ศาลแพ่งยกคำร้องตัวแทนนศ.ยื่นฟ้อง'บิ๊กตู่-ผบ.ทสส.'ให้ยกเลิก ม.9 พ.ร.ก.ฉุกเฉิน
ศาลแพ่งสั่งยกคำร้องขอคุ้มครองชั่วคราวคดีตัวแทนกลุ่มนิสิตนักศึกษายื่นฟ้อง "บิ๊กตู่" และ "ผบ.ทสส." ออกข้อกำหนดนายกฯฉบับ47 -ประกาศผบ.ทสส ฉบับที่ 15 เพิ่มโทษข้อหาจัดชุมนุมสาธารณะ ศาลชี้ยังไม่มีการออกมาตรการตามประกาศ โจทก์จึงยังไม่ได้รับความเดือดร้อนเสียหาย
เมื่อเวลา 13.30 น.วันที่ 23 ส.ค.65 ที่ศาลแพ่ง ถนนรัชดาภิเษก ศาลมีคำสั่งให้ยกคำร้องขอคุ้มครองชั่วคราวคดีที่ ตัวแทน นิสิตและนักศึกษาจากหลายมหาวิทยาลัย นายกองค์การบริหารมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และมหาวิทยาลัยอื่นๆ ร่วมกันเป็นโจทก์ยื่นฟ้องพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กระทรวงกลาโหม และพล.อ.เฉลิมพล ศรีสวัสดิ์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด( ผบ.ทสส. ) เป็นจำเลย ขอให้ศาลมีคำสั่งเพิกถอน พ.ร.ก.บริหารราขการในสถานการณ์ฉุกเฉิน ม.9, ข้อกำหนดนายกรัฐมนตรี ฉบับที่ 47 และ ประกาศหัวหน้าผู้รับผิดชอบในการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินในส่วนที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคง ฉบับที่ 15 หลังจากเมื่อวานนี้ ศาลได้ทำการไต่สวนฉุกเฉินฝ่ายโจทก์มี น.ส.เจนิสษา แสงอรุณ นายกองค์การบริหารมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กับพวกรวม 2 ปาก เข้าเบิกความ
ศาลพิเคราะห์แล้ว เห็นว่า โจทก์ทั้งเจ็ดยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งระงับการบังคับใช้ข้อกำหนดออกตามความในมาตรา 9 แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 (ฉบับที่ 47 ) ลงวันที่ 27 กรกฎาคม 2565 ข้อ 3 และประกาศหัวหน้าผู้รับผิดชอบ ในการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินในส่วนที่เกี่ยวกับความมั่นคง เรื่องห้ามชุมนุม การทำกิจกรรมการมั่วสุมที่ก่อให้เกิดการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19)(ฉบับที่ 15) ลงวันที่ 1 สิงหาคม 2565 ข้อ 5 และวรรคท้าย ได้ความตามทางไต่สวนว่า เมื่อวันที่ 27 ก.ค.2565
จำเลยที่ 1 ในฐานะนายกรัฐมนตรี ได้ออกข้อกำหนดตามความในมาตรา 9 แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 (ฉบับที่ 47) ลงวันที่27 ก.ค. 2565 ข้อ 3 ความว่า " ..การชุมนุมโดยสงบและปราศจากอาวุธเป็นเสรีภาพของประชาชนที่ย่อมกระทำได้ภายใต้ขอบเขตการใช้สิทธิและเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญและกฎหมายโดยให้นำหลักเกณฑ์การจัดและการแจ้งการชุมนุม รวมทั้งหน้าที่ของผู้จัดและผู้ชุมนุมตามที่กำหนดในกฎหมายว่าด้วยการชุมนุมสาธารณะมาใช้โดยอนุโลม ทั้งนี้ เพื่อประโยชน์ในการควบคุมและป้องกันการระบาดของโรคซึ่งพนักงานเจ้าหน้าที่สามารถเข้าตรวจสอบ ระงับยับยั้ง หรือยุติการชุมนุม การทำกิจกรรม หรือมั่วสุม ที่จัดขึ้นโดยมีลักษณะต่อการแพร่ระบาดของโรคได้อย่างทันท่วงที ให้ศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินด้านความมั่นคง (ศปม.) กำหนดมาตรการขึ้นเป็นการเฉพาะเพื่อคุ้มครองประชาชน รวมทั้งการอำนวยความสะดวกและดูแลการชุมนุม รวมไปถึงกำหนดมาตรการอื่น ๆ ตามความจำเป็นและเหมาะสมกับสถานการณ์ได้..."
ต่อมาเมื่อวันที่ 1 ส.ค. 2565 จำเลยที่ 2 ในฐานะหัวหน้าผู้รับผิดชอบได้ออกประกาศหัวหน้าผู้รับผิดชอบในการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินในส่วนที่เกี่ยวกับความมั่นคง เรื่องห้ามการชุมนุม การทำกิจกรรม การมั่วสุมที่ก่อให้เกิดการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) (ฉบับที่ 15) ลงวันที่1 ส.ค. 2565 ข้อ 5 ความว่า "ให้นำหลักเกณฑ์การจัดและการแจ้งการชุมนุม รวมทั้งหน้าที่ของผู้จัดและผู้ชุมนุมตามที่กำหนดในกฎหมายว่าด้วยการชุมนุมการสาธารณะมาใช้โดยอนุโลม" และในวรรคท้าย ความว่า "หากผู้ใดฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามประกาศนี้ ต้องรับโทษตามมาตรา 18แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 ระวางโทษจำคุกไม่เกิน2 ปี หรือปรับไม่เกิน 40,000 บาท หรือทั้งจำและปรับ" ข้อกำหนดและประกาศดังกล่าว
โจทก์ทั้งเจ็ดอ้างว่าเป็นกฎหมายระดับรองซึ่งออกมาเพื่อเพิ่มโทษบุคคลที่ไม่ปฏิบัติตามกฎหมายว่าด้วยการชุมนุมสาธารณะซึ่งเป็นพระราชบัญญัติและกฎหมายระดับสูงกว่าโดยมีการกำหนดโทษหนักขึ้นไปกว่าที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัติการชุมนุมสาธารณะ พ.ศ. 2558 ทั้งการระบุเนื้อความไว้ในข้อกำหนด ฯ ข้อ 3 ยังเป็นการเปิดช่องให้จำเลยที่ 2 ในฐานะหัวหน้าศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินด้านความมั่นคงกำหนดมาตรการขึ้นเองเป็นการเฉพาะให้สามารถระงับยับยั้งหรือยุติการชุมนุม ได้ด้วยตนเองทันที โดยไม่ต้องผ่านกลไกการร้องขอต่อศาลเหมือนที่ได้รับการคุ้มครองไว้ตามพระราชบัญญัติการชุมนุมสาธารณะ พ.ศ. 2558 ข้อกำหนด ฯ และประกาศ ฯซึ่งออกโดยจำเลยทั้งสองไม่ชอบด้วยกฎหมาย เป็นการสร้างภาระให้แก่โจทก์เกินสมควรแก่เหตุ และเป็นการจำกัดสิทธิเสรีภาพของโจทก์ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพุทธศักราช 2560
ศาลเห็นว่า แม้ว่าข้อกำหนดที่ออกตามความในมาตรา 9 แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 (ฉบับที่ 47) ลงวันที่ 27 กรกฎาคม 2565 ข้อ 3 วรรคท้าย ให้อำนาจศูนย์ปฏิบัติการณ์แก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินด้านความมั่นคง (ศปม.) กำหนดมาตรการขึ้นเป็นการเฉพาะเพื่อคุ้มครองประชาชน รวมทั้งการอำนวยความสะดวกและดูแลการ
ชุมนุม แต่การออกมาตรการดังกล่าวย่อมต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขที่ระบุไว้ในข้อกำหนดข้อที่ 3 กล่าวคือ ต้องออกมาตรการกำหนดหลักเกณฑ์ต่าง ๆ เพื่อประโยชน์ในการควบคุมและป้องกันการระบาดของโรค
ทั้งนี้ เมื่อพิจารณาประกาศของหัวหน้าผู้รับผิดชอบในการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินในส่วนที่เกี่ยวกับความมั่นคง เรื่องการห้ามชุมนุม การทำกิจกรรม การมั่วสุมที่ก่อให้เกิดการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) (ฉบับที่ 15) ลงวันที่ 1 ส.ค. 2565ข้อ 5 ซึ่งเป็นมาตรการที่ออกโดยจำเลยที่ 2 ในฐานะหัวหน้าผู้รับผิดชอบในการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินในส่วนที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคง โดยอาศัยนัยยะตามข้อกำหนดดังกล่าวแล้ว ไม่ปรากฎว่าเนื้อความในข้อกำหนดส่วนใดว่าผู้ที่จะชุมนุมหรือจัดให้มีการชุมนุมจะต้องดำเนินการตามมาตรการของประกาศดังกล่าวอย่างไร และไม่ปรากฎ ว่ามีการกำหนดมาตรการใดอย่างไรที่เป็นไปเพื่อวัตถุประสงค์ในการควบคุมและป้องกันการระบาดของโรค
ดังนั้นประกาศฉบับดังกล่าวจึงถือว่ายังไม่ได้ออกตามความในข้อ 3 วรรคท้าย ของข้อกำหนดที่จำเลยที่ 1 ประกาศ อันน่าจะเป็นผลให้ประกาศของจำเลยที่ 2 ไม่สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของข้อกำหนดดังกล่าวที่จะนำมาบังคับใช้กับผู้ชุมนุม ซึ่งรวมถึงโจทก์ทั้งเจ็ดในการจัดการชุมนุมภายใต้สิทธิที่มีอยู่โดยชอบตามรัฐธรรมนูญได้ แต่ตามทางไต่สวนของ
โจทก์ทั้งเจ็ดก็ไม่ปรากฏว่าโจทก์ทั้งเจ็ดได้ดำเนินการใด ๆ ตามข้อกำหนดและประกาศดังกล่าวจนได้รับความเดือดร้อนเสียหาย ประกอบกับเนื้อความในข้อ 3 วรรคท้าย ของข้อกำหนดดังกล่าวเป็นเพียงการวางเงื่อนไขในการออกมาตรการเท่านั้น เมื่อจำเลยที่ 2 ยังไม่ออกมาตรการย่อมไม่ถือว่าโจทก์ทั้งเจ็ดจะได้รับความเดือดร้อนเสียหายจากการการทำของจำเลยทั้งสอง ในชั้นนี้จึงยังไม่มีเหตุจำเป็นและสมควรในการที่จะนำวิธีการชั่วคราวก่อนพิพากษามาใช้เพื่อระงับการบังคับใช้ข้อกำหนดและประกาศดังกล่าว ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 254 (2)มาตรา 255 (2) (ข) ประกอบมาตรา 267 วรรคหนึ่ง ศาลจึงมีคำสั่งยกคำร้อง
https://www.naewna.com/local/675191
...สัจธรรมยึดถือได้ค่ะ..."ธรรมะย่อมชนะอธรรม" กฎหมายอยู่ข้างคนทำถูกต้อง
ทำดีย่อมมีสิ่งดีเข้ามาในชีวิต....
💖มาลาริน💖ยกแรกก็เงิบเป็นแถวค่าาา....ศาลแพ่งยกคำร้องตัวแทนนศ.ยื่นฟ้อง'บิ๊กตู่-ผบ.ทสส.'ให้ยกเลิก ม.9 พ.ร.ก.ฉุกเฉิน
ศาลแพ่งสั่งยกคำร้องขอคุ้มครองชั่วคราวคดีตัวแทนกลุ่มนิสิตนักศึกษายื่นฟ้อง "บิ๊กตู่" และ "ผบ.ทสส." ออกข้อกำหนดนายกฯฉบับ47 -ประกาศผบ.ทสส ฉบับที่ 15 เพิ่มโทษข้อหาจัดชุมนุมสาธารณะ ศาลชี้ยังไม่มีการออกมาตรการตามประกาศ โจทก์จึงยังไม่ได้รับความเดือดร้อนเสียหาย
เมื่อเวลา 13.30 น.วันที่ 23 ส.ค.65 ที่ศาลแพ่ง ถนนรัชดาภิเษก ศาลมีคำสั่งให้ยกคำร้องขอคุ้มครองชั่วคราวคดีที่ ตัวแทน นิสิตและนักศึกษาจากหลายมหาวิทยาลัย นายกองค์การบริหารมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และมหาวิทยาลัยอื่นๆ ร่วมกันเป็นโจทก์ยื่นฟ้องพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กระทรวงกลาโหม และพล.อ.เฉลิมพล ศรีสวัสดิ์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด( ผบ.ทสส. ) เป็นจำเลย ขอให้ศาลมีคำสั่งเพิกถอน พ.ร.ก.บริหารราขการในสถานการณ์ฉุกเฉิน ม.9, ข้อกำหนดนายกรัฐมนตรี ฉบับที่ 47 และ ประกาศหัวหน้าผู้รับผิดชอบในการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินในส่วนที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคง ฉบับที่ 15 หลังจากเมื่อวานนี้ ศาลได้ทำการไต่สวนฉุกเฉินฝ่ายโจทก์มี น.ส.เจนิสษา แสงอรุณ นายกองค์การบริหารมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กับพวกรวม 2 ปาก เข้าเบิกความ
ศาลพิเคราะห์แล้ว เห็นว่า โจทก์ทั้งเจ็ดยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งระงับการบังคับใช้ข้อกำหนดออกตามความในมาตรา 9 แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 (ฉบับที่ 47 ) ลงวันที่ 27 กรกฎาคม 2565 ข้อ 3 และประกาศหัวหน้าผู้รับผิดชอบ ในการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินในส่วนที่เกี่ยวกับความมั่นคง เรื่องห้ามชุมนุม การทำกิจกรรมการมั่วสุมที่ก่อให้เกิดการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19)(ฉบับที่ 15) ลงวันที่ 1 สิงหาคม 2565 ข้อ 5 และวรรคท้าย ได้ความตามทางไต่สวนว่า เมื่อวันที่ 27 ก.ค.2565
จำเลยที่ 1 ในฐานะนายกรัฐมนตรี ได้ออกข้อกำหนดตามความในมาตรา 9 แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 (ฉบับที่ 47) ลงวันที่27 ก.ค. 2565 ข้อ 3 ความว่า " ..การชุมนุมโดยสงบและปราศจากอาวุธเป็นเสรีภาพของประชาชนที่ย่อมกระทำได้ภายใต้ขอบเขตการใช้สิทธิและเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญและกฎหมายโดยให้นำหลักเกณฑ์การจัดและการแจ้งการชุมนุม รวมทั้งหน้าที่ของผู้จัดและผู้ชุมนุมตามที่กำหนดในกฎหมายว่าด้วยการชุมนุมสาธารณะมาใช้โดยอนุโลม ทั้งนี้ เพื่อประโยชน์ในการควบคุมและป้องกันการระบาดของโรคซึ่งพนักงานเจ้าหน้าที่สามารถเข้าตรวจสอบ ระงับยับยั้ง หรือยุติการชุมนุม การทำกิจกรรม หรือมั่วสุม ที่จัดขึ้นโดยมีลักษณะต่อการแพร่ระบาดของโรคได้อย่างทันท่วงที ให้ศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินด้านความมั่นคง (ศปม.) กำหนดมาตรการขึ้นเป็นการเฉพาะเพื่อคุ้มครองประชาชน รวมทั้งการอำนวยความสะดวกและดูแลการชุมนุม รวมไปถึงกำหนดมาตรการอื่น ๆ ตามความจำเป็นและเหมาะสมกับสถานการณ์ได้..."
ต่อมาเมื่อวันที่ 1 ส.ค. 2565 จำเลยที่ 2 ในฐานะหัวหน้าผู้รับผิดชอบได้ออกประกาศหัวหน้าผู้รับผิดชอบในการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินในส่วนที่เกี่ยวกับความมั่นคง เรื่องห้ามการชุมนุม การทำกิจกรรม การมั่วสุมที่ก่อให้เกิดการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) (ฉบับที่ 15) ลงวันที่1 ส.ค. 2565 ข้อ 5 ความว่า "ให้นำหลักเกณฑ์การจัดและการแจ้งการชุมนุม รวมทั้งหน้าที่ของผู้จัดและผู้ชุมนุมตามที่กำหนดในกฎหมายว่าด้วยการชุมนุมการสาธารณะมาใช้โดยอนุโลม" และในวรรคท้าย ความว่า "หากผู้ใดฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามประกาศนี้ ต้องรับโทษตามมาตรา 18แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 ระวางโทษจำคุกไม่เกิน2 ปี หรือปรับไม่เกิน 40,000 บาท หรือทั้งจำและปรับ" ข้อกำหนดและประกาศดังกล่าว
โจทก์ทั้งเจ็ดอ้างว่าเป็นกฎหมายระดับรองซึ่งออกมาเพื่อเพิ่มโทษบุคคลที่ไม่ปฏิบัติตามกฎหมายว่าด้วยการชุมนุมสาธารณะซึ่งเป็นพระราชบัญญัติและกฎหมายระดับสูงกว่าโดยมีการกำหนดโทษหนักขึ้นไปกว่าที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัติการชุมนุมสาธารณะ พ.ศ. 2558 ทั้งการระบุเนื้อความไว้ในข้อกำหนด ฯ ข้อ 3 ยังเป็นการเปิดช่องให้จำเลยที่ 2 ในฐานะหัวหน้าศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินด้านความมั่นคงกำหนดมาตรการขึ้นเองเป็นการเฉพาะให้สามารถระงับยับยั้งหรือยุติการชุมนุม ได้ด้วยตนเองทันที โดยไม่ต้องผ่านกลไกการร้องขอต่อศาลเหมือนที่ได้รับการคุ้มครองไว้ตามพระราชบัญญัติการชุมนุมสาธารณะ พ.ศ. 2558 ข้อกำหนด ฯ และประกาศ ฯซึ่งออกโดยจำเลยทั้งสองไม่ชอบด้วยกฎหมาย เป็นการสร้างภาระให้แก่โจทก์เกินสมควรแก่เหตุ และเป็นการจำกัดสิทธิเสรีภาพของโจทก์ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพุทธศักราช 2560
ศาลเห็นว่า แม้ว่าข้อกำหนดที่ออกตามความในมาตรา 9 แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 (ฉบับที่ 47) ลงวันที่ 27 กรกฎาคม 2565 ข้อ 3 วรรคท้าย ให้อำนาจศูนย์ปฏิบัติการณ์แก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินด้านความมั่นคง (ศปม.) กำหนดมาตรการขึ้นเป็นการเฉพาะเพื่อคุ้มครองประชาชน รวมทั้งการอำนวยความสะดวกและดูแลการ
ชุมนุม แต่การออกมาตรการดังกล่าวย่อมต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขที่ระบุไว้ในข้อกำหนดข้อที่ 3 กล่าวคือ ต้องออกมาตรการกำหนดหลักเกณฑ์ต่าง ๆ เพื่อประโยชน์ในการควบคุมและป้องกันการระบาดของโรค
ทั้งนี้ เมื่อพิจารณาประกาศของหัวหน้าผู้รับผิดชอบในการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินในส่วนที่เกี่ยวกับความมั่นคง เรื่องการห้ามชุมนุม การทำกิจกรรม การมั่วสุมที่ก่อให้เกิดการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) (ฉบับที่ 15) ลงวันที่ 1 ส.ค. 2565ข้อ 5 ซึ่งเป็นมาตรการที่ออกโดยจำเลยที่ 2 ในฐานะหัวหน้าผู้รับผิดชอบในการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินในส่วนที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคง โดยอาศัยนัยยะตามข้อกำหนดดังกล่าวแล้ว ไม่ปรากฎว่าเนื้อความในข้อกำหนดส่วนใดว่าผู้ที่จะชุมนุมหรือจัดให้มีการชุมนุมจะต้องดำเนินการตามมาตรการของประกาศดังกล่าวอย่างไร และไม่ปรากฎ ว่ามีการกำหนดมาตรการใดอย่างไรที่เป็นไปเพื่อวัตถุประสงค์ในการควบคุมและป้องกันการระบาดของโรค
ดังนั้นประกาศฉบับดังกล่าวจึงถือว่ายังไม่ได้ออกตามความในข้อ 3 วรรคท้าย ของข้อกำหนดที่จำเลยที่ 1 ประกาศ อันน่าจะเป็นผลให้ประกาศของจำเลยที่ 2 ไม่สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของข้อกำหนดดังกล่าวที่จะนำมาบังคับใช้กับผู้ชุมนุม ซึ่งรวมถึงโจทก์ทั้งเจ็ดในการจัดการชุมนุมภายใต้สิทธิที่มีอยู่โดยชอบตามรัฐธรรมนูญได้ แต่ตามทางไต่สวนของ
โจทก์ทั้งเจ็ดก็ไม่ปรากฏว่าโจทก์ทั้งเจ็ดได้ดำเนินการใด ๆ ตามข้อกำหนดและประกาศดังกล่าวจนได้รับความเดือดร้อนเสียหาย ประกอบกับเนื้อความในข้อ 3 วรรคท้าย ของข้อกำหนดดังกล่าวเป็นเพียงการวางเงื่อนไขในการออกมาตรการเท่านั้น เมื่อจำเลยที่ 2 ยังไม่ออกมาตรการย่อมไม่ถือว่าโจทก์ทั้งเจ็ดจะได้รับความเดือดร้อนเสียหายจากการการทำของจำเลยทั้งสอง ในชั้นนี้จึงยังไม่มีเหตุจำเป็นและสมควรในการที่จะนำวิธีการชั่วคราวก่อนพิพากษามาใช้เพื่อระงับการบังคับใช้ข้อกำหนดและประกาศดังกล่าว ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 254 (2)มาตรา 255 (2) (ข) ประกอบมาตรา 267 วรรคหนึ่ง ศาลจึงมีคำสั่งยกคำร้อง
https://www.naewna.com/local/675191
...สัจธรรมยึดถือได้ค่ะ..."ธรรมะย่อมชนะอธรรม" กฎหมายอยู่ข้างคนทำถูกต้อง
ทำดีย่อมมีสิ่งดีเข้ามาในชีวิต....