ใครๆก็อยากรู้ว่าเมื่อเราอายุ18แล้วมันจะเป็นอย่างไร เหนื่อยไหม ต้องเป็นผู้ใหญ่ขึ้นแน่ๆ แต่สำหรับฉันตอนอายุ18 (ณ ขณะที่เขียนบันทึกนี้เราอายุครบ19ปีแล้วจ้าา) มันคือช่วงเปลี่ยนของชีวิตจริงๆ มันครบรสมากจริงๆค่ะ ทั้งเรื่องเรียน ครอบครัว หรือแม้เเต่ความรัก อะมาเริ่มเลย
วันแรกที่อายุครบ18ปี มันเป็นความรู้สึกที่เต็มเปี่ยมด้วยแพชชั่นหลายอย่างมากๆทั้งการทำงาน การวางแผนชีวิตของอนาคตมันดูดีไปหมดเลย รวมถึงความรู้สึกของการเป็นผู้ใหญ่ด้วยนะ แต่หลังจากวันเกิดครบรอบประมาณ2เดือน ก็มีเรื่องให้กังวลใจมากมายทีเดียวชีวิตเปลี่ยนไป ทัศนคติเปลี่ยนไปอย่างมากเลยล่ะ ตอนนั้นเรื่องเเรกที่ถาโถมเข้ามาเลยคือ ครอบครัว นั่นคือ พ่อเราติดโควิด(ช่วงนั้นเป็นช่วงที่คนติดเยอะมากๆเเละเสียชีวิตวันนึงเป็นร้อยคน) อาการรุนเเรงมาก ลงปอดทั้ง2ข้าง เราเป็นห่วงพ่อมากๆ เราเป็นเด็กที่ติดพ่อมากๆเลยล่ะ ช่วงนั้นร้องไห้ทุกวัน นอนไม่หลับ เครียดเเละกังวลเกี่ยวกับพ่อมากๆ เวลาโทรหาพ่อ พ่อก็ไอตลอด พูดเยอะก็ไม่ได้ เอาแต่ไอ เราอยากไปอยู่ตรงนั้นข้างๆพ่อมาก แต่กลับทำอะไรไม่ได้เลย ตอนนั้นเรา3คน พ่อแม่ลูกแยกกันอยู่หมดเลยเพราะต้องกักตัว ทุกครั้งที่พ่อวิดีโอคอลมา ใจเรามันเปียกปอนไปหมด แต่สิ่งที่ต้องเเสดงออกไปคือ ยิ้ม ยิ้ม ยิ้ม เพื่อเเสดงให้พ่อเห็นว่า ทุกอย่างโอเคดี ไม่มีอะไรต้องห่วงลูกคนนี้ เรารู้ดีว่าถ้าเมื่อไหร่ที่พ่อกับเเม่เห็นน้ำตาเราทุกอย่างพังเเน่นอน ใจทุกคนแป๋วเเน่นอน เราเป็นเหมือนไม้ที่คล้ำอยู่ที่ต้นไม้ที่ยืนด้นแทบไม่ได้แล้ว เรารู้ตัวดีว่าเราคือกำลังใจของเค้า เเต่ในทางกลับกันเรา
โคตรเหนื่อยกับความรู้สึกที่ต้องฝืนทำเป็นทุกอย่างโอเค ทุกอย่างดี ทั้งๆที่ในใจเราก็พังและแตกสลายตั้งแต่รู้ว่าพ่อติดโควิด แต่ท้ายที่สุดขอบคุณทุกอย่างที่ทำให้พ่อเราหายดีและปลอดภัย และเรากับแม่ก็ไม่ติดโควิดด้วย
ต่อมาพอพ่อหายจากโควิดปุ๊บ เราก็เครียดเรื่องการต่อมหาลัยอีก เพราะเราอยู่ ม.6 พอดี ตอนเเรกที่คิดไว้คือจะต่อสายวิทย์สุขภาพแน่นอน อยากเป็นหมอ อยากเป็นเภสัช มาทั้งชีวิต แต่ทุกคนเชื่อมั้ยว่า สิ่งที่เราบอกไปเมื่อตะกี้คือการที่โดนคนรอบข้างเป่าหูทั้งนั้น และเเย่ที่สุดคือตัวเราเองกับเชื่อคำพูดเหล่านั้น แต่ก็ยังดีที่เรากลับมาถามตัวเองทันว่าอยากทำงานด้านนั้นจริงๆหรือป่าว คำตอบที่เราตอบตัวเองคือ ทำได้นะ เเต่คงไม่ตลอดชีวิตหรอก เราวางแผนไว้เเค่ว่าเราจะเรียนสายวิทย์สุขภาพเผื่อพ่อกับแม่เท่านั้นเลย แต่พอมาวันนึงมันอึดอัดมากที่ต้องคิดว่า จะต้องไปเรียนในสิ่งที่ไม่ได้ชอบ เราเลยตัดสินใจคุยกับเเม่เเละพ่อ บอกไปว่าเราขอเปลี่ยนเราไม่อยากเข้าเเพทย์แล้ว แต่ก็เป็นความโชคดีมากๆของเราเลยล่ะ ที่พ่อกับเเม่เข้าใจเเละฟังเรา ท่านบอกว่า "จะเลือกเรียนอะไรก็ตามใจเลย คนที่เรียนคือตัวเราเอง อย่ามาเรียนเพื่อพ่อกับเเม่เลย มันไม่เวิร์คหรอก" ตั้งแต่ได้ยินประโยคนี้เหมือนได้ปลดล็อกทุกอย่างตั้งแต่เกิดเลย ซึ้งใจจนร้องไห้ จนอยากจะกราบพระเจ้าที่ส่งฉันมาเป็นลูกพวกเค้า555555 เเละสำหรับเรื่องความรักเรากลายเป็นคนที่กลัวการเริ่มต้นใหม่และกลัวการผูกมัดไปแล้ว
แต่ฉันก็ยังโชคดีอีกที่ฉันเป็นติ่งจ้าาาา ขอบคุณเพื่อนมากที่พาเข้าวงการนี้เมื่อก่อนนี้เราไม่สนใจอะไรพวกนี้เลย ไม่สนจริงๆแต่อยู่ๆ เพื่อนดันส่งคลิปวงเคป็อปวงนึงมาให้แล้วถามว่าคนไหนหล่อ เราก็ตอบส่งๆไป ตามน้ำเพื่อนไปแต่สุดท้ายเราก็ใจอ่อนเข้าวงการนี้จนได้5555555 ทุกครั้งที่เรามีปัญหาพวกเค้าเป็นคนที่ดึงเราออกมาจากมุมมืดมุมนั้นจริงๆนะ ถ้าเราไม่ได้ติ่งพวกเค้า เราคง.... ไม่รู้สิ เเต่เราคงไม่เป็นเราแบบในวันนี้เเน่นอน และเราในตอนนี้เป็นเราในเวอร์ชั่นที่เราภูมิใจมาก ทั้งทัศนคติ นิสัย การวางตัว การเข้าสังคม เราอยากบอกว่าเราชอบตัวเองตอนนี้จริงๆ เรื่องของเราในวัย18ก็มีประมาณนี้เเหละ
:> บทเรียนที่ได้จากการที่อายุ18 คือ ไม่มีอะไรที่แน่นอน ทุกอย่างเป็นไปได้เสมอ ทุกอย่างมี2ด้านเสมอ จงเชื่อมั่นในตนเอง
:ขอบคุณที่อ่านจบนะคะ เราเเค่อยากแชร์มุมมองของวัย18 ที่น่าจดจำเท่านั้นเอง:
บันทึกวัย 18 ของดิช้านนน
วันแรกที่อายุครบ18ปี มันเป็นความรู้สึกที่เต็มเปี่ยมด้วยแพชชั่นหลายอย่างมากๆทั้งการทำงาน การวางแผนชีวิตของอนาคตมันดูดีไปหมดเลย รวมถึงความรู้สึกของการเป็นผู้ใหญ่ด้วยนะ แต่หลังจากวันเกิดครบรอบประมาณ2เดือน ก็มีเรื่องให้กังวลใจมากมายทีเดียวชีวิตเปลี่ยนไป ทัศนคติเปลี่ยนไปอย่างมากเลยล่ะ ตอนนั้นเรื่องเเรกที่ถาโถมเข้ามาเลยคือ ครอบครัว นั่นคือ พ่อเราติดโควิด(ช่วงนั้นเป็นช่วงที่คนติดเยอะมากๆเเละเสียชีวิตวันนึงเป็นร้อยคน) อาการรุนเเรงมาก ลงปอดทั้ง2ข้าง เราเป็นห่วงพ่อมากๆ เราเป็นเด็กที่ติดพ่อมากๆเลยล่ะ ช่วงนั้นร้องไห้ทุกวัน นอนไม่หลับ เครียดเเละกังวลเกี่ยวกับพ่อมากๆ เวลาโทรหาพ่อ พ่อก็ไอตลอด พูดเยอะก็ไม่ได้ เอาแต่ไอ เราอยากไปอยู่ตรงนั้นข้างๆพ่อมาก แต่กลับทำอะไรไม่ได้เลย ตอนนั้นเรา3คน พ่อแม่ลูกแยกกันอยู่หมดเลยเพราะต้องกักตัว ทุกครั้งที่พ่อวิดีโอคอลมา ใจเรามันเปียกปอนไปหมด แต่สิ่งที่ต้องเเสดงออกไปคือ ยิ้ม ยิ้ม ยิ้ม เพื่อเเสดงให้พ่อเห็นว่า ทุกอย่างโอเคดี ไม่มีอะไรต้องห่วงลูกคนนี้ เรารู้ดีว่าถ้าเมื่อไหร่ที่พ่อกับเเม่เห็นน้ำตาเราทุกอย่างพังเเน่นอน ใจทุกคนแป๋วเเน่นอน เราเป็นเหมือนไม้ที่คล้ำอยู่ที่ต้นไม้ที่ยืนด้นแทบไม่ได้แล้ว เรารู้ตัวดีว่าเราคือกำลังใจของเค้า เเต่ในทางกลับกันเราโคตรเหนื่อยกับความรู้สึกที่ต้องฝืนทำเป็นทุกอย่างโอเค ทุกอย่างดี ทั้งๆที่ในใจเราก็พังและแตกสลายตั้งแต่รู้ว่าพ่อติดโควิด แต่ท้ายที่สุดขอบคุณทุกอย่างที่ทำให้พ่อเราหายดีและปลอดภัย และเรากับแม่ก็ไม่ติดโควิดด้วย
ต่อมาพอพ่อหายจากโควิดปุ๊บ เราก็เครียดเรื่องการต่อมหาลัยอีก เพราะเราอยู่ ม.6 พอดี ตอนเเรกที่คิดไว้คือจะต่อสายวิทย์สุขภาพแน่นอน อยากเป็นหมอ อยากเป็นเภสัช มาทั้งชีวิต แต่ทุกคนเชื่อมั้ยว่า สิ่งที่เราบอกไปเมื่อตะกี้คือการที่โดนคนรอบข้างเป่าหูทั้งนั้น และเเย่ที่สุดคือตัวเราเองกับเชื่อคำพูดเหล่านั้น แต่ก็ยังดีที่เรากลับมาถามตัวเองทันว่าอยากทำงานด้านนั้นจริงๆหรือป่าว คำตอบที่เราตอบตัวเองคือ ทำได้นะ เเต่คงไม่ตลอดชีวิตหรอก เราวางแผนไว้เเค่ว่าเราจะเรียนสายวิทย์สุขภาพเผื่อพ่อกับแม่เท่านั้นเลย แต่พอมาวันนึงมันอึดอัดมากที่ต้องคิดว่า จะต้องไปเรียนในสิ่งที่ไม่ได้ชอบ เราเลยตัดสินใจคุยกับเเม่เเละพ่อ บอกไปว่าเราขอเปลี่ยนเราไม่อยากเข้าเเพทย์แล้ว แต่ก็เป็นความโชคดีมากๆของเราเลยล่ะ ที่พ่อกับเเม่เข้าใจเเละฟังเรา ท่านบอกว่า "จะเลือกเรียนอะไรก็ตามใจเลย คนที่เรียนคือตัวเราเอง อย่ามาเรียนเพื่อพ่อกับเเม่เลย มันไม่เวิร์คหรอก" ตั้งแต่ได้ยินประโยคนี้เหมือนได้ปลดล็อกทุกอย่างตั้งแต่เกิดเลย ซึ้งใจจนร้องไห้ จนอยากจะกราบพระเจ้าที่ส่งฉันมาเป็นลูกพวกเค้า555555 เเละสำหรับเรื่องความรักเรากลายเป็นคนที่กลัวการเริ่มต้นใหม่และกลัวการผูกมัดไปแล้ว แต่ฉันก็ยังโชคดีอีกที่ฉันเป็นติ่งจ้าาาา ขอบคุณเพื่อนมากที่พาเข้าวงการนี้เมื่อก่อนนี้เราไม่สนใจอะไรพวกนี้เลย ไม่สนจริงๆแต่อยู่ๆ เพื่อนดันส่งคลิปวงเคป็อปวงนึงมาให้แล้วถามว่าคนไหนหล่อ เราก็ตอบส่งๆไป ตามน้ำเพื่อนไปแต่สุดท้ายเราก็ใจอ่อนเข้าวงการนี้จนได้5555555 ทุกครั้งที่เรามีปัญหาพวกเค้าเป็นคนที่ดึงเราออกมาจากมุมมืดมุมนั้นจริงๆนะ ถ้าเราไม่ได้ติ่งพวกเค้า เราคง.... ไม่รู้สิ เเต่เราคงไม่เป็นเราแบบในวันนี้เเน่นอน และเราในตอนนี้เป็นเราในเวอร์ชั่นที่เราภูมิใจมาก ทั้งทัศนคติ นิสัย การวางตัว การเข้าสังคม เราอยากบอกว่าเราชอบตัวเองตอนนี้จริงๆ เรื่องของเราในวัย18ก็มีประมาณนี้เเหละ
:> บทเรียนที่ได้จากการที่อายุ18 คือ ไม่มีอะไรที่แน่นอน ทุกอย่างเป็นไปได้เสมอ ทุกอย่างมี2ด้านเสมอ จงเชื่อมั่นในตนเอง
:ขอบคุณที่อ่านจบนะคะ เราเเค่อยากแชร์มุมมองของวัย18 ที่น่าจดจำเท่านั้นเอง: