JJNY : ส่วนใหญ่ชี้ 'ตู่'ควรอยู่ไม่เกิน24ส.ค.│กทม.ทุบนายทุนปลูกกล้วย│ชัชชาติสัญจร‘ดอนเมือง’│ยกทัพครอบครัวพท. ลุยเชียงราย

นิด้าโพล เผยคนส่วนใหญ่ชี้ 'บิ๊กตู่' ควรอยู่ในตำแหน่งไม่เกิน 24 ส.ค.65
https://www.matichon.co.th/politics/news_3493945
 
 
นิด้าโพล เผยคนส่วนใหญ่อยากให้ ‘บิ๊กตู่’ ประกาศอยู่ในตำแหน่งไม่เกิน 24 ส.ค.65 เชื่อ 3 ป.ไม่มีบทบาทจัดตั้งรบ.สมัยหน้า
 
เมื่อวันที่ 7 สิงหาคม ศูนย์สำรวจความคิดเห็น “นิด้าโพล” สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เปิดเผยผลสำรวจของประชาชน เรื่อง “8 ปี นายกรัฐมนตรีกับอนาคตทางการเมืองของ 3 ป.” ทำการสำรวจระหว่างวันที่ 2-4 สิงหาคม 2565 จากประชาชนที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป กระจายทุกภูมิภาค ระดับการศึกษา อาชีพ และรายได้ ทั่วประเทศ รวมทั้งสิ้น จำนวน 1,312 หน่วยตัวอย่าง เกี่ยวกับวาระการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีไม่เกิน 8 ปี กับอนาคตทางการเมืองของ 3 ป. การสำรวจอาศัยการสุ่มตัวอย่างโดยใช้ความน่าจะเป็นจากบัญชีรายชื่อฐานข้อมูลตัวอย่างหลัก (Master Sample) ของ “นิด้าโพล” สุ่มตัวอย่างด้วยวิธีแบบง่าย (Simple Random Sampling) เก็บข้อมูลด้วยวิธีการสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ โดยกำหนดค่าความเชื่อมั่น ร้อยละ 97.0

จากการสำรวจเมื่อถามถึงการตัดสินใจของนายกรัฐมนตรีเกี่ยวกับความไม่ชัดเจนของรัฐธรรมนูญ เรื่องวาระการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีไม่เกิน 8 ปี พบว่า 
ตัวอย่าง ร้อยละ 64.25 ระบุว่า นายกฯ ควรประกาศว่า 8 ปี คือ อยู่ในตำแหน่งไม่เกิน 24 สิงหาคม 2565 
รองลงมา ร้อยละ 32.93 ระบุว่า นายกฯ ควรรอให้ศาลรัฐธรรมนูญตัดสินเรื่องวาระการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ไม่เกิน 8 ปี 
และร้อยละ 2.82 ระบุว่า ไม่ทราบ/ไม่ตอบ/ไม่สนใจ
 
ส่วนบุคคลในกลุ่ม 3 ป. ที่ประชาชนเชื่อว่าจะยังคงมีบทบาทในการจัดตั้งรัฐบาล ภายหลังการเลือกตั้งสมัยหน้า พบว่า 
ตัวอย่าง ร้อยละ 55.18 ระบุว่า เชื่อว่าทั้ง 3 ป. จะไม่มีบทบาททางการเมืองในการจัดตั้งรัฐบาล 
รองลงมา ร้อยละ 27.36 ระบุว่า พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ 
ร้อยละ 24.77 ระบุว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา 
ร้อยละ 19.44 ระบุว่า พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา 
และร้อยละ 5.18 ระบุว่า ไม่ทราบ/ไม่ตอบ/ไม่สนใจ
 
ท้ายที่สุดเมื่อถามถึงบุคคลในกลุ่ม 3 ป. ที่ประชาชนต้องการให้มีบทบาทในการจัดตั้งรัฐบาล ภายหลังการเลือกตั้งสมัยหน้า พบว่า 
ตัวอย่าง ร้อยละ 80.03 ระบุว่า ไม่ต้องการให้ทั้ง 3 ป. มีบทบาททางการเมืองในการจัดตั้งรัฐบาล ภายหลังการเลือกตั้งสมัยหน้า 
รองลงมา ร้อยละ 14.25 ระบุว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา 
ร้อยละ 7.39 ระบุว่า พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ 
ร้อยละ 7.16 ระบุว่า พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา 
และร้อยละ 1.45 ระบุว่า ไม่ทราบ/ไม่ตอบ/ไม่สนใจ
 
เมื่อพิจารณาลักษณะทั่วไปของตัวอย่าง พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 8.61 มีภูมิลำเนาอยู่กรุงเทพฯ ร้อยละ 26.30 มีภูมิลำเนาอยู่ปริมณฑล และภาคกลาง ร้อยละ 17.99 มีภูมิลำเนาอยู่ภาคเหนือ ร้อยละ 33.53 มีภูมิลำเนาอยู่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และร้อยละ 13.57 มีภูมิลำเนาอยู่ภาคใต้ ตัวอย่าง ร้อยละ 48.09 เป็นเพศชาย และร้อยละ 51.91 เป็นเพศหญิง
 
ตัวอย่าง ร้อยละ 13.26 มีอายุ 18-25 ปี ร้อยละ 17.76 มีอายุ 26-35 ปี ร้อยละ 19.28 มีอายุ 36-45 ปี ร้อยละ 26.53 มีอายุ 46-59 ปี และร้อยละ 23.17 มีอายุ 60 ปีขึ้นไป ตัวอย่าง ร้อยละ 95.43 นับถือศาสนาพุทธ ร้อยละ 3.43 นับถือศาสนาอิสลาม ร้อยละ 0.84 นับถือศาสนาคริสต์ และอื่น ๆ และร้อยละ 0.30 ไม่ระบุศาสนา ตัวอย่าง ร้อยละ 30.49 สถานภาพโสด ร้อยละ 67.53 สมรสแล้ว และร้อยละ 1.98 หม้าย หย่าร้าง แยกกันอยู่
ตัวอย่าง ร้อยละ 27.67 จบการศึกษาประถมศึกษาหรือต่ำกว่า ร้อยละ 32.47 จบการศึกษามัธยมศึกษาหรือเทียบเท่า ร้อยละ 8.31 จบการศึกษาอนุปริญญาหรือเทียบเท่า ร้อยละ 27.36 จบการศึกษาปริญญาตรีหรือเทียบเท่า และร้อยละ 4.19 จบการศึกษาสูงกว่าปริญญาตรีหรือเทียบเท่า
ตัวอย่าง ร้อยละ 8.99 ประกอบอาชีพข้าราชการ/ลูกจ้าง/พนักงานรัฐวิสาหกิจ ร้อยละ 14.94 ประกอบอาชีพพนักงานเอกชน ร้อยละ 21.65ประกอบอาชีพเจ้าของธุรกิจ/อาชีพอิสระ ร้อยละ 15.32 ประกอบอาชีพเกษตรกร/ประมง ร้อยละ 12.50 ประกอบอาชีพรับจ้างทั่วไป/ผู้ใช้แรงงาน ร้อยละ 21.49 เป็นพ่อบ้าน/แม่บ้าน/เกษียณอายุ/ว่างงาน และร้อยละ 5.11 เป็นนักเรียน/นักศึกษา
 
ตัวอย่าง ร้อยละ 23.70 ไม่มีรายได้ ร้อยละ 22.41 รายได้เฉลี่ยต่อเดือนไม่เกิน 10,000 บาท ร้อยละ 26.07 รายได้เฉลี่ยต่อเดือน 10,001-20,000 บาท ร้อยละ 9.98 รายได้เฉลี่ยต่อเดือน 20,001-30,000 บาท ร้อยละ 4.04 รายได้เฉลี่ยต่อเดือน 30,001-40,000 บาท ร้อยละ 4.96 รายได้เฉลี่ยต่อเดือน 40,001 บาทขึ้นไป และร้อยละ 8.84 ไม่ระบุรายได้
 

 
กทม.ทุบนายทุนปลูกกล้วย บี้ภาษีที่ดินเต็มพิกัด 15 เท่า
https://www.prachachat.net/property/news-1005353
 
ทีมชัชชาติเดินหน้าเก็บภาษีที่ดินปลูกกล้วย-มะนาวใจกลางกรุง ตีกรอบที่ดินผังเมือง 3 สี “แดง-ม่วง-เม็ดมะปราง” โซนพาณิชยกรรม โรงงาน คลังสินค้า ทำหนังสือหารือคลังออกข้อบัญญัติ กทม.เก็บภาษีเกษตรกรรมเต็มเพดาน 0.15% หรือล้านละ 1,500 บาท ดัดหลังนายทุนนำที่ดินเงินล้านมาปลูกกล้วยหวังจ่ายภาษีต่ำสุด 0.01% ถ้าทำสำเร็จแลนด์ลอร์ดอ่วมถ้วนหน้าจ่ายภาษีแพงขึ้น 15 เท่า
 
นายจักกพันธุ์ ผิวงาม รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ความคืบหน้าในการทบทวนการจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ประเภทภาษีเกษตรกรรม จากการนำที่ดินเปล่าใจกลางเมืองมาปลูกพืชเกษตรเพื่อจ่ายภาษีในอัตราต่ำ ล่าสุด กทม.ได้มีการทำหนังสือหารือไปยังคณะกรรมการวินิจฉัยภาษีที่ดินฯ ซึ่งมีปลัดกระทรวงการคลังเป็นประธาน เมื่อต้นเดือนกรกฎาคม 2565 ที่ผ่านมา
 
หารือ กรรมการวินิจฉัยภาษี
 
สาระสำคัญที่ขอหารือ เพื่อต้องการยืนยันว่า กทม.ซึ่งเป็นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นสามารถออกข้อบัญญัติเรียกเก็บภาษีที่ดินในอัตราชนเพดานภาษีตามที่กำหนดไว้ในกฎหมาย หากสามารถทำได้คาดว่าจะทำให้ กทม.มีรายได้จัดเก็บภาษีที่ดินฯเพิ่มมากขึ้น
 
ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า ภาษีที่ดินมีการกำหนดอัตราภาษี 2 ราคา กล่าวคือ กฎหมายแม่ (พ.ร.บ.ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง 2562) กำหนดภาษีสูงสุดหรือกำหนด “เพดานภาษี” ไว้ โดยผู้จัดเก็บคือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทั่วประเทศไทยจำนวน 7,852 แห่ง (ข้อมูล ณ พฤศจิกายน 2562) สามารถจัดเก็บต่ำกว่าได้ แต่ห้ามจัดเก็บเกินเพดานภาษีที่กำหนด
 
ขณะที่มี “อัตราผ่อนผัน” หรืออัตราแนะนำในช่วงเริ่มจัดเก็บภาษีที่ดิน เพื่อบรรเทาภาระภาษีและลดแรงต้านในการบังคับใช้กฎหมาย โดยออกเป็นกฎหมายระดับพระราชกฤษฎีกา ดังนั้น จึงมีช่องว่างระหว่างเพดานภาษีกับอัตราภาษีผ่อนผัน ดังนี้
 
มาตรา 37 ตาม พ.ร.บ.ภาษีที่ดินฯ 2562 กำหนดเพดานภาษี แบ่งเป็น ประเภทเกษตรกรรม ไม่เกิน 0.15% หรือล้านละ 1,500 บาท, ประเภทที่อยู่อาศัย ไม่เกิน 0.3% หรือล้านละ 3,000 บาท, ประเภทการค้าและพาณิชยกรรม ไม่เกิน 1.2% หรือล้านละ 12,000 บาท และประเภทที่ดินรกร้างว่างเปล่า ไม่เกิน 3% หรือล้านละ 30,000 บาท
 
ช่องว่างภาษี 5-15 เท่า
 
ส่วนสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง กระทรวงการคลัง ได้เผยแพร่อัตราภาษีแนะนำหรือภาษีผ่อนผัน มีข้อสังเกตอย่างน้อย 2 จุดหลัก คือ
 
1. ประเภทเกษตรกรรม มีอัตราแนะนำ 0.01-0.1% หรือจัดเก็บล้านละ 100-1,000 บาท ในขณะที่เพดานภาษีอยู่ที่ล้านละ 1,500 บาท ทำให้มีช่องว่างในการจ่ายภาษีเกษตรกรรมที่แตกต่างกัน 5-15 เท่า
 
2. ประเภทที่ดินเปล่า ซึ่งมีความซับซ้อนเป็นอย่างมากในการทำอัตราแนะนำ กล่าวคือ 2.1 เพดานภาษีจริง ๆ คือ 3% หรือล้านละ 30,000 บาท แต่ในการจัดเก็บให้เริ่มต้นใช้อัตราเดียวกันกับประเภทพาณิชยกรรม อยู่ที่ 1.2% หรือล้านละ 12,000 บาท
จากนั้น 2.2 มีอัตราแนะนำโดยให้เริ่มต้นจัดเก็บจริงอยู่ที่ 0.3% หรือล้านละ 3,000 บาท
 
ดังนั้น จากเพดานภาษีที่ดินเปล่าซึ่งแพงที่สุดในจำนวน 4 ประเภทดังกล่าว ทำให้มีการบริหารภาษีด้วยการนำที่ดินเปล่าปลูกพืชผักเพื่อเข้าเกณฑ์จ่ายภาษีประเภทเกษตรกรรม
 
โฟกัสผังเมืองสีแดง-ม่วง

แหล่งข่าวจากกรุงเทพมหานคร กล่าวกับ “ประชาชาติธุรกิจ” เพิ่มเติมว่า ขณะนี้สำนักการคลัง กทม. ได้ยกร่างข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร เพื่อเพิ่มอัตราภาษีที่ดินประเภทเกษตรกรรมให้มีการจัดเก็บสูงสุดตามเพดานภาษี อยู่ที่ 0.15% หรือล้านละ 1,500 บาท ในกรณีมีการนำที่ดินเปล่าในโซนผังเมืองที่ไม่ใช่ผังเมืองสีเขียวแต่นำมาใช้ประโยชน์ประกอบการเกษตร
 
โดยการเพิ่มภาษีที่ดินเกษตรกรรมดังกล่าว โฟกัสไปที่การใช้ประโยชน์ที่ดินตามกฎหมายผังเมือง 3 ประเภทคือ ที่ดินประเภทพาณิชยกรรมหรือผังเมืองสีแดง, ที่ดินประเภทอุตสาหกรรมหรือผังเมืองสีม่วง และที่ดินประเภทคลังสินค้าหรือผังเมืองสีเม็ดมะปราง
 
ทั้งนี้ ผังเมืองรวมกรุงเทพมหานคร 2556 จำแนกที่ดินเป็น 10 ประเภท ได้แก่ 1.โซนสีเหลือง ประเภทที่อยู่อาศัยหนาแน่นน้อย 2.สีส้ม ที่อยู่อาศัยหนาแน่นปานกลาง 3.สีน้ำตาล ที่อยู่อาศัยหนาแน่นมาก 4.สีแดง พาณิชยกรรม 5.สีม่วง อุตสาหกรรม
 
6.สีเม็ดมะปราง ประเภทคลังสินค้า 7.สีขาวทแยงเขียว อนุรักษ์ชนบทและเกษตรกรรม 8.สีเขียว ชนบทและเกษตรกรรม 9.สีน้ำตาลอ่อน ที่ดินอนุรักษ์เพื่อส่งเสริมเอกลักษณ์ศิลปวัฒนธรรมไทย และ 10.โซนสีน้ำเงิน ประเภทสถานที่ราชการ สาธารณูปโภคและสาธารณูปการ
เบื้องต้น พิจารณาจากร่างข้อบัญญัติ กทม.ที่กำลังจะออกมาบังคับใช้ พบว่า กทม.เตรียมขึ้นภาษีที่ดินเกษตรกรรมชนเพดานภาษี เฉพาะการนำที่ดินเปล่าในผังเมืองสีแดง-สีม่วง-สีเม็ดมะปรางมาปลูกพืชเกษตร ส่วนผังเมืองสีอื่น ๆ ให้ใช้อัตราภาษีที่ดินฯที่เป็นอัตราผ่อนผันตามเดิม
 
สำรวจสีผังเมือง 50 เขต

ผู้สื่อข่าวสำรวจโซนสีผังเมือง 50 เขตในพื้นที่ 1,500 ตารางกิโลเมตรของ กทม. พบว่า ผังเมืองสีแดง ประเภทพาณิชยกรรม มีการกระจายตัวครอบคลุมพื้นที่ส่วนใหญ่ โดยมีจำนวน 4 เขตที่ไม่มีผังเมืองสีแดง ได้แก่ เขตสะพานสูง ผังเมืองสีเหลือง, เขตพระโขนง โซนสีส้ม, เขตบางคอแหลม-เขตดินแดง โซนสีน้ำตาล และมี 5 เขตที่ผังเมืองสีแดงกินพื้นที่ 90-100% ได้แก่ เขตบางรัก, เขตปทุมวัน, เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย, เขตราชเทวี และเขตสัมพันธวงศ์
 
สำหรับผังเมืองสีม่วงพบใน 8 เขตหลัก ได้แก่ เขตหนองจอก, เขตลาดกระบัง, เขตมีนบุรี, เขตบางบอน, เขตบางซื่อ, เขตประเวศ, เขตบางขุนเทียน และเขตคันนายาว สุดท้าย ผังเมืองสีเม็ดมะปรางพบใน 2 เขตที่เขตคลองเตยกับเขตลาดกระบัง
 
คลังชี้ กทม.มีอำนาจทำได้เอง
 
นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.คลัง กล่าวว่า การจะจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างให้เต็มเพดาน เป็นอำนาจหน้าที่ของ กทม. ที่สามารถพิจารณาดำเนินการได้เองอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องหารือกระทรวงการคลังแต่อย่างใด
 
“เป็นอำนาจหน้าที่ของเขาที่จะต้องไปพิจารณาเอง หากจะจัดเก็บเต็มเพดาน” นายอาคมกล่าว
 
ขณะที่ นายพรชัย ฐีระเวช ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง กล่าวว่า สศค.อยู่ระหว่างพิจารณาตามที่ กทม.ได้ทำหนังสือหารือมา อย่างไรก็ดี ตามกฎหมายภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ให้อำนาจท้องถิ่นในการเก็บภาษีเพิ่มได้เองอยู่แล้ว ไม่ต้องหารือมาที่กระทรวงการคลังแต่อย่างใด

นอกจากนี้ กทม.ยังสามารถออกข้อบัญญัติเก็บภาษีได้เอง โดยไม่ต้องขอคณะกรรมการภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างประจำจังหวัด เหมือนกรณีองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอื่น ๆ ด้วย เพราะกฎหมายยกเว้นให้ไม่ต้องเสนอคณะกรรมการดังกล่าว
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่