มนต์กุมภัณฑ์ ๑

กระทู้สนทนา
นิยายเรื่องนี้ ตัวละครในเรื่องอิงจากนิทานพื้นบ้านอีสานบ้าง แต่งใหม่บ้าง เนื้อเรื่องอิงจากนิทานพื้นบ้านบางส่วน มิได้นำมาทั้งหมด ใช้ในการอ้างอิงอะไรไม่ได้ ไว้อ่านเล่นเพลินๆยามว่างเท่านั้น
ปล.นิยายเรื่องนี้มีภาษาลาวเก่า อาจมีศัพพ์ที่เข้าใจยาก

ตอนที่๑ ข้ามเขตท้าวห้าวฟันพระยายักษ์
แสงสีส้มอมแดงของฟ้ายามใกล้ค่ำยังคงเป็นมนต์เสน่ห์ติดตาท้าวกุศราชผู้ครองนครเปงจานอยู่เสมอ ยิ่งมีนางนวลแพงเมียที่ยังอยู่ในวัยยี่สิบย่างสามสิบที่ทั้งงามและสาวยืนเคียงข้างกายชมความงามของธรรมชาตินี้ด้วยแล้ว ยิ่งทำให้หัวใจของชายวัยกลางคนกระชุ่มกระชวย
  มณีนาฏเดิมดุ่มเข้ามาหาทั้งสองพร้อมข้ารับใช้สองนางติดตามมา สีหน้าของเธอดูร้อนรนใจบอกไม่ถูก ท้าวกุศราชเห็นเมียเอกท่าทางเป็นกังวลแบบนั้นก็อดที่จะใจหายไม่ได้ เพราะตามปกติแล้วเธอไม่ค่อยจะมีเรื่องทุกข์ใจอะไรนัก
"อ้าย เอื้อยสุมณฑาเพิ่นถืกท้าวกุมภัณฑ์ลักโตไปแล้ว"  นางกล่าวบอกทันทีที่เดินมาถึงทั้งสอง ท้าวกุศราชที่ได้ยินแบบนั้นถึงกับหน้าถอดสี นางสุมณฑาน้องสาวแท้ๆที่เขารักยิ่งดวงใจไม่ต่างจากเมียทั้งสองกลับมาโดนท้าวกุมภัณฑ์ข่มเหง
" เพิ่นถืกลักได้จั่งใด๋เอื้อยมณี มื้อคืนนางยังไปซ่อยเอื้อยเพิ่นฮ้อยมาลัยถวายพระอยู่เลย" นวลแพงเริ่มหน้าถอดสี เธอเองสนิทกับนางสุมณฑามากกว่าใครเพราะวัยไล่เลี่ยกัน
"คงสิเป็นตอนที่นวลแพงกลับหอนอนแล้ว อ้ายฮีบฟ้าวเอิ้นสีโห พระสังข์ กับสินไซมาซ่อยกันคิดเรื่องนี้เด้อ "
"อำมาตย์ไป ฟ้าวไปเอิ้นสีโหสินไซกับพระสังข์มาหาเฮาที่โฮงทอง" ท้าวกุศราชรีบรับสั่งอำมาตย์ที่คอยอยู่รับใช้ใกล้ตัว อำมาตย์น้อมรับคำสั่ง รีบผลุนผันออกไปตามพระราชบุตรทั้งสามตามรับสั่งท้าวเธอ
 
       เหล่าสาวงามนางในทั้งหลายต่างเกาะกลุ่มซุบซิบมองชายหนุ่มรูปงามผิวขาวสำอางสะอาดสยายผมยาวดำขลับลงสรงน้ำในสระบัวใหญ่ บนสะพานเล็กมีเครื่องสรงพร้อมไพรขมิ้นดินสอพองน้ำร่ำน้ำปรุงประทินผิว ใบหน้าท้าวเธอเรียวเล็กดวงตาคมเข้มจมูกโด่งงามรับกับปากบางสีแดงเลือดนก มือเรียวยาวแตะไพรที่ฝนไว้ใส่ชามเล็กลูบไล้ร่างกายทำความสะอาด ถึงร่างจะสูงโปร่งมวลกล้ามก็มีไม่มากเท่าพี่ชายทั้งสองแต่พระสังข์ก็ขึ้นชื่อในเรื่องวาจาอันน่าหลงไหล กับเสน่ห์เรือนร่างที่งามดั่งเทวดาบนสวรรค์
"เจ้าว่าพระสังข์สิเลือกคู่ยามใด๋" หนึ่งในนางในเอ่ย สายตาคู่น้นจ้องมองชายหนุ่มไม่วางตาพลางคิดภาพฝันอันหอมหวาน
"อย่าฝันหลาย เพิ่นบ่เลือกเอานางข้านางในจั่งพวกเฮาดอก  เพิ่นกะเลือกเอาแม่หญิงผู้เป็นเชื้อลูกเจ้าท้าวพระยาพุ่นแหล่ว" เพื่อนสาวยิ้มบอก สายตาคนโดนดับฝันมองค้อนเพื่อนตัวดี
"ข่อยว่าพระสังข์เพิ่นคงสิมีหลายใจ เบิ่งแต่ฮอยสักมีแต่ทางเสน่ห์หลงฮูปหลงฮอย " หญิงสาวอีกคนมองร่างงามของชายหนุ่มแล้วถอนหายใจ บนแผ่นหลังกว้างนั้นเต็มไปด้วยรอยสักมหาเสน่ห์ ต้นคอยันต์บัวหลง กลางหลังเป็นยันเสือเหลียวหลัง ต้นแขนสักสาริกาบั้นเอวสักยันต์จิ้งจกคู่
"ข่อยบ่สน ถ่าได้บ่าวฮูปงามปานนี้ข่อยกะยอมล่ะ" สาวคนแรกบอก
ชายหนุ่มที่ฟังอยู่ยิ้มในหน้าในคำพูดเหล่านั้น เขาขึ้นจากน้ำรับผ้าแพรจากนางในที่คอยยืนรับใช้มาเช็ดตัวเช็ดผมพร้อมผลัดผ้าเปลี่ยนสโหร่งไหมผืนใหม่ สวมเครื่องประดับเข็มขัดกำไลสร้อยสังวาลย์ หวีผมเผ้าให้เรียบร้อย ก่อนจะก้าวเดินออกไปจากศาลาท่าน้ำผ่านเหล่านางในพวกนั้น
" บ่แน่เฮาอาจสิเลือกคนธรรมดาเป็นคู่คองกะได้" เสียงทุ้มนุ่มลึกกระซิบข้างหูบอกนางคนหนึ่งที่ยืนก้มหน้าอยู่ก่อนเดินจากไป หญิงสาวที่ได้ยินแบบนั้นถึงกับขาอ่อนล้มพับลง
เพื่อนนางต่างช่วยกันพยุงพลางอิจฉาว่าทำไมพระสังข์ไม่พูดอย่างนั้นกับตนบ้าง
 
   ชายหนุ่มร่างกำยำยืนสูดอากาศเข้าปอดหลังฝึกวิทยายุธกับเหล่าทหาร ผมสั้นแสกกลางชุ่มไปด้วยเหงื่อ เหล่านางรับใช้ต่างรีบนำผ้ามาซับเหงื่อพร้อมทั้งยกขันใส่น้ำฝนลอยดอกมะลิเย็นๆมาถวาย เขายกน้ำขึ้นดื่มพร้อมกล่าวขอบใจ สีโหชายหนุ่มผิวเข้มใบหน้าหล่อเหลาร่างกายกำยำดูน่าเกรงขาม ขึ้นแท่นผู้สืบเชื้อครองนครต่อจากท้าวกุศราชเพราะเป็นลูกชายคนโต เธอต่างเป็นที่หมายปองของเหล่าสาวงามทั่วแคว้นเพราะได้ชื่อว่าเป็นผู้ชายที่แสนอบอุ่นอีกทั้งร่างกายกำยำทั้งขาอ่อนที่มีลากสักขาลายยาวขึ้นมาถึงท้องน้อยนั้นเป็นที่ต้องตาแก่ผู้หญิงเพราะเป็นประเภทที่ว่า "สิบผืนผ้าซาวผืนผ้า บ่ส่ำขาลายอ้ายขึ้นก่าย ขาลายก่ายแล้วพอปานผ้าหมื่นผืน" คือเป็นประเภทที่สาวเห็นแล้วอุ่นใจตามสมัยนิยม
    "เฮาสิไปหาพระสังข์ หมู่เจ้าฮู้บ่ว่าพระสังข์อยู่ใส" เขากล่าวถามเหล่าทหารที่ยืนอยู่
"พระสังข์กำลังเมือตำหนักเจ้าค่า" หญิงนางในผู้รู้ข่าวความเป็นไปเอ่ยบอก ชายหนุ่มพยักหน้าน้อยๆก่อนจะเดินนำไปยังตำหนักพระสังข์ แต่ไม่ทันไรทหารหลวงก็รีบนำข่าวมาบอก เขานั่งคุกเข่ายกมือท่วมหัวถวายบังคมก่อนกล่าวบอกข่าวร้าย
 
"สุดเขตด้าวแดนเมืองเฮานี้ หาสาวงามนางใด๋กะบ่ท่อ
  ฮูปปานคนเมืองฟ้านี้น้อ มีคนซ้อนฮ่วมนอนเคียงแล้วไป่" ชายรูปงามกล่าวผะหยาที่แต่งเองสดๆร้อนๆให้ชายหนุ่มอีกคนได้ฟัง แต่พอเขากล่าวจบแล้วหยุดรอดูปฏิกิริยาคนตรงหน้ากลับทำให้สินไซเสียความมั่นใจ
"ฮ่าๆๆๆ เป็นกษัตริย์แท้ๆส่างมาแต่งกลอนผะหยาได้ฮ้ายแท้ คนธรรมดากะยังเว้าปากเปล่าได้คักกว่าหนี่ " ชายหนุ่มรูปร่างสันทัดหัวเราะขำ เขาเป็นลูกนายฮ้อยค้าวัวควายซึ่งเป็นเพื่อนสนิทของสินไซเพียงคนเดียว
"ฮ่วย กะคนบ่เคยเล่นเนาะ แล้วเจ้าเป็นหยังจั่งมาให้ข่อยแต่งผะหยา" เขาวางสมุดแผ่นหนาไว้ที่แคร่ พลางเอามือกอดอกสีหน้าดูไม่สบอารมณ์
"ข่อยให้เจ้าหัดแต่งผะหยาไว้จีบสาว เจ้าบ่ฮู้บ้อสาวคู่มื้อนี้เพิ่นบ่มักคนแบบเจ้าเด้ะ เพิ่นมักคนแบบน้องเจ้าพุ่น" เพื่อนลุกจากแคร่เอื้อมมือมาบีบบ่าเพื่อนปลอบใจ
"แบบพระสังข์น่ะเบาะ " เขาเลิกคิ้วถาม เพื่อนชายพยักหน้าหงึกๆ
"ข่อยว่าบ่ดีดอกมั้ง ให้ข่อยไปสำอางค์คือเพิ่นกะคือสิบ่คือ"เขาเบือนหน้าหนี
"บ่แม่นๆ เจ้าหนิเข้าใจหยังยากแท้ ข่อยให้เจ้าเล่นลิ้นเล่นคำ ให้ฮู้จักหมื่นคือปลาไหล สายตาให้มันไวคือนกเหยี่ยว เห็นสาวงามๆกะเข้าไปเว้าไปเล่นนำเพิ่นแน่ บ่แม่นเฮ็ดสื่อๆยุ"เขาโผล่หน้าตามสายตาเพื่อนสนิทไปคุยให้รู้เรื่อง เพราะช่วงนี้ข่าวลือเพื่อนชายช่างหนาหู ไม่ว่าจะเป็นข่าวว่าท้าวสินไซกำลังจะออกบวช ท้าวสินไซเป็นคนผู้แม่ หรือท้าวสินไซชอบเล่นสวาท เขาจะต้องหาเมียให้เพื่อนชายให้ได้เพื่อป้องกันคำครหา
" เออๆ ข่อยสิเฮ็ดตามเจ้าว่าล่ะ ข่อยเมือก่อนเด้อค่ำแล้ว" สินไซตัดบทก่อนลุกไปเสียดื้อๆ
" อย่าลืมที่ข่อยบอกเด้อ" เพื่อนชายตะโกนไล่หลัง
   
       เหล่าบริวารต่างพรั่งพร้อมที่ท้องพระโรง พระยากุศราชนั่งบนบัลลังก์ทองพร้อมมเหสีทั้งสอง
" พ่อ ลูกได้ยินข่าวจากตะหาร อาเพิ่นถืกบักยักษ์เฒ่าลักไปได้จั่งใด๋" สินไซถาม
"ซุมอารักขาอาพากันเฮ็ดหยังอยู่" พระสังข์โกรธ สีโหตบบ่าน้องชายให้ใจเย็นลง เหล่าทหารอารักขาต่างก้มหน้ายอมรับผิด
"ใจเย็นเสีย พระยายักษ์ตนนี้อ้ายเคยพ้อมา เก่งทั้งมนต์คาถาทั้งกำลัง ตะหารธรรมดาผาบมันบ่อยู่ดอก เอาถ่อน พ่อแม่ ลูกกับน้องสิไปตามเอาอาคืนมาให้ได้" สีโหรับคำ
    พ่อแม่ต่างมองหน้าลูกชายทั้งสาม ศึกครั้งนี้หากประมาทอาจสิ้นชีพ แต่หากได้ชัย เหล่ายักษามิตรท้าวกุมภัณฑ์จากต่างแดนอาจมาแก้แค้นแทนสหาย ท้าวศุภราชคิดไม่ตก แต่สุดท้ายก็ไม่อาจหยุดความเป็นห่วงน้องสาวได้
" อำมาตย์เอิ้นประชุมตะหารกล้ามาเสียทั้งเหมิด.."
"เดี๋ยวก่อนพ่อ ศึกคราวนี้อย่าเอาชีวิตตะหารไปเสียถิ่ม ซุมลูกมีวิซาติดโตฆ่าได้บ่ตายง่าย แต่ตะหารเป็นคนธรรมดาแค่ต้องมนต์กะตายได้ "สินไซห้าม
"เรื่องนี้ปล่อยให้ลูกกับน้องจัดการเอง พ่อแม่ถ่าฟังข่าวดีเด้อ"สีโหยิ้มบอกเพื่อไม่ให้พ่อแม่ทั้งสามเป็นกังวล
 
   ทั้งสามรีบไปเตรียมตัว ต่างถอดเครื่องทรง นำผ้าฝ้ายย้อมครามสีดำเข้มมาพันโพกหัว พระสังข์เหน็บปิ่นแหลมคมประดับมวยผมสวมกำไลทองทั้งสองแขน ทั้งสามสวมเสื้อแขนยาวย้อมครามสีดำ นุ่งผ้าไหมทอเนื้อดีย้อมสีเข้มลายนาคเกี้ยวจับจีบผ้าแล้วสอดเหน็บเป็นผ้าเตี่ยวให้ทะมัดทะแมง พระสังข์นั้นใช้ผ้าแพรทองของแม่นวลแพงผูกเอว ส่วนสีโหและสินไซใช้ผ้าขาวม้าที่ทอจากไหมงามของแม่มณีผูกเอว สวมรองเท้าหนังยาวถึงต้นขาป้องกันอันตราย นอกจากพระสังข์ สองพี่ใหญ่ก็ไม่มีใครสวมเครื่องทองเครื่องประดับกัน
สีโหพกมีดสั้นเพราะเชี่ยวชาญการต่อสู้ระยะประชิด สินไซพกดาบยาวและธนู พระสังข์พกธนูงามคันใหญ่พร้อมลูกดอกอาบยาที่เขาทำเอง เมื่อเตรียมเครื่องทรงเสร็จแล้วท้ายสุด โพกผ้าฝ้ายทอบางปิดหน้าตาแล้วสวมหมวกกุบจิกคำปั้นสมุกลงทองทั่วทั้งใบ แล้วพร้อมกันที่ท้องพระโรงเพื่อรับพร
ท้าวกุศราชพร้อมมณีนาฏ และนวลแพง ต่างอวยพรลูกทั้งสามที่ออกไปปราบยักษ์กุมภัณฑ์สามหนุ่มก้มกราบบิดามารดา แล้วลุกขึ้นพร้อมออกเดินทาง
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่