Whaddup, homie?!
บทนี้พูดถึงอีกหัวข้อแกรมมาร์ที่ค่อนข้างเบสิค นั้นคือเรื่อง article หรือการใช้ a, an, the นั่นเอง แต่บอกเลยว่าเราอาจได้เรียนรู้เรื่องใหม่ ๆ ที่ไม่เคยได้เจอมาก่อน (แม้จะเคยอ่านเรื่องนี้เป็นสิบรอบแล้วก็ตาม!)
1) ในภาษาอังกฤษเราจำแนกคำนามออกเป็นสองประเภทหลัก ๆ คือ "countable noun" (คำนามนับได้) และ "uncountable noun" (คำนามนับไม่ได้) โดยหัวข้อ article จะไปเกี่ยวกับ countable noun คือ "ทุกครั้งที่พูดถึง countable noun เราจะต้องระบุจำนวนเสมอ หรืออย่างน้อยต้องบอกว่ามีหนึ่งหรือมีมากกว่าหนึ่ง"
2) ยกตัวอย่าง countable noun เช่น cat, house, locker room เวลาจะพูดถึงสิ่งเหล่านี้ต้องระบุจำนวน เช่น I have a cat. (ฉันมีแมวหนึ่งตัว) / I've got one car. (ฉันมีรถหนึ่งคัน) *a = one / How many locker rooms are there? (มีห้องเก็บของใช้ส่วนตัวอยู่กี่ห้อง?)
3) อย่างที่บอกไปคือ "เราต้องระบุจำนวนเสมอ อย่างน้อยก็ต้องบอกว่ามีหนึ่งหรือมีมากกว่าหนึ่ง" ดังในตัวอย่างสุดท้าย ที่ไม่ได้ระบุจำนวนชัดเจน แค่เติม s ให้คำนามไป ในประโยคคำถามหรือในประโยคบอกเล่าที่ผู้พูดไม่ได้ต้องจะระบุจำนวนชัดเจน(แค่จะบอกว่ามีมากกว่าหนึ่ง)เรามักจะเติม s ตัวอย่างเช่น I have cats. (ฉันมีแมวอยู่) / I've got cars. (ฉันมีรถ) / There are locker rooms in this building. (ตึกนี้มีห้องเก็บของใช้ส่วนตัว)
4) มันเป็นสิ่งที่ฝังลึกในสมองของ native คือ ทันทีที่ต้องใช้คำนามนับได้ จะต้องระบุว่าอย่างน้อยมีมากกว่าหนึ่งหรือไม่ เราเลยจะเจอประโยค I've got a car. ไม่ก็ I've got cars. เวลาเขาพูดถึงรถ แต่จะไม่มี I've got car. (แบบไม่เติม a และไม่เติม s) แน่นอน เพราะสำหรับฝรั่งมันฝืนธรรมชาติที่จะพูดแบบนี้
5) พูดถึงการใช้ the บ้าง เราคุ้นเคยกันดีอยู่แล้วว่า the จะใช้กับสิ่งของที่เฉพาะเจาะจงในบริบทนั้น แต่หลาย ๆ ทีนักเรียนมักจะลืมเติม the เวลาพูด ตัวอย่างเช่น "ปิดไฟให้หน่อย" Please turn off light. (ต้องบอกว่า Please turn off the light.) หรือ "เข้ามาแล้วปิดประตูด้วย" Close door behind you. (ต้องบอกว่า Close the door behind you.) คือคนไทยเก่งกว่าฝรั่งแล้วในจุดนี้ เราเข้าใจได้ว่าคำนามที่อีกฝ่ายกำลังหมายถึงคือเจาะจงในบริบทนี้อยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องเติม the
6) แต่ความเก่งนี้แหละกลายเป็นปัญหา อย่างที่บอกไปว่ามันทำให้เราลืมใช้ the ในประโยคที่ควรมี! ลองถามตัวเองสิว่า ในประโยคเหล่านี้ ควรมี the ไหม
- What is name of this city?
- Thailand is best country in Asia.
- Who is director of this movie?
- I don't like colour of that car.
- Can I speak to manager, please?
คำตอบคือ ต้องมี! The name of this city / the best country in Asia / the director of the film / the colour of that car / the manager
7) อันนี้ความรู้พื้นฐาน ในคำเหล่านี้มักจะใช้คู่กับ the อยู่เสมอ เช่น the sun, the world, the country, the poilce, the army, the end, the middle, the guitar, the piano ไรงี้ เพราะทุกครั้งที่มีคำเหล่านี้ในประโยคมันจะเป็นการพูดแบบเจาะจง และเวลาที่เราจะบอกว่า "เหมือนกัน" ก็มักจะใช้คู่กับ the นะ เช่น We have the same car. (เรามีรถเหมือนกัน) / They have the same hair colour. (พวกเขามีสีผมเหมือนกัน) / We live in the same city. (เราอยู่เมืองเดียวกัน)
8) แต่สำหรับบางคำ เราก็ไม่ใช่ the เลย (อันนี้นักเรียนก็ดันใช้ซะงั้น เอ้า!) คำที่เจอคนผิดบ่อยสุดเลยคือพวก breakfast, lunch, dinner ไรงี้ ไม่ต้องเติม the และไม่ต้องเติม a เช่น I haven't had breakfast. (ไม่ต้องมี the breakfast) / What's for dinner? / Will you come to lunch with us? อาจเพราะสำหรับบางคนมันฟังดูเหมือนต้องเจาะจงมั้งว่านี่เข้าเช้า ข้าวเที่ยง ข้าวเย็น (เราอาจจริงจังกับการกินเกินไป! 5555)
9) ในสถานที่เหล่านี้ ก็ไม่จำเป็นต้องเติม article (a, an, the) ด้านหน้า เช่น I'm going to school. (ไม่ต้อง the school นอกเสียจากเราจะไปเยี่ยมเฉย ๆ ถึงมี the) / Let's go to bed. (go to bed เป็นสำนวนแปลว่า ไปนอน อันนี้ก็ไม่ต้องเติม the) / They are in prison. (อยู่ในคุก มันเจาะจงในตัวเองอยู่แล้ว ไม่ต้องเติม the เข้าไปอีก) / We are already at home. (อยู่บ้าน ก็บ้านใครบ้านมัน ไม่จำเป็นต้องเจาะจงอะไร)
10) สุดท้าย (Here we go...) เวลาไปอยู่ในประโยค คำว่า a ไม่ได้อ่านว่า เอ หรือ อะ มันอ่านว่า เออะ /ə/ และ an ไม่ได้อ่านว่า แอน แต่อ่านว่า เอิ่น /ən/ และ the นี่อ่านว่า เดอะ ได้อยู่ แต่เวลามันอยู่หน้าสระก็ต้องอ่านเป็น ดิ และเพิ่มเสียง y เข้ามาแทรกด้วยนะ! อันนี้หลายคนไม่รู้ เช่น the end เวลาอ่านเราต้องอ่านว่า the(y)end (ดิ-เยนดฺ) หรือ The Oscars ก็ต้องอ่านว่า The(y)Oscars (ดิ-ยอส-เกอะซฺ)
จบไปอีกเรื่อง สงสัยตรงไหนสอบถามได้ตลอดคร้าบ
"ไม่จำเป็นต้องรู้ทุกอย่างในวันนี้ แค่รู้ให้มากกว่าเมื่อวาน"
Stay knowledge-hungry
JGC.
พื้นฐานหลักไวยากรณ์ภาษาอังกฤษ (Part 7) - Articles a, an, the
บทนี้พูดถึงอีกหัวข้อแกรมมาร์ที่ค่อนข้างเบสิค นั้นคือเรื่อง article หรือการใช้ a, an, the นั่นเอง แต่บอกเลยว่าเราอาจได้เรียนรู้เรื่องใหม่ ๆ ที่ไม่เคยได้เจอมาก่อน (แม้จะเคยอ่านเรื่องนี้เป็นสิบรอบแล้วก็ตาม!)
1) ในภาษาอังกฤษเราจำแนกคำนามออกเป็นสองประเภทหลัก ๆ คือ "countable noun" (คำนามนับได้) และ "uncountable noun" (คำนามนับไม่ได้) โดยหัวข้อ article จะไปเกี่ยวกับ countable noun คือ "ทุกครั้งที่พูดถึง countable noun เราจะต้องระบุจำนวนเสมอ หรืออย่างน้อยต้องบอกว่ามีหนึ่งหรือมีมากกว่าหนึ่ง"
2) ยกตัวอย่าง countable noun เช่น cat, house, locker room เวลาจะพูดถึงสิ่งเหล่านี้ต้องระบุจำนวน เช่น I have a cat. (ฉันมีแมวหนึ่งตัว) / I've got one car. (ฉันมีรถหนึ่งคัน) *a = one / How many locker rooms are there? (มีห้องเก็บของใช้ส่วนตัวอยู่กี่ห้อง?)
3) อย่างที่บอกไปคือ "เราต้องระบุจำนวนเสมอ อย่างน้อยก็ต้องบอกว่ามีหนึ่งหรือมีมากกว่าหนึ่ง" ดังในตัวอย่างสุดท้าย ที่ไม่ได้ระบุจำนวนชัดเจน แค่เติม s ให้คำนามไป ในประโยคคำถามหรือในประโยคบอกเล่าที่ผู้พูดไม่ได้ต้องจะระบุจำนวนชัดเจน(แค่จะบอกว่ามีมากกว่าหนึ่ง)เรามักจะเติม s ตัวอย่างเช่น I have cats. (ฉันมีแมวอยู่) / I've got cars. (ฉันมีรถ) / There are locker rooms in this building. (ตึกนี้มีห้องเก็บของใช้ส่วนตัว)
4) มันเป็นสิ่งที่ฝังลึกในสมองของ native คือ ทันทีที่ต้องใช้คำนามนับได้ จะต้องระบุว่าอย่างน้อยมีมากกว่าหนึ่งหรือไม่ เราเลยจะเจอประโยค I've got a car. ไม่ก็ I've got cars. เวลาเขาพูดถึงรถ แต่จะไม่มี I've got car. (แบบไม่เติม a และไม่เติม s) แน่นอน เพราะสำหรับฝรั่งมันฝืนธรรมชาติที่จะพูดแบบนี้
5) พูดถึงการใช้ the บ้าง เราคุ้นเคยกันดีอยู่แล้วว่า the จะใช้กับสิ่งของที่เฉพาะเจาะจงในบริบทนั้น แต่หลาย ๆ ทีนักเรียนมักจะลืมเติม the เวลาพูด ตัวอย่างเช่น "ปิดไฟให้หน่อย" Please turn off light. (ต้องบอกว่า Please turn off the light.) หรือ "เข้ามาแล้วปิดประตูด้วย" Close door behind you. (ต้องบอกว่า Close the door behind you.) คือคนไทยเก่งกว่าฝรั่งแล้วในจุดนี้ เราเข้าใจได้ว่าคำนามที่อีกฝ่ายกำลังหมายถึงคือเจาะจงในบริบทนี้อยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องเติม the
6) แต่ความเก่งนี้แหละกลายเป็นปัญหา อย่างที่บอกไปว่ามันทำให้เราลืมใช้ the ในประโยคที่ควรมี! ลองถามตัวเองสิว่า ในประโยคเหล่านี้ ควรมี the ไหม
- What is name of this city?
- Thailand is best country in Asia.
- Who is director of this movie?
- I don't like colour of that car.
- Can I speak to manager, please?
คำตอบคือ ต้องมี! The name of this city / the best country in Asia / the director of the film / the colour of that car / the manager
7) อันนี้ความรู้พื้นฐาน ในคำเหล่านี้มักจะใช้คู่กับ the อยู่เสมอ เช่น the sun, the world, the country, the poilce, the army, the end, the middle, the guitar, the piano ไรงี้ เพราะทุกครั้งที่มีคำเหล่านี้ในประโยคมันจะเป็นการพูดแบบเจาะจง และเวลาที่เราจะบอกว่า "เหมือนกัน" ก็มักจะใช้คู่กับ the นะ เช่น We have the same car. (เรามีรถเหมือนกัน) / They have the same hair colour. (พวกเขามีสีผมเหมือนกัน) / We live in the same city. (เราอยู่เมืองเดียวกัน)
8) แต่สำหรับบางคำ เราก็ไม่ใช่ the เลย (อันนี้นักเรียนก็ดันใช้ซะงั้น เอ้า!) คำที่เจอคนผิดบ่อยสุดเลยคือพวก breakfast, lunch, dinner ไรงี้ ไม่ต้องเติม the และไม่ต้องเติม a เช่น I haven't had breakfast. (ไม่ต้องมี the breakfast) / What's for dinner? / Will you come to lunch with us? อาจเพราะสำหรับบางคนมันฟังดูเหมือนต้องเจาะจงมั้งว่านี่เข้าเช้า ข้าวเที่ยง ข้าวเย็น (เราอาจจริงจังกับการกินเกินไป! 5555)
9) ในสถานที่เหล่านี้ ก็ไม่จำเป็นต้องเติม article (a, an, the) ด้านหน้า เช่น I'm going to school. (ไม่ต้อง the school นอกเสียจากเราจะไปเยี่ยมเฉย ๆ ถึงมี the) / Let's go to bed. (go to bed เป็นสำนวนแปลว่า ไปนอน อันนี้ก็ไม่ต้องเติม the) / They are in prison. (อยู่ในคุก มันเจาะจงในตัวเองอยู่แล้ว ไม่ต้องเติม the เข้าไปอีก) / We are already at home. (อยู่บ้าน ก็บ้านใครบ้านมัน ไม่จำเป็นต้องเจาะจงอะไร)
10) สุดท้าย (Here we go...) เวลาไปอยู่ในประโยค คำว่า a ไม่ได้อ่านว่า เอ หรือ อะ มันอ่านว่า เออะ /ə/ และ an ไม่ได้อ่านว่า แอน แต่อ่านว่า เอิ่น /ən/ และ the นี่อ่านว่า เดอะ ได้อยู่ แต่เวลามันอยู่หน้าสระก็ต้องอ่านเป็น ดิ และเพิ่มเสียง y เข้ามาแทรกด้วยนะ! อันนี้หลายคนไม่รู้ เช่น the end เวลาอ่านเราต้องอ่านว่า the(y)end (ดิ-เยนดฺ) หรือ The Oscars ก็ต้องอ่านว่า The(y)Oscars (ดิ-ยอส-เกอะซฺ)
จบไปอีกเรื่อง สงสัยตรงไหนสอบถามได้ตลอดคร้าบ
"ไม่จำเป็นต้องรู้ทุกอย่างในวันนี้ แค่รู้ให้มากกว่าเมื่อวาน"
Stay knowledge-hungry
JGC.