถึง 2 ระดับ ไฟต่ำและไฟสูง ส่วนด้านหลังก็มีไฟเลี้ยวและไฟเบรค
การขับขี่ที่ง่ายและคล่องตัว
การเริ่มต้นใช้งานเป็นอะไรที่ง่ายและปลอดภัย โดย EM Hachi มาพร้อมกับรีโมทควบคุม ซึ่งในคู่มืออธิบายแต่ละปุ่มได้ดังนี้
- กดปุ่ม EM ปุ่มเปิดทำงานโดยไม่ใช้กุญแจ
- กดปุ่มรูปปลดล็อก ใช้ปลดล็อก/หยุดการใช้งานระบบไฟฟ้า
- กดปุ่มรูปล็อก ใช้ล็อกรถ/เปิดใช้สัญญาณกันขโมย
แต่ถ้าให้ผมอธิบาย ผมจะบอกแบบนี้ครับ
- กดปุ่ม EM สองครั้งเพื่อเตรียมขับขี่
- กดปุ่มรูปปลดล็อก เพื่อปิดการใช้งาน
- กดปุ่มรูปล็อก เพื่อเปิดโหมดป้องกันขโมย
หลังจากที่เรากดปุ่ม EM สองครั้งก็จะเข้าสู่โหมด Ready และเมื่อเราพร้อมออกตัวก็ให้กำเบรคมือข้างใดข้างหนึ่ง เพื่อ Activate ระบบ จากนั้นเราก็จะสามารถบิดคันเร่งได้
และเมื่อเราจอดนิ่ง 5 วินาที EM Hachi ก็จะปิดระบบเพื่อความปลอดภัย ป้องกันการลั่นบิดคันเร่ง และยังช่วยประหยัดแบตเตอรี่อีกด้วย ถ้าเราพร้อมออกตัวก็กำเบรคมือ 2 ข้างอีกครั้งแล้วก็บิดคันเร่งต่อได้เลย
ระบบเบรคของรถจักรยานไฟฟ้าคันนี้เป็น Drum Brake ซึ่งทำให้เบรคแล้วไม่หยุดทันทีจนหัวทิ่ม แต่ก็ต้องกะระยะในการเบรคเผื่อไว้ด้วยครับ ด้านประสบการณ์ขับขี่ต้องบอกว่าผมและทีมงานรู้สึกประทับใจเลย เป็นรถที่ออกตัวง่ายแต่ไม่พุ่งหัวเอียง ขับได้นิ่มๆ และมีแรงมากพอสำหรับการขับขึ้นทางลาดตามบ้านทั่วไป
โหมดความเร็วมี 2 แบบคือ ECO และ POWER ซึ่งตามสเปคระบุไว้ว่าทำความเร็วได้สูงสุดที่ 25-30 กม./ชม. จากการทดสอบขับจริงในโหมด ECO ล็อกความเร็วไว้ที่ 20 กม./ชม. ส่วน POWER ผมลองเร่งสุดได้ที่ 25 กม./ชม. โดยระยะทางสูงสุดต่อการชาร์จ 1 ครั้งอยู่ที่ประมาณ 35-40 กม.
ในภาพรวมแล้ว EM Hachi ออกแบบมาให้ใช้งานได้อย่าง Friendly แม้กระทั่งเรื่องของโช็คสปริงที่ติดมาให้ทั้ง 2 ล้อ ก็ช่วยทำให้การใช้งานรู้สึกว่านั่งสบายขึ้น และการเลือกใช้ยางแบบไม่มียางใน ก็ช่วยลดความกังวลเรื่องยางรั่วด้วย
ปุ่มควบคุมที่เป็นมิตร
ถ้าเคยใช้รถมอเตอร์ไซค์มาก่อนก็จะเข้าใจปุ่มต่างๆ ได้ไม่ยาก โดยปุ่มฝั่งซ้ายใช้ควบคุมการเปิดไฟ, ไฟเลี้ยว, แตร ส่วนฝั่งขวาเป็นปุ่มควบคุมความเร็วที่สลับระหว่าง ECO และ POWER
และความพิเศษอยู่ที่เมื่อเราขับขี่อยู่และกดปุ่มนี้ 5 วินาที จะเข้าสู่โหมด Cruise Control ที่จะทำการล็อกความเร็ว ช่วยให้เราไม่ต้องบิดคันเร่งให้เมื่อยมือตลอดเวลา และการยกเลิกโหมดนี้ก็ทำได้ด้วยการปุ่มเดิมอีกครั้งเท่านั้น
จุดสังเกตอย่างหนึ่งก็คือการเปิดไฟเลี้ยวจะมาพร้อมเสียงเตือน ซึ่งการใช้งานครั้งแรกอาจจะแปลกใจหน่อย แต่ถ้ามองถึงด้านความปลอดภัยก็ถือเป็นเรื่องดี เพราะสัญญาณเสียงจะช่วยให้รถรอบข้างรู้ว่าเรากำลังจะเลี้ยว
ถัดลงมามีช่องเสียบชาร์จ USB ที่ใช้ชาร์จมือถือก็ได้ ตามด้วยตะขอสำหรับห้อยของต่างๆ
การชาร์จที่ยืดหยุ่น
การชาร์จแบตเตอรี่ต้องใช้ร่วมกับแท่นชาร์จเฉพาะรุ่นเท่านั้น โดยสามารถเสียบชาร์จกับไฟบ้านได้ตามปรกติ ซึ่งเราสามารถเลือกชาร์จได้ 2 วิธี
- ชาร์จผ่านตัวรถ โดยพอร์ตเสียบชาร์จซ่อนอยู่ใต้เบาะหลัง
- ถอดแบตเตอรี่ออกมาชาร์จ
ทั้ง 2 วิธีมีข้อดีต่างกัน โดยการชาร์จผ่านตัวรถได้เรื่องความสะดวก ลากสายมาเสียบก็เริ่มชาร์จทันที ส่วนการถอดออกมาชาร์จเหมาะกับคนที่มีแบตเตอรี่หลายก้อน รวมถึงสามารถเอา EM Hachi ไปปั่นเป็นจักรยานปกติได้ระหว่างที่รอการชาร์จเต็ม 6 ชั่วโมง
และต้องบอกว่า EM Hachi เป็นรถจักรยานไฟฟ้าที่ปั่นได้จริง แม้จะไม่สะดวกเท่าจักรยานปรกติเพราะก้านปั่นสั้นกว่า แต่ก็ปั่นได้จริงโดยไม่ฝืนธรรมชาติ เหมาะกับการใช้ยามฉุกเฉินที่แบตเตอรี่หมด หรือปั่นช่วยเวลาขึ้นเนิน
ความรู้สึกเพิ่มเติมจากประสบการณ์ใช้งานจริง
เมื่อหลายปีก่อนผมเคยมีจักรยานไฟฟ้า พอได้มาลอง EM Hachi ที่ใหม่กว่าก็รู้สึกถึงความต่างในทุกแง่มุม ตั้งแต่เรื่องสีสันและวัสดุที่พัฒนาขึ้นเยอะ ไปจนถึงเรื่องของประสบการณ์ด้านการขับขี่ หากมองในภาพรวมแล้วผมชอบแทบทุกจุดเลยครับ โดยเฉพาะแฟนผมเนี่ยจองคันสีขาวไม่แบ่งคนอื่นขับเลย เอาเป็นว่าดีไซน์รุ่นนี้ถูกใจสาวๆ แน่นอน แต่ก็ไม่ได้หวานจนผู้ชายสายถึกใช้แล้วขัดใจนะครับ
ด้านความเร็วที่กดได้สูงสุด 25 กม./ชม. ผมคิดว่ามันก็เร็วในระดับที่ทันใจแต่ยังปลอดภัย เหมาะกับการขับไปซื้อของใกล้ๆ บ้าน หรือขับไปออฟฟิศในกรณีถ้าที่ทำงานอยู่ไม่ไกลเท่าไร หรือในกรณีซื้อไปใช้ต่างจังหวัดกับตัวเมืองที่ไม่ใหญ่นัก ก็ขับรอบตัวเมืองได้สบายๆ
เวลาขับรถไปตลาดก็เปิดโหมดป้องกันขโมยไว้เพื่อความอุ่นใจ เวลาขับไปออฟฟิศก็หิ้วแบตเตอรี่ไปชาร์จระหว่างทำงานก็ได้
ท่าทางการนั่งก็ทำได้สบายไม่เมื่อย พื้นที่วางเท้าด้านหน้าอาจจะไม่กว้างสะใจนัก แต่ก็วางได้แบบไม่อึดอัด ส่วนตำแหน่งคนนั่งซ้อนก็มีที่พักเท้าให้วางได้สบายๆ เช่นกัน
ข้อดีของการมี USB Charger ก็ทำให้สามารถชาร์จมือถือหรืออุปกรณ์ต่างๆ ได้ แต่รถคันนี้ไม่มีแท่นวางมือถือมาให้ ดังนั้นต้องหาที่หนีบมือถือมาติดกับแฮนด์รถเอง หรือจะซื้อแผงห้อยตะขอสำหรับเก็บของมาติดเพิ่มก็น่าสนใจครับ …ผมคิดว่าต้องมีคนเอาลำโพงบลูทูธมาเสียบแน่ๆ บันเทิงกันไป
ถ้าเป็นสายพ่อบ้านแม่บ้านที่ต้องซื้อของเยอะๆ คงไม่พ้นการแปลงเบาะหลังให้เป็นกล่องสำหรับใส่สิ่งของ ซึ่งก็ตอบโจทย์ต่อการใช้งานจริง และในความเป็นจริงบางครั้งเราก็ต้องขับลุยน้ำบ้าง ซึ่ง EM Hachi สามารถลุยน้ำที่ความสูง 20 ซม. ได้
เรื่ององศาการมองของกระจกข้าง อันนี้ก็ขึ้นกับสรีระของแต่ละบุคคลด้วยครับ กรณีของผมก็รู้สึกว่ามุมมองมันแคบมองยากไปนิด แต่เมื่อมององค์รวมและลักษณะการใช้งานก็เข้าใจได้
ด้านการรับประกันก็แบ่งออกเป็น 3 ส่วนคือตัวถัง 5 ปี, มอเตอร์ 3 ปี, แบตเตอรี่และคอนโทรลเลอร์ 1 ปี ซึ่งผมคิดว่าก็ให้ระยะเวลาที่นานเหมือนกันครับ ถ้าใช้บ่อยๆ ปีเดียวก็คุ้มแล้ว
ลองสัมผัสประสบการณ์จริงได้ที่โชว์รูม
ข้อดีของ EM Bike อีกอย่างคืองานบริการ ไม่ว่าจะเป็นด้านการขายรวมไปถึงหลังการขาย มีโชว์รูมให้เราได้ลองเข้าไปสัมผัส รวมไปถึงทดลองขับขี่ โดยโชว์รูมตั้งอยู่ที่รามอินทรา กม. 6 หน้าหมู่บ้านนีโอคลาสสิคโฮม
โชว์รูปแบ่งออกเป็น 3 ชั้น โดยชั้น 1 เป็นลานจอดรถ ส่วนชั้น 2 และ 3 เป็นพื้นที่โชว์รูมให้ได้ลองใช้งานจริง ถ้าเรียกให้เท่ๆ ตามยุคสมัยก็คงต้องบอกว่านี่คือ Experience Zone ที่ให้เราได้ลองใช้จริงก่อนจ่ายเงิน เพื่อค้นหาว่ารถรุ่นไหนที่ตอบโจทย์เรา ซึ่งในโชว์รูปนี้ก็มีรถหลายรูปแบบมาก ตั้งแต่จักรยานสำหรับเด็กไปจนถึงสเกลรถกอล์ฟเลย
ใครที่สนใจ สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมตามช่องทางต่างๆ นี้ได้เลยนะครับ
Line ID : @embike /
https://lin.ee/oIHe97O
Facebook Page :
https://www.facebook.com/embikethailand/
Website :
https://www.em-bike.com/
Shopee :
https://shopee.co.th/lifesmoving
Showroom :
https://bit.ly/3i0VMGW
[BR] EM Hachi จักรยานไฟฟ้าสไตล์มินิมอล ลุคเท่ หยุดทุกสายตา
ถ้าคุณกำลังมองหารถจักรยานไฟฟ้าสำหรับเดินทางใกล้ๆ บ้าน เราคือพวกเดียวกันครับ ส่วนตัวแล้วผมชื่นชอบรถจักรยานไฟฟ้าเป็นพิเศษ เพราะไม่วุ่นวายกับการหาปั๊มน้ำมัน ชาร์จไฟบ้านได้ง่าย ไม่ต้องจดทะเบียน และครั้งนี้ผมได้ลอง EM Hachi ซึ่งเป็นจักรยานไฟฟ้ารุ่นล่าสุดของทางค่าย EM กับราคาเปิดตัว 24,000 บาท
ดีไซน์สะดุดสายตา ยากจะห้ามใจไม่ให้สัมผัส
ความประทับใจแรกของผมก็คือดีไซน์ที่สวยมาก ประเภทว่าแฟนผมเห็นปุ๊บขับเล่นไม่หยุดเลย สีสันมีให้เลือกทั้งหมด 3 สี ได้แก่ ฟ้า, ขาว, เขียว โดยเฉดสีออกไปทางพาสเทลนุ่มๆ น่ารัก ดูเป็นมิตรน่าชักชวนเข้าบ้าน
ด้วยความช่างสงสัยและเชื่อว่าหลายคนก็เป็น …ผมก็เลยเคาะๆ ไปที่บอดี้ตัวรถเพื่อทดสอบความแข็งแรงเบื้องต้น ความรู้สึกก็คือความหนักแน่นที่เคาะแล้วไม่ก๊องแก๊ง ฟิลลิ่งการสัมผัสก็ดีสมราคา
เบาะเดิมๆ ออกแบบให้นั่งได้ 2 คน และต้องบอกว่าเบาะนุ่มนั่งสบายมาก อยากจะเอาไปทำโซฟาที่บ้าน
ฮ่า! แม้ว่าจะออกแบบให้นั่งได้ 2 คน แต่ตัวรถก็ไม่ควรบรรทุกน้ำหนักมากกว่า 150 กก. ดังนั้นในทางปฏิบัติก็เหมาะให้ผู้ใหญ่ขับและเด็กซ้อนครับ หรือถ้าเป็นคนร่างเล็ก 2 คนก็ได้เช่นกัน
นอกจากตัวรถที่สวยถูกใจแล้ว จุดถัดมาที่ผมชอบก็คือหน้าจอ LED ที่คมชัดและสีสันสวยงามมาก ด้านหน้ามีไฟส่องสว่างถึง 2 ระดับ ไฟต่ำและไฟสูง ส่วนด้านหลังก็มีไฟเลี้ยวและไฟเบรค
การขับขี่ที่ง่ายและคล่องตัว
การเริ่มต้นใช้งานเป็นอะไรที่ง่ายและปลอดภัย โดย EM Hachi มาพร้อมกับรีโมทควบคุม ซึ่งในคู่มืออธิบายแต่ละปุ่มได้ดังนี้
- กดปุ่ม EM ปุ่มเปิดทำงานโดยไม่ใช้กุญแจ
- กดปุ่มรูปปลดล็อก ใช้ปลดล็อก/หยุดการใช้งานระบบไฟฟ้า
- กดปุ่มรูปล็อก ใช้ล็อกรถ/เปิดใช้สัญญาณกันขโมย
แต่ถ้าให้ผมอธิบาย ผมจะบอกแบบนี้ครับ
- กดปุ่ม EM สองครั้งเพื่อเตรียมขับขี่
- กดปุ่มรูปปลดล็อก เพื่อปิดการใช้งาน
- กดปุ่มรูปล็อก เพื่อเปิดโหมดป้องกันขโมย
หลังจากที่เรากดปุ่ม EM สองครั้งก็จะเข้าสู่โหมด Ready และเมื่อเราพร้อมออกตัวก็ให้กำเบรคมือข้างใดข้างหนึ่ง เพื่อ Activate ระบบ จากนั้นเราก็จะสามารถบิดคันเร่งได้
และเมื่อเราจอดนิ่ง 5 วินาที EM Hachi ก็จะปิดระบบเพื่อความปลอดภัย ป้องกันการลั่นบิดคันเร่ง และยังช่วยประหยัดแบตเตอรี่อีกด้วย ถ้าเราพร้อมออกตัวก็กำเบรคมือ 2 ข้างอีกครั้งแล้วก็บิดคันเร่งต่อได้เลย
ระบบเบรคของรถจักรยานไฟฟ้าคันนี้เป็น Drum Brake ซึ่งทำให้เบรคแล้วไม่หยุดทันทีจนหัวทิ่ม แต่ก็ต้องกะระยะในการเบรคเผื่อไว้ด้วยครับ ด้านประสบการณ์ขับขี่ต้องบอกว่าผมและทีมงานรู้สึกประทับใจเลย เป็นรถที่ออกตัวง่ายแต่ไม่พุ่งหัวเอียง ขับได้นิ่มๆ และมีแรงมากพอสำหรับการขับขึ้นทางลาดตามบ้านทั่วไป
โหมดความเร็วมี 2 แบบคือ ECO และ POWER ซึ่งตามสเปคระบุไว้ว่าทำความเร็วได้สูงสุดที่ 25-30 กม./ชม. จากการทดสอบขับจริงในโหมด ECO ล็อกความเร็วไว้ที่ 20 กม./ชม. ส่วน POWER ผมลองเร่งสุดได้ที่ 25 กม./ชม. โดยระยะทางสูงสุดต่อการชาร์จ 1 ครั้งอยู่ที่ประมาณ 35-40 กม.
ในภาพรวมแล้ว EM Hachi ออกแบบมาให้ใช้งานได้อย่าง Friendly แม้กระทั่งเรื่องของโช็คสปริงที่ติดมาให้ทั้ง 2 ล้อ ก็ช่วยทำให้การใช้งานรู้สึกว่านั่งสบายขึ้น และการเลือกใช้ยางแบบไม่มียางใน ก็ช่วยลดความกังวลเรื่องยางรั่วด้วย
ปุ่มควบคุมที่เป็นมิตร
ถ้าเคยใช้รถมอเตอร์ไซค์มาก่อนก็จะเข้าใจปุ่มต่างๆ ได้ไม่ยาก โดยปุ่มฝั่งซ้ายใช้ควบคุมการเปิดไฟ, ไฟเลี้ยว, แตร ส่วนฝั่งขวาเป็นปุ่มควบคุมความเร็วที่สลับระหว่าง ECO และ POWER
และความพิเศษอยู่ที่เมื่อเราขับขี่อยู่และกดปุ่มนี้ 5 วินาที จะเข้าสู่โหมด Cruise Control ที่จะทำการล็อกความเร็ว ช่วยให้เราไม่ต้องบิดคันเร่งให้เมื่อยมือตลอดเวลา และการยกเลิกโหมดนี้ก็ทำได้ด้วยการปุ่มเดิมอีกครั้งเท่านั้น
จุดสังเกตอย่างหนึ่งก็คือการเปิดไฟเลี้ยวจะมาพร้อมเสียงเตือน ซึ่งการใช้งานครั้งแรกอาจจะแปลกใจหน่อย แต่ถ้ามองถึงด้านความปลอดภัยก็ถือเป็นเรื่องดี เพราะสัญญาณเสียงจะช่วยให้รถรอบข้างรู้ว่าเรากำลังจะเลี้ยว
ถัดลงมามีช่องเสียบชาร์จ USB ที่ใช้ชาร์จมือถือก็ได้ ตามด้วยตะขอสำหรับห้อยของต่างๆ
การชาร์จที่ยืดหยุ่น
การชาร์จแบตเตอรี่ต้องใช้ร่วมกับแท่นชาร์จเฉพาะรุ่นเท่านั้น โดยสามารถเสียบชาร์จกับไฟบ้านได้ตามปรกติ ซึ่งเราสามารถเลือกชาร์จได้ 2 วิธี
- ชาร์จผ่านตัวรถ โดยพอร์ตเสียบชาร์จซ่อนอยู่ใต้เบาะหลัง
- ถอดแบตเตอรี่ออกมาชาร์จ
ทั้ง 2 วิธีมีข้อดีต่างกัน โดยการชาร์จผ่านตัวรถได้เรื่องความสะดวก ลากสายมาเสียบก็เริ่มชาร์จทันที ส่วนการถอดออกมาชาร์จเหมาะกับคนที่มีแบตเตอรี่หลายก้อน รวมถึงสามารถเอา EM Hachi ไปปั่นเป็นจักรยานปกติได้ระหว่างที่รอการชาร์จเต็ม 6 ชั่วโมง
และต้องบอกว่า EM Hachi เป็นรถจักรยานไฟฟ้าที่ปั่นได้จริง แม้จะไม่สะดวกเท่าจักรยานปรกติเพราะก้านปั่นสั้นกว่า แต่ก็ปั่นได้จริงโดยไม่ฝืนธรรมชาติ เหมาะกับการใช้ยามฉุกเฉินที่แบตเตอรี่หมด หรือปั่นช่วยเวลาขึ้นเนิน
ความรู้สึกเพิ่มเติมจากประสบการณ์ใช้งานจริง
เมื่อหลายปีก่อนผมเคยมีจักรยานไฟฟ้า พอได้มาลอง EM Hachi ที่ใหม่กว่าก็รู้สึกถึงความต่างในทุกแง่มุม ตั้งแต่เรื่องสีสันและวัสดุที่พัฒนาขึ้นเยอะ ไปจนถึงเรื่องของประสบการณ์ด้านการขับขี่ หากมองในภาพรวมแล้วผมชอบแทบทุกจุดเลยครับ โดยเฉพาะแฟนผมเนี่ยจองคันสีขาวไม่แบ่งคนอื่นขับเลย เอาเป็นว่าดีไซน์รุ่นนี้ถูกใจสาวๆ แน่นอน แต่ก็ไม่ได้หวานจนผู้ชายสายถึกใช้แล้วขัดใจนะครับ
ด้านความเร็วที่กดได้สูงสุด 25 กม./ชม. ผมคิดว่ามันก็เร็วในระดับที่ทันใจแต่ยังปลอดภัย เหมาะกับการขับไปซื้อของใกล้ๆ บ้าน หรือขับไปออฟฟิศในกรณีถ้าที่ทำงานอยู่ไม่ไกลเท่าไร หรือในกรณีซื้อไปใช้ต่างจังหวัดกับตัวเมืองที่ไม่ใหญ่นัก ก็ขับรอบตัวเมืองได้สบายๆ
เวลาขับรถไปตลาดก็เปิดโหมดป้องกันขโมยไว้เพื่อความอุ่นใจ เวลาขับไปออฟฟิศก็หิ้วแบตเตอรี่ไปชาร์จระหว่างทำงานก็ได้
ท่าทางการนั่งก็ทำได้สบายไม่เมื่อย พื้นที่วางเท้าด้านหน้าอาจจะไม่กว้างสะใจนัก แต่ก็วางได้แบบไม่อึดอัด ส่วนตำแหน่งคนนั่งซ้อนก็มีที่พักเท้าให้วางได้สบายๆ เช่นกัน
ข้อดีของการมี USB Charger ก็ทำให้สามารถชาร์จมือถือหรืออุปกรณ์ต่างๆ ได้ แต่รถคันนี้ไม่มีแท่นวางมือถือมาให้ ดังนั้นต้องหาที่หนีบมือถือมาติดกับแฮนด์รถเอง หรือจะซื้อแผงห้อยตะขอสำหรับเก็บของมาติดเพิ่มก็น่าสนใจครับ …ผมคิดว่าต้องมีคนเอาลำโพงบลูทูธมาเสียบแน่ๆ บันเทิงกันไป
ถ้าเป็นสายพ่อบ้านแม่บ้านที่ต้องซื้อของเยอะๆ คงไม่พ้นการแปลงเบาะหลังให้เป็นกล่องสำหรับใส่สิ่งของ ซึ่งก็ตอบโจทย์ต่อการใช้งานจริง และในความเป็นจริงบางครั้งเราก็ต้องขับลุยน้ำบ้าง ซึ่ง EM Hachi สามารถลุยน้ำที่ความสูง 20 ซม. ได้
เรื่ององศาการมองของกระจกข้าง อันนี้ก็ขึ้นกับสรีระของแต่ละบุคคลด้วยครับ กรณีของผมก็รู้สึกว่ามุมมองมันแคบมองยากไปนิด แต่เมื่อมององค์รวมและลักษณะการใช้งานก็เข้าใจได้
ด้านการรับประกันก็แบ่งออกเป็น 3 ส่วนคือตัวถัง 5 ปี, มอเตอร์ 3 ปี, แบตเตอรี่และคอนโทรลเลอร์ 1 ปี ซึ่งผมคิดว่าก็ให้ระยะเวลาที่นานเหมือนกันครับ ถ้าใช้บ่อยๆ ปีเดียวก็คุ้มแล้ว
ลองสัมผัสประสบการณ์จริงได้ที่โชว์รูม
ข้อดีของ EM Bike อีกอย่างคืองานบริการ ไม่ว่าจะเป็นด้านการขายรวมไปถึงหลังการขาย มีโชว์รูมให้เราได้ลองเข้าไปสัมผัส รวมไปถึงทดลองขับขี่ โดยโชว์รูมตั้งอยู่ที่รามอินทรา กม. 6 หน้าหมู่บ้านนีโอคลาสสิคโฮม
โชว์รูปแบ่งออกเป็น 3 ชั้น โดยชั้น 1 เป็นลานจอดรถ ส่วนชั้น 2 และ 3 เป็นพื้นที่โชว์รูมให้ได้ลองใช้งานจริง ถ้าเรียกให้เท่ๆ ตามยุคสมัยก็คงต้องบอกว่านี่คือ Experience Zone ที่ให้เราได้ลองใช้จริงก่อนจ่ายเงิน เพื่อค้นหาว่ารถรุ่นไหนที่ตอบโจทย์เรา ซึ่งในโชว์รูปนี้ก็มีรถหลายรูปแบบมาก ตั้งแต่จักรยานสำหรับเด็กไปจนถึงสเกลรถกอล์ฟเลย
ใครที่สนใจ สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมตามช่องทางต่างๆ นี้ได้เลยนะครับ
Line ID : @embike / https://lin.ee/oIHe97O
Facebook Page : https://www.facebook.com/embikethailand/
Website : https://www.em-bike.com/
Shopee : https://shopee.co.th/lifesmoving
Showroom : https://bit.ly/3i0VMGW
BR - Business Review : กระทู้นี้เป็นกระทู้รีวิวจากผู้สนับสนุน