หลังจากความสำเร็จของ 4 Kings ในปีที่แล้ว ชื่อของบริษัท "เนรมิตรหนังฟิล์ม" ก็ดูจะเป็นที่รู้จักมากขึ้น ซึ่งทางค่ายก็ไม่รอช้า โดยการปล่อยโปรเจกต์ที่มีชื่อว่า I Am Monster ที่เป็นจักรวาลของภาพยนตร์สัตว์ประหลาดสัญชาติไทย โดยมีทั้งหมด 3 เรื่อง ซึ่งมี "ไลโอโคตรแย้ยักษ์" เป็นภาพยนตร์เปิดจักรวาลเข้าฉายเป็นเรื่องแรก ซึ่งก็เป็นเหมือนตัวจุดประกายความหวังของวงการภาพยนตร์ของไทย ที่มีคนกล้าจะฉีกออกไปจากแนวเดิมๆ เสียที หลังจากที่วงการภาพยนตร์บ้านเราดูเหมือนจะถูกแช่แข็งมานานนับทศวรรษแล้ว เพราะภาพยนตร์ส่วนใหญ่ที่ประสบความสำเร็จก็มักจะวนอยู่แต่แนวเดิมๆ แค่ ตลก รัก ผี เท่านั้น
เรื่องราวของ เก้า (พิชญะ นิธิไพศาลกุล) ศิลปินหนุ่มฮิปฮอปที่มีเรื่องฉาวจนต้องระหกระเหินกลับบ้านเกิด พ่วงด้วย เจน (ณัฐชา เดอซูซ่า) ที่ก็พลอยติดร่างแหไปด้วย ทั้งคู่จึงกลับไปตั้งหลักที่บ้านเกิดในจังหวัดเลย และเพื่อร่วมงานศพคุณปู่ของเก้าด้วย ในจังหวะเดียวกัน ฝน (ธนันต์ธรญ์ นีระสิงห์) ยูทูบเบอร์เพื่อนสาวสมัยเด็กของเก้าที่อยากพัฒนาบ้านเกิด จึงจัดงานแข่งหาแหล่งน้ำในทุ่งตะวันแยงเพื่อชิงเงินรางวัล 1 ล้านบาทสำหรับผู้ชนะ เก้า เจน และ โย (ศุภชัย สุวรรณอ่อน) คนสนิทของปู่ จึงจัดทีมเพื่อลงแข่งขันขุดเจาะน้ำบาดาลชิงเงินรางวัลในครั้งนี้ แต่หารู้ไม่ว่า ที่ทุ่งตะวันแยงแห่งนี้มีสัตว์ร้ายที่กำลังซุ่มรอเพื่อจะเอาชีวิตของพวกเขาทุกคน
ก่อนอื่นคงต้องนับถือหัวจิตหัวใจของผู้สร้าง ที่กล้าที่จะสร้างภาพยนตร์ที่ดูจะต้องใช้ทุนสูง อย่างการใช้เทคนิคด้านคอมพิวเตอร์ในการเนรมิตตัว "แย้ยักษ์" ขึ้นมา ซึ่งไม่ใช่แค่ฉากสองฉาก แต่เป็นส่วนใหญ่ของตัวเรื่องเกือบทั้งหมด หนำซ้ำยังต้องเผยตัวกันกลางแจ้ง เห็นกันชัดๆ ทุกๆ ท่าทาง และมีปฏิสัมพันธ์กับตัวละครมากกว่าแค่มาผลุบๆ โผล่ๆ แน่นอนว่าคงไม่สามารถเทียบกับฝั่งฮอลิวูดที่มีทุนสร้างมากกว่านี้นับสิบๆ เท่า แต่ก็บอกได้ว่า ไลโอ มีคุณภาพงานสร้างด้วยเทคนิค CGI ที่อยู่ในแถวหน้าของประเทศเราแล้วอย่างไม่ต้องสงสัย
แต่กระนั้นก็ต้องเข้าใจว่า แก่นแท้ของภาพยนตร์มันอยู่ที่การเล่าเรื่อง เพราะภาพยนตร์ก็คือการสื่อสารแบบหนึ่ง ไม่ต่างจากงานศิลปะประเภทอื่นๆ ฉะนั้น ส่วนที่เราเชิดชูกันนักหนาอย่างเรื่อง CGI ก็เป็นเพียงแค่ส่วนเสริม ที่ถ้าหากปราศจากการเล่าเรื่องที่มีคุณภาพแล้ว ภาพยนตร์เรื่องนั้นก็ไม่อาจจะไปถึงจุดที่คาดหวังไว้ได้ (หรือเรียกว่าจบเห่) นั่นแหละ สำหรับ ไลโอ เราก็กังวลกันมาตั้งแต่ตัวอย่างแล้วว่า ตัวเนื้อเรื่อง มันจะพอไปได้รึเปล่า เพราะหลายคนก็รู้สึกได้ถึงกลิ่นแปลกๆ ตั้งแต่ตัวอย่างแล้ว และหลายครั้งที่ภาพยนตร์แนวนี้ดูจะท่าดีทีเหลวซะด้วย(ไม่ใช่กับแค่ของไทย)
ซึ่งก็ต้องบอกกันตรงๆ ว่า ไม่ผิดจากที่คาดไว้สักเท่าไหร่ เพราะหนังเรื่องนี้ ล้มเหลวในการเล่าเรื่องและด้านอื่นๆ ด้วยอย่างสิ้นเชิง เอาเข้าจริงๆ สารตั้งต้นของหนังดูมีความน่าสนใจไม่น้อย ทั้งพล็อตเรื่องของเก้า (พระเอก) กับการต้องกับบ้านเกิดมาขุดน้ำบาดาลเพราะล้มเหลวจากการเป็นศิลปินในเมืองกรุง หรือการเชื่อมโยงตัวแย้กับการที่ต้องถูกล่ามาเป็นอาหาร แล้ววันหนึ่งมนุษย์ถูกล่ากลับบ้าง มันก็ดูดีไม่หยอกเลย แต่พอยิ่งเติมส่วนอื่นๆ มา มันก็ยิ่งยุ่งเหยิง ทั้งส่วนของอดีตของเก้ากับคุณปู่ หรือจะเป็นตัวละคร ฝน (นางเอก) ของเรื่องที่ก็ดูเหมือนถูกจับใส่อย่างง่ายๆ แต่ส่วนที่คิดว่า ทำลายตัวหนังที่สุด เห็นจะเป็นความล้นของตัวละคร ทุกตัวที่ใส่เข้ามา คือ มันดูน่ารำคาญมากกว่าจะขับอารมณ์ของเรื่อง เลยทำให้มูดแอนด์โทน ของเรื่องพังไปโดยปริยาย เพราะหาความลงตัวของสิ่งนี้กับเรื่องไม่ได้เลยจริงๆ ทั้งสีสันของเสื้อผ้าของตัวละครที่เป็นชุดที่ไม่น่ามีคนใส่มาเพื่อขุดหาน้ำบาดาลอะนะ คำพูดกับแอคติ้งปลอมๆ ที่เหมือนแสดงละครเวทีหน้าเสาธง แต่ที่เห็นแล้วตลกสุดเลย คือ มีรถยนต์คนนึงที่ติดพระมาเต็มรถเลย(เพื่อ?) ถ้าจะบอกว่าสิ่งเหล่านี้มันเป็นสไตล์ที่ผู้กำกับต้องการใส่มา แต่ถ้าใส่มาแล้วมันทำลายความจริงจังของตัวเรื่อง มันก็ส่งผลเสียมากกว่าผลได้จริงมั้ย (ถ้าพูดแรงๆ คือมันเห่ยมาก)
นั่นยังพอมองข้ามได้ แต่สิ่งที่ทำลายหนังอีก(แล้ว)อย่าง คือ ความไม่ต่อเนื่องของฉาก ยิ่งช่วงแรกต้องบอกว่า การตัดต่อเปลี่ยนฉากก็ทำได้ไม่ดีเอาซะเลย เล่าโดดไปโดดมา เพื่อหวังจะเข้าเรื่องหลักให้ได้ไวๆ มันดูไร้อารมณ์มาก และมีจุดที่ถ้าเป็นงานส่งอาจารย์คงต้องให้กลับไปแก้ใหม่ เพราะมีฉากที่ตัวละครยังหัวเราะไม่ทันสุดเสียง ก็ตัดเปลี่ยนฉากไปซะงั้น (อันนี้ต้องเรียกว่าผิดพลาดจริง และไม่ควรเกิดขึ้น) พอมาถึงช่วงขุดหาน้ำ จะบอกว่าเพราะเป็นพื้นที่การถ่ายมันไม่ได้กว้างพอ (ถ่ายทำที่หนองจอก) การรับรู้ด้านพื้นที่ของคนดูเลยมีปัญหา คือ ต่อให้ไม่คิดก็รู้สึกได้ว่า พื้นที่ของตัวละครมันก็วนๆ อยู่ที่เดิมๆ นั่นแหละ แล้วก็ไม่ได้เปลี่ยนโลเคชั่นไปไหนเลยด้วยนอกจากถ้ำ พอรวมกับเรื่องมิติของความลึกที่ไม่สมจริง (อันนี้ก็พอจะเห็นใจได้) มันเลยพาลทำให้ช่วงกลางๆ ดูไม่สนุกไปด้วย (เพราะมันดูไม่สมจริงเกินไป) นี่ยังไม่รวมความไม่ต่อเนื่องของช็อตต่างๆ ที่เหมือนจะดูถ่ายแยกๆ มา แต่พอตัดมารวมกันมันดันไม่สมูท ก็เลยจะเห็นการข้ามไปข้ามมาของแอคชั่นตัวแย้และตัวละครอยู่บ่อยครั้ง ซึ่งก็สร้างความหงุดหงิดไม่น้อย
นั่นก็ยังไม่ใช่ที่สุด สิ่งที่หนักที่สุด และหนังไม่สามาถให้กับคนดูได้ นั่นคือ อารมณ์ของความตื่นเต้นเร้าใจ ที่ต่อให้องค์ประกอบที่พูดมาข้างต้น จะทำได้ไม่ดีเพียงใด แต่ถ้าหนังสามารถให้ความบันเทิงในฐานะของหนังแอคชั่นกับสัตว์ประหลาดตัวยักษ์ ก็เรียกว่ายังพอให้อภัยได้ (หรือที่ชอบพูดกันว่า ขอแค่หนังสนุกก็พอแล้วป้ะ) คำว่าสนุก คงเป็นคำที่ห่างไกลจากหนังเรื่องนี้พอดู เพราะหนังไม่สามารถสร้างอารมณ์บีบคั้น ความตื่นเต้น ความวิตก ความน่ากลัว ให้กับคนดูได้เลย แม้จะเห็นคนโดนกิน โดนฆ่าจังๆ หลายครั้ง แต่อย่างที่บอกไปข้างต้นว่า ตัวละครเหล่านั้นมันดูไม่เมคเซนส์มากๆ คนดูเลยไม่รู้สึกอะไรกับการตายของพวกเขามากนัก (คือรู้เลยว่า ตัวละครพวกนี้เดี๋ยวยังไงก็ต้องเป็นเหยื่อแน่นอนทำนองนั้น)
นี่ยังนับรวมไปถึงพวกพระเอกอย่างเก้าด้วยเช่นกันด้วยว่า เขาและพรรคพวกไม่ใช่ยอดมนุษย์ที่ดูจะรับมือกับแย้ยักษ์ได้โดยการสู้ซึ่งๆ หน้า ซึ่งถ้าในทางปกติ หนังจะต้องมาทำนองที่ว่า ตัวละครเหล่านี้จะใช้ความฉลาดในฐานะที่เป็นมนุษย์ หาทางหนีทีไล่หรือกำจัดเจ้าสัตว์ประหลาดลงไป จะบอกว่าตัวหนังก็อยู่ในร่องนี้แหละ เพียงแต่ว่ามันอาจจะดูบางเบามากๆ จริงๆ จะบอกว่า ตัวละครเก้าที่เป็นตัวเอกของเรื่องบาดเจ็บมากที่สุดตอนไหน คงเป็นตอนที่โดนหางแย้ฟาดแล้วกระเด็นไปกระแทกกับรถ (แต่ก็ลุกขึ้นมาวิ่งได้ต่อ) หรือจังหวะไหนที่ลุ้นที่สุด ก็คงต้องตอบว่าเป็นจังหวะที่ตัวละครเจนและเสี่ยหมีต้องแอบหนีออกจากรถที่เจ้าแย้ยักษ์นอนหลับทับอยู่ แล้วแบบนี้จะให้คนดูรู้สึกถึงความระทึก ตื่นเต้นเร้าใจได้ยังไงกัน ยังไม่นับถึงท่าทีของแย้อีก ที่ดูเหมือนตระหนักรู้ได้ว่า เก้าเป็นพระเอกของเรื่องนะ เราจะไม่ทำอันตรายเขา ไปไล่เก็บพวกตัวประกอบก่อนดีกว่า ยังไงยังงั้น ฮ่าๆๆ
จะว่าไปก็เหมือนเคยได้ยินมาว่า ผู้กำกับได้แรงบันดาลใจจากภาพยนตร์สัตว์ประหลาดใต้ผืนทะเลทรายเรื่อง Tremors (1990) ก็จะเห็นว่าองค์ประกอบของ Tremors ถูกใส่ลงในหนังเรื่องนี้แทบจะทั้งหมด ทั้งเรื่องราวของสัตว์ร้ายใต้ผืนทะเลทราย ตัวละครมีคาแรคเตอร์ที่โดดเด่น ความรุนแรงเลือดสาด และความตลกขบขัน แต่ดันละเลยในส่วนสำคัญอีกอย่าง คือ การทำตัวเป็นนักสืบของตัวละคร ซึ่งปกติแล้วหนังทำนองนี้(และใน Tremors ด้วย) อย่างน้อยมันจะต้องมีการสืบสวน หรือตั้งข้อสงสัยและหาสิ่งที่มาของสัตว์ยักษ์ แต่กับไลโอเราเห็นเพียงแค่ตัวละครออกมาโวยวาย แล้วก็ไม่ได้มีทีท่าจะประหลาดใจที่เจอแย้ตัวใหญ่เท่าไดโนเสาร์ ปฏิกิริยาของตัวละครเหมือนเห็นสิ่งที่คุ้นชินอยู่แล้วเพียงแค่มันตัวใหญ่แค่นั้นเอง เอาจริงๆ ถ้าหนังจะเพิ่มเส้นเรื่องรองในแง่ของการอธิบายสิ่งเหล่านี้เข้ามาน่าจะดีมากกว่าไปย้อนอดีตของตัวเก้ากับคุณปู่ด้วยซ้ำ
ต้องขอขยายในส่วนของการเล่าเรื่องอีกสักหน่อย ซึ่งก็สิ่งที่เป็นปัญหาหนักพอกัน ไม่รู้ว่าเป็นต้นเหตุหรือปลายเหตุ แต่ดูเหมือนจะอิรุงตุงนังกับหลายๆ อย่างที่บอกไปข้างต้นด้วย สิ่งที่เกิดขึ้นคือ การเล่าเรื่องมันทื่อจนน่าง่วงนอนสุดๆ จนคนดูแทบไม่ต้องคิดตามหรือเดาสิ่งที่จะเกิดขึ้นเลย (ก็ไม่มีประเด็นอะไรจะคิดตามแหละ) เพราะตัวเรื่องเล่าแบบเป็นเส้นตรงเป๊ะๆ อาจมีตัดไปเล่าตัวละครสมทบบ้าง แล้วก็ตัดมา แต่ก็ไม่ได้ช่วยเพิ่มมิติแต่อย่างใด ถ้าถามว่าไดนามิกของเส้นเรื่องที่เกิดขึ้นคงเป็นแค่การแฟลชแบ็ค (Flashback) ไปเล่าเรื่องของเก้ากับคุณปู่นั่นแหละ ตอนแรกก็ดูเหมือนจะสร้างมิติของเรื่องได้ แต่พอเวลาผ่านไป ยิ่งแฟลชแบ็คพร่ำเพรื่อจนน่ารำคาญซะงั้น เรียกว่า เก้าหยิบของชิ้นไหนที่เกี่ยวข้องกับคุณปู่แฟลชแบ็คจะมาทันที เป็นการใช้แฟลชแบ็คที่ไร้ชั้นเชิงมาก เหมือนกลัวคนดูไม่เข้าใจ ถ้าพูดกันตรงๆ การเล่าเรื่องของไลโอนั้น "กลวง" อย่างไม่ต้องสงสัย ถ้าไปประกอบกับที่อธิบายมาในอีก 4-5 ย่อหน้าด้านบน ก็ไม่ต้องแปลกใจถ้าหนังเรื่องนี้จะออกมาล้มเหลวไม่เป็นท่า
ในส่วนของการแสดงเชื่อว่า กอล์ฟ พิชญะ ถ่ายทอดบทของเก้า ออกมาได้มากที่สุดที่เขาจะทำได้แล้ว ซึ่งก็ยังพอทำให้เรารู้สึกจับต้องตัวละครนี้ได้บ้าง และก็มีความเข้าขากันกับ เจน แรปเปอร์รุ่นน้อง ที่รับบทโดย จีน่า ณัฐชา เอาเข้าจริงเคมีกับเจนยังรู้สึกเข้ากันได้ดีกว่ากับฝน ด้วยซ้ำ ไม่ใช่ว่า ฟาง ธนันต์ธรญ์ จะแสดงได้ไม่ดีแต่พื้นเพของตัวละครนี้ยังเบาบางจนเกินกว่าที่คนดูจะรู้สึกอินในความสัมพันธ์ของพระนาง ส่วน โย ของปาล์ม ศุภชัย และเสี่ยหมี ที่รับบทโดย เทพ พงศ์เทพ ก็ต้องบอกว่าเป็นตัวละครที่เพิ่มเข้ามาให้เป็นสีสันและไม่เหงาแค่นั้น ยิ่งคนหลังต้องบอกว่า ถ้าใครชอบก็ชอบเลย ถ้าใครไม่ชอบก็คงอยากให้พี่เขาโดยแย้เขมือบไวๆ
ข้อดีที่พอจะบอกได้ของภาพยนตร์เรื่องนี้ นอกจากเรื่องเทคนิค CGI แล้ว เห็นทีจะเป็นการถ่ายภาพที่มีการจัดแสงค่อนข้างดีเลย การเคลื่อนกล้องมีความเป็นภาพยนตร์แอคชั่น และการใช้สีที่ค่อนข้างฉูดฉาด ให้ความเป็นทะเลทรายได้ดี รวมถึงเสียงของแย้ยักษ์ก็โอเคให้ความน่าเกรงขามใช้ได้
สรุป ไลโอโคตรแย้ยักษ์ คงต้องบอกว่าเป็นภาพยนตร์ที่นอกจากงานสร้างแย้ยักษ์ที่ดูน่าตื่นตาตื่นใจสำหรับสเกลภาพยนตร์ของไทยแล้ว ส่วนอื่นๆ ถือว่าล้มเหลวแทบทั้งหมด นั่นทำให้โปรเจกต์เปิดตัวจักรวาลสัตว์ประหลาดของเนรมิตรหนังฟิล์มดูจะไม่สวยหรูเอาซะเลย และน่าจะส่งผลต่อความเชื่อมั่นต่อภาพยนตร์เรื่องต่อๆ ไปของโปรเจกต์นี้ด้วย แต่ก็ยังต้องให้กำลังใจกันต่อไป
ฝากเพจด้วยนะครับ
Story Decoder
[รีวิว] Leio ไลโอโคตรแย้ยักษ์: ภาพยนตร์ที่ดูเหมือนจะทุ่มพลังทั้งหมดไปกับตัวแย้ยักษ์โดยไม่เหลือพลังให้ด้านอื่นเลย
เรื่องราวของ เก้า (พิชญะ นิธิไพศาลกุล) ศิลปินหนุ่มฮิปฮอปที่มีเรื่องฉาวจนต้องระหกระเหินกลับบ้านเกิด พ่วงด้วย เจน (ณัฐชา เดอซูซ่า) ที่ก็พลอยติดร่างแหไปด้วย ทั้งคู่จึงกลับไปตั้งหลักที่บ้านเกิดในจังหวัดเลย และเพื่อร่วมงานศพคุณปู่ของเก้าด้วย ในจังหวะเดียวกัน ฝน (ธนันต์ธรญ์ นีระสิงห์) ยูทูบเบอร์เพื่อนสาวสมัยเด็กของเก้าที่อยากพัฒนาบ้านเกิด จึงจัดงานแข่งหาแหล่งน้ำในทุ่งตะวันแยงเพื่อชิงเงินรางวัล 1 ล้านบาทสำหรับผู้ชนะ เก้า เจน และ โย (ศุภชัย สุวรรณอ่อน) คนสนิทของปู่ จึงจัดทีมเพื่อลงแข่งขันขุดเจาะน้ำบาดาลชิงเงินรางวัลในครั้งนี้ แต่หารู้ไม่ว่า ที่ทุ่งตะวันแยงแห่งนี้มีสัตว์ร้ายที่กำลังซุ่มรอเพื่อจะเอาชีวิตของพวกเขาทุกคน
ก่อนอื่นคงต้องนับถือหัวจิตหัวใจของผู้สร้าง ที่กล้าที่จะสร้างภาพยนตร์ที่ดูจะต้องใช้ทุนสูง อย่างการใช้เทคนิคด้านคอมพิวเตอร์ในการเนรมิตตัว "แย้ยักษ์" ขึ้นมา ซึ่งไม่ใช่แค่ฉากสองฉาก แต่เป็นส่วนใหญ่ของตัวเรื่องเกือบทั้งหมด หนำซ้ำยังต้องเผยตัวกันกลางแจ้ง เห็นกันชัดๆ ทุกๆ ท่าทาง และมีปฏิสัมพันธ์กับตัวละครมากกว่าแค่มาผลุบๆ โผล่ๆ แน่นอนว่าคงไม่สามารถเทียบกับฝั่งฮอลิวูดที่มีทุนสร้างมากกว่านี้นับสิบๆ เท่า แต่ก็บอกได้ว่า ไลโอ มีคุณภาพงานสร้างด้วยเทคนิค CGI ที่อยู่ในแถวหน้าของประเทศเราแล้วอย่างไม่ต้องสงสัย
แต่กระนั้นก็ต้องเข้าใจว่า แก่นแท้ของภาพยนตร์มันอยู่ที่การเล่าเรื่อง เพราะภาพยนตร์ก็คือการสื่อสารแบบหนึ่ง ไม่ต่างจากงานศิลปะประเภทอื่นๆ ฉะนั้น ส่วนที่เราเชิดชูกันนักหนาอย่างเรื่อง CGI ก็เป็นเพียงแค่ส่วนเสริม ที่ถ้าหากปราศจากการเล่าเรื่องที่มีคุณภาพแล้ว ภาพยนตร์เรื่องนั้นก็ไม่อาจจะไปถึงจุดที่คาดหวังไว้ได้ (หรือเรียกว่าจบเห่) นั่นแหละ สำหรับ ไลโอ เราก็กังวลกันมาตั้งแต่ตัวอย่างแล้วว่า ตัวเนื้อเรื่อง มันจะพอไปได้รึเปล่า เพราะหลายคนก็รู้สึกได้ถึงกลิ่นแปลกๆ ตั้งแต่ตัวอย่างแล้ว และหลายครั้งที่ภาพยนตร์แนวนี้ดูจะท่าดีทีเหลวซะด้วย(ไม่ใช่กับแค่ของไทย)
ซึ่งก็ต้องบอกกันตรงๆ ว่า ไม่ผิดจากที่คาดไว้สักเท่าไหร่ เพราะหนังเรื่องนี้ ล้มเหลวในการเล่าเรื่องและด้านอื่นๆ ด้วยอย่างสิ้นเชิง เอาเข้าจริงๆ สารตั้งต้นของหนังดูมีความน่าสนใจไม่น้อย ทั้งพล็อตเรื่องของเก้า (พระเอก) กับการต้องกับบ้านเกิดมาขุดน้ำบาดาลเพราะล้มเหลวจากการเป็นศิลปินในเมืองกรุง หรือการเชื่อมโยงตัวแย้กับการที่ต้องถูกล่ามาเป็นอาหาร แล้ววันหนึ่งมนุษย์ถูกล่ากลับบ้าง มันก็ดูดีไม่หยอกเลย แต่พอยิ่งเติมส่วนอื่นๆ มา มันก็ยิ่งยุ่งเหยิง ทั้งส่วนของอดีตของเก้ากับคุณปู่ หรือจะเป็นตัวละคร ฝน (นางเอก) ของเรื่องที่ก็ดูเหมือนถูกจับใส่อย่างง่ายๆ แต่ส่วนที่คิดว่า ทำลายตัวหนังที่สุด เห็นจะเป็นความล้นของตัวละคร ทุกตัวที่ใส่เข้ามา คือ มันดูน่ารำคาญมากกว่าจะขับอารมณ์ของเรื่อง เลยทำให้มูดแอนด์โทน ของเรื่องพังไปโดยปริยาย เพราะหาความลงตัวของสิ่งนี้กับเรื่องไม่ได้เลยจริงๆ ทั้งสีสันของเสื้อผ้าของตัวละครที่เป็นชุดที่ไม่น่ามีคนใส่มาเพื่อขุดหาน้ำบาดาลอะนะ คำพูดกับแอคติ้งปลอมๆ ที่เหมือนแสดงละครเวทีหน้าเสาธง แต่ที่เห็นแล้วตลกสุดเลย คือ มีรถยนต์คนนึงที่ติดพระมาเต็มรถเลย(เพื่อ?) ถ้าจะบอกว่าสิ่งเหล่านี้มันเป็นสไตล์ที่ผู้กำกับต้องการใส่มา แต่ถ้าใส่มาแล้วมันทำลายความจริงจังของตัวเรื่อง มันก็ส่งผลเสียมากกว่าผลได้จริงมั้ย (ถ้าพูดแรงๆ คือมันเห่ยมาก)
นั่นยังพอมองข้ามได้ แต่สิ่งที่ทำลายหนังอีก(แล้ว)อย่าง คือ ความไม่ต่อเนื่องของฉาก ยิ่งช่วงแรกต้องบอกว่า การตัดต่อเปลี่ยนฉากก็ทำได้ไม่ดีเอาซะเลย เล่าโดดไปโดดมา เพื่อหวังจะเข้าเรื่องหลักให้ได้ไวๆ มันดูไร้อารมณ์มาก และมีจุดที่ถ้าเป็นงานส่งอาจารย์คงต้องให้กลับไปแก้ใหม่ เพราะมีฉากที่ตัวละครยังหัวเราะไม่ทันสุดเสียง ก็ตัดเปลี่ยนฉากไปซะงั้น (อันนี้ต้องเรียกว่าผิดพลาดจริง และไม่ควรเกิดขึ้น) พอมาถึงช่วงขุดหาน้ำ จะบอกว่าเพราะเป็นพื้นที่การถ่ายมันไม่ได้กว้างพอ (ถ่ายทำที่หนองจอก) การรับรู้ด้านพื้นที่ของคนดูเลยมีปัญหา คือ ต่อให้ไม่คิดก็รู้สึกได้ว่า พื้นที่ของตัวละครมันก็วนๆ อยู่ที่เดิมๆ นั่นแหละ แล้วก็ไม่ได้เปลี่ยนโลเคชั่นไปไหนเลยด้วยนอกจากถ้ำ พอรวมกับเรื่องมิติของความลึกที่ไม่สมจริง (อันนี้ก็พอจะเห็นใจได้) มันเลยพาลทำให้ช่วงกลางๆ ดูไม่สนุกไปด้วย (เพราะมันดูไม่สมจริงเกินไป) นี่ยังไม่รวมความไม่ต่อเนื่องของช็อตต่างๆ ที่เหมือนจะดูถ่ายแยกๆ มา แต่พอตัดมารวมกันมันดันไม่สมูท ก็เลยจะเห็นการข้ามไปข้ามมาของแอคชั่นตัวแย้และตัวละครอยู่บ่อยครั้ง ซึ่งก็สร้างความหงุดหงิดไม่น้อย
นั่นก็ยังไม่ใช่ที่สุด สิ่งที่หนักที่สุด และหนังไม่สามาถให้กับคนดูได้ นั่นคือ อารมณ์ของความตื่นเต้นเร้าใจ ที่ต่อให้องค์ประกอบที่พูดมาข้างต้น จะทำได้ไม่ดีเพียงใด แต่ถ้าหนังสามารถให้ความบันเทิงในฐานะของหนังแอคชั่นกับสัตว์ประหลาดตัวยักษ์ ก็เรียกว่ายังพอให้อภัยได้ (หรือที่ชอบพูดกันว่า ขอแค่หนังสนุกก็พอแล้วป้ะ) คำว่าสนุก คงเป็นคำที่ห่างไกลจากหนังเรื่องนี้พอดู เพราะหนังไม่สามารถสร้างอารมณ์บีบคั้น ความตื่นเต้น ความวิตก ความน่ากลัว ให้กับคนดูได้เลย แม้จะเห็นคนโดนกิน โดนฆ่าจังๆ หลายครั้ง แต่อย่างที่บอกไปข้างต้นว่า ตัวละครเหล่านั้นมันดูไม่เมคเซนส์มากๆ คนดูเลยไม่รู้สึกอะไรกับการตายของพวกเขามากนัก (คือรู้เลยว่า ตัวละครพวกนี้เดี๋ยวยังไงก็ต้องเป็นเหยื่อแน่นอนทำนองนั้น)
นี่ยังนับรวมไปถึงพวกพระเอกอย่างเก้าด้วยเช่นกันด้วยว่า เขาและพรรคพวกไม่ใช่ยอดมนุษย์ที่ดูจะรับมือกับแย้ยักษ์ได้โดยการสู้ซึ่งๆ หน้า ซึ่งถ้าในทางปกติ หนังจะต้องมาทำนองที่ว่า ตัวละครเหล่านี้จะใช้ความฉลาดในฐานะที่เป็นมนุษย์ หาทางหนีทีไล่หรือกำจัดเจ้าสัตว์ประหลาดลงไป จะบอกว่าตัวหนังก็อยู่ในร่องนี้แหละ เพียงแต่ว่ามันอาจจะดูบางเบามากๆ จริงๆ จะบอกว่า ตัวละครเก้าที่เป็นตัวเอกของเรื่องบาดเจ็บมากที่สุดตอนไหน คงเป็นตอนที่โดนหางแย้ฟาดแล้วกระเด็นไปกระแทกกับรถ (แต่ก็ลุกขึ้นมาวิ่งได้ต่อ) หรือจังหวะไหนที่ลุ้นที่สุด ก็คงต้องตอบว่าเป็นจังหวะที่ตัวละครเจนและเสี่ยหมีต้องแอบหนีออกจากรถที่เจ้าแย้ยักษ์นอนหลับทับอยู่ แล้วแบบนี้จะให้คนดูรู้สึกถึงความระทึก ตื่นเต้นเร้าใจได้ยังไงกัน ยังไม่นับถึงท่าทีของแย้อีก ที่ดูเหมือนตระหนักรู้ได้ว่า เก้าเป็นพระเอกของเรื่องนะ เราจะไม่ทำอันตรายเขา ไปไล่เก็บพวกตัวประกอบก่อนดีกว่า ยังไงยังงั้น ฮ่าๆๆ
จะว่าไปก็เหมือนเคยได้ยินมาว่า ผู้กำกับได้แรงบันดาลใจจากภาพยนตร์สัตว์ประหลาดใต้ผืนทะเลทรายเรื่อง Tremors (1990) ก็จะเห็นว่าองค์ประกอบของ Tremors ถูกใส่ลงในหนังเรื่องนี้แทบจะทั้งหมด ทั้งเรื่องราวของสัตว์ร้ายใต้ผืนทะเลทราย ตัวละครมีคาแรคเตอร์ที่โดดเด่น ความรุนแรงเลือดสาด และความตลกขบขัน แต่ดันละเลยในส่วนสำคัญอีกอย่าง คือ การทำตัวเป็นนักสืบของตัวละคร ซึ่งปกติแล้วหนังทำนองนี้(และใน Tremors ด้วย) อย่างน้อยมันจะต้องมีการสืบสวน หรือตั้งข้อสงสัยและหาสิ่งที่มาของสัตว์ยักษ์ แต่กับไลโอเราเห็นเพียงแค่ตัวละครออกมาโวยวาย แล้วก็ไม่ได้มีทีท่าจะประหลาดใจที่เจอแย้ตัวใหญ่เท่าไดโนเสาร์ ปฏิกิริยาของตัวละครเหมือนเห็นสิ่งที่คุ้นชินอยู่แล้วเพียงแค่มันตัวใหญ่แค่นั้นเอง เอาจริงๆ ถ้าหนังจะเพิ่มเส้นเรื่องรองในแง่ของการอธิบายสิ่งเหล่านี้เข้ามาน่าจะดีมากกว่าไปย้อนอดีตของตัวเก้ากับคุณปู่ด้วยซ้ำ
ต้องขอขยายในส่วนของการเล่าเรื่องอีกสักหน่อย ซึ่งก็สิ่งที่เป็นปัญหาหนักพอกัน ไม่รู้ว่าเป็นต้นเหตุหรือปลายเหตุ แต่ดูเหมือนจะอิรุงตุงนังกับหลายๆ อย่างที่บอกไปข้างต้นด้วย สิ่งที่เกิดขึ้นคือ การเล่าเรื่องมันทื่อจนน่าง่วงนอนสุดๆ จนคนดูแทบไม่ต้องคิดตามหรือเดาสิ่งที่จะเกิดขึ้นเลย (ก็ไม่มีประเด็นอะไรจะคิดตามแหละ) เพราะตัวเรื่องเล่าแบบเป็นเส้นตรงเป๊ะๆ อาจมีตัดไปเล่าตัวละครสมทบบ้าง แล้วก็ตัดมา แต่ก็ไม่ได้ช่วยเพิ่มมิติแต่อย่างใด ถ้าถามว่าไดนามิกของเส้นเรื่องที่เกิดขึ้นคงเป็นแค่การแฟลชแบ็ค (Flashback) ไปเล่าเรื่องของเก้ากับคุณปู่นั่นแหละ ตอนแรกก็ดูเหมือนจะสร้างมิติของเรื่องได้ แต่พอเวลาผ่านไป ยิ่งแฟลชแบ็คพร่ำเพรื่อจนน่ารำคาญซะงั้น เรียกว่า เก้าหยิบของชิ้นไหนที่เกี่ยวข้องกับคุณปู่แฟลชแบ็คจะมาทันที เป็นการใช้แฟลชแบ็คที่ไร้ชั้นเชิงมาก เหมือนกลัวคนดูไม่เข้าใจ ถ้าพูดกันตรงๆ การเล่าเรื่องของไลโอนั้น "กลวง" อย่างไม่ต้องสงสัย ถ้าไปประกอบกับที่อธิบายมาในอีก 4-5 ย่อหน้าด้านบน ก็ไม่ต้องแปลกใจถ้าหนังเรื่องนี้จะออกมาล้มเหลวไม่เป็นท่า
ในส่วนของการแสดงเชื่อว่า กอล์ฟ พิชญะ ถ่ายทอดบทของเก้า ออกมาได้มากที่สุดที่เขาจะทำได้แล้ว ซึ่งก็ยังพอทำให้เรารู้สึกจับต้องตัวละครนี้ได้บ้าง และก็มีความเข้าขากันกับ เจน แรปเปอร์รุ่นน้อง ที่รับบทโดย จีน่า ณัฐชา เอาเข้าจริงเคมีกับเจนยังรู้สึกเข้ากันได้ดีกว่ากับฝน ด้วยซ้ำ ไม่ใช่ว่า ฟาง ธนันต์ธรญ์ จะแสดงได้ไม่ดีแต่พื้นเพของตัวละครนี้ยังเบาบางจนเกินกว่าที่คนดูจะรู้สึกอินในความสัมพันธ์ของพระนาง ส่วน โย ของปาล์ม ศุภชัย และเสี่ยหมี ที่รับบทโดย เทพ พงศ์เทพ ก็ต้องบอกว่าเป็นตัวละครที่เพิ่มเข้ามาให้เป็นสีสันและไม่เหงาแค่นั้น ยิ่งคนหลังต้องบอกว่า ถ้าใครชอบก็ชอบเลย ถ้าใครไม่ชอบก็คงอยากให้พี่เขาโดยแย้เขมือบไวๆ
ข้อดีที่พอจะบอกได้ของภาพยนตร์เรื่องนี้ นอกจากเรื่องเทคนิค CGI แล้ว เห็นทีจะเป็นการถ่ายภาพที่มีการจัดแสงค่อนข้างดีเลย การเคลื่อนกล้องมีความเป็นภาพยนตร์แอคชั่น และการใช้สีที่ค่อนข้างฉูดฉาด ให้ความเป็นทะเลทรายได้ดี รวมถึงเสียงของแย้ยักษ์ก็โอเคให้ความน่าเกรงขามใช้ได้
สรุป ไลโอโคตรแย้ยักษ์ คงต้องบอกว่าเป็นภาพยนตร์ที่นอกจากงานสร้างแย้ยักษ์ที่ดูน่าตื่นตาตื่นใจสำหรับสเกลภาพยนตร์ของไทยแล้ว ส่วนอื่นๆ ถือว่าล้มเหลวแทบทั้งหมด นั่นทำให้โปรเจกต์เปิดตัวจักรวาลสัตว์ประหลาดของเนรมิตรหนังฟิล์มดูจะไม่สวยหรูเอาซะเลย และน่าจะส่งผลต่อความเชื่อมั่นต่อภาพยนตร์เรื่องต่อๆ ไปของโปรเจกต์นี้ด้วย แต่ก็ยังต้องให้กำลังใจกันต่อไป
ฝากเพจด้วยนะครับ Story Decoder