JJNY : 'ยุทธพงศ์'อัด'ประยุทธ์'ไม่กล้ายกเลิกสัญญาเรือดำน้ำ│“โรม”จัดหนักตั๋วช้างภาค2│สาธิตหนุนหาร100│ราคาน้ำมันโลกร่วง 3%

'ยุทธพงศ์' อัด 'ประยุทธ์' ไม่กล้ายกเลิกสัญญาซื้อเรือดำน้ำจีน แนะยับยั้งทอ.ซื้อF–35A
https://www.khaosod.co.th/update-news/news_7175567
 
 
‘ยุทธพงศ์’ อัด ‘ประยุทธ์’ ไร้ภาวะผู้นำ ไม่กล้ายกเลิกสัญญาซื้อเรือดำน้ำจีน สร้างความเสียหายประเทศ แนะยับยั้งกองทัพอากาศซื้อ F–35A ชี้ไม่มีเหมาะกับภาวะเศรษฐกิจ
 
เมื่อเวลา 10.30 น. วันที่ 22 ก.ค. ที่รัฐสภา ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ที่มีนายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร ทำหน้าที่ประธานในที่ประชุม เพื่อพิจารณาญัตติขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล นายยุทธพงศ์ จรัสเสถียร ส.ส.มหาสารคาม และรองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย อภิปรายถึงปมปัญหาโครงการจัดซื้อเรือดำน้ำของกองทัพเรือไทย วงเงิน 4.4 หมื่นล้านบาท ว่าเริ่มแรกบอกการจัดซื้อเรือดำน้ำเป็นการจัดซื้อแบบ 2 แถม 1 แต่เวลาซื้อจริงเป็นการซื้อทั้ง 3 ลำ รวมมูลค่า 3.6 หมื่นล้านบาท ตกลำละ 1.2 หมื่นล้านบาท เป็นเรือดำน้ำดีเซล รุ่น S26T ลำที่ 1 อยู่ระหว่างการดำเนินการต่อเรือ แต่ปัจจุบันเกิดปัญหาไม่มีเครื่องยนต์ดำเนินการก่อสร้างต่อ ส่วนลำที่ 2 ตั้งงบไว้ระหว่างปี 63 – 69 แต่ขณะนี้ยังไม่ได้ซื้อ เพราะพรรคเพื่อไทยคัดค้านไว้
 
นายยุทธพงศ์ กล่าวต่อว่า ทั้งนี้ ส่วนประกอบสำคัญที่สุดของเรือดำน้ำคือเครื่องยนต์ ซึ่งจีนไม่สามารถทำเองได้ ต้องติดต่อขอซื้อจากประเทศเยอรมนี แสดงให้เห็นว่าตอนทำสัญญาซื้อขาย กองทัพเรือไม่มีความรอบคอบระมัดระวัง จนเกิดความเสียหายต่อประเทศ ต่อมากองทัพเรือไทยได้หารือกับบริษัท CSOC ซึ่งเป็นตัวแทนฝ่ายจีน ที่ได้เสนอเครื่องยนต์ของจีนรุ่น CHD 620 มาใส่แทน แต่กองทัพเรือไทยยืนยันต้องการเครื่องยนต์จากเยอรมนี
 
“นี่คือปัญหาที่เมื่อซื้อเรือดำน้ำแล้วไม่มีเครื่องยนต์ สร้างความเสียหายต่องบประมาณประเทศ เรื่องนี้พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ต้องรับผิดชอบ เพราะสัญญาจัดซื้อเรือดำน้ำยกเลิกได้ อีกทั้งในสัญญาระบุด้วยว่า ถ้าฝ่ายจีนไม่สามารถสร้างเรือดำน้ำให้เสร็จสมบูรณ์ตามสัญญาได้ ทางไทยมีสิทธิยกเลิกสัญญาได้โดยที่ไม่ต้องเสียค่าปรับ แต่สุดท้ายก็ไม่มีการแสดงท่าทีอะไร แสดงให้เห็นว่ารัฐบาลภายใต้การนำของพล.อ.ประยุทธ์ ไม่ได้เข้าไปแก้ปัญหาทั้งที่สัญญาเปิดช่องให้” นายยุทธพงศ์ กล่าว
 
นายยุทธพงศ์ อภิปรายต่อว่า นอกจากเสียค่าโง่จากการจัดซื้อเรือดำน้ำลำแรก มูลค่า 1.25 หมื่นล้านบาทแล้ว ขณะนี้เรายังมีค่าโง่เรือดำน้ำอีก 2.1 หมื่นล้านบาท จากโครงการสนับสนุนเรือดำน้ำซึ่งจ่ายเงินไปแล้ว ถือเป็นเงินจำนวนมหาศาลหากเทียบกับภาวะเศรษฐกิจขณะนี้ เราจ่ายไปแล้วแต่ยังไม่มีเรือดำน้ำ นี่คือสิ่งที่พล.อ.ประยุทธ์ ในฐานะรมว.กลาโหม ต้องรับผิดชอบ
 
นายยุทธพงศ์ อภิปรายอีกว่า ปี 65 กองทัพเรือขอจัดซื้ออากาศยานไร้คนขับ (UAV) รุ่น Hermes 900 ซึ่งไม่มีอาวุธ และมีปัญหาเรื่องประสิทธิภาพ จำนวน 3 ลำ พร้อมระบบอุปกรณ์ติดตั้งสำหรับปฏิบัติภารกิจ มูลค่า 4.1 พันล้านบาท แสดงให้เห็นว่ากองทัพเรือต้องการใช้งบประมาณโดยไม่คำนึงถึงประโยชน์ และความจำเป็น อยากให้พล.อ.ประยุทธ์ ตรวจสอบความคุ้มค่า และความโปร่งใสในการจัดซื้อ เพราะขณะนี้ยังไม่มีการเซ็นสัญญา และมูลค่าเกิน 500 ล้านบาท ต้องขออนุมัติจากกระทรวงกลาโหม ซึ่งพล.อ.ประยุทธ์ สามารถทบทวนได้
 
นายยุทธพงศ์ อภิปรายถึงการของบประมาณปี 66 ของกองทัพอากาศ เพื่อจัดซื้อเครื่องบินรบทางยุทธศาสตร์ F – 35A ซึ่งเป็นเครื่องบินรบรุ่นใหม่ล่าสุดที่มีประสิทธิภาพสูง สามารถล่องหนหายตัวได้ บินด้วยท่วงท่าพิสดาร มีกล้องรอบตัวมองเห็นรอบด้าน บินเร็วเหนือเสียงได้นาน และเป็นเครื่องบินอวกาศสามารถควบคุม UAV ได้ แต่หากมองถึงความเหมาะสมท่ามกลางสภาวะเศรษฐกิจของประเทศ ถือว่าไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง
 
“เครื่องบินรบ F – 35A เป็นเครื่องบินเปล่าไม่มีอาวุธ ราคาลำละ 2.7 พันล้านบาท แต่สิ่งที่น่ากลัวยิ่งกว่าคือค่าใช้จ่ายในการบินชั่วโมงละ 1.3 ล้านบาท ถามว่าจะเอางบประมาณที่ไหนมาใช้ในการฝึกบิน และถ้ากองทัพอากาศซื้อเครื่องบินรบดังกล่าว จะทำให้ไม่มีงบประมาณไปพัฒนาด้านอื่นๆอีกนานถึง 10 ปี พล.อ.ประยุทธ์ ยังไม่ควรซื้อเครื่องบินรบรุ่นนี้ เพราะประเทศไทยเป็นหนี้มหาศาล” นายยุทธพงศ์ ระบุ
 
นายยุทธพงศ์ กล่าวสรุปว่า ตนเห็นว่ากองทัพอากาศไม่มีประสิทธิภาพในการใช้จ่ายงบประมาณ ขณะเดียวกัน สถานการณ์ของประเทศขณะนี้ประชาชนติดโควิด – 19 จำนวนมาก แต่ไม่มียาดีรักษาจึงเป็นเรื่องที่จำเป็นกว่า ประกอบกับท่ามกลางวิกฤตเศรษฐกิจ รัฐบาลควรนำเงินไปช่วยเหลือประชาชนก่อน พล.อ.ประยุทธ์ต้องสั่งให้กองทัพอากาศเลื่อนการจัดซื้อออกไป ยุคที่คนไทยกำลังอดอยากหิวโหย แต่ท่านกลับอนุมัติให้ซื้อเครื่องบินรบ จึงไม่อาจไว้วางใจให้ท่านอยู่ในตำแหน่งต่อไปได้
 


“โรม” จัดหนัก ตั๋วช้างภาค 2 “บิ๊กตู่”ควักงบกลาง 937 ล้าน อุ้ม “พล.ต.ต.ก” กลบโกงกองบินตร.
https://www.matichon.co.th/news-monitor/news_3466976

“โรม” จัดบิ๊กเซอร์ไพร์สฉายตั๋วช้างภาค 2 อ้าง “บิ๊กตู่” ยอมควักงบกลาง 937 ล้าน อุ้ม “พล.ต.ต.ก” กลบหนี้เน่าทุจริตกองบินตำรวจ
 
เมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม ผู้สื่อข่าวรายงานบรรยากาศการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล ที่อาคารรัฐสภา  เวลา 09.35 น. นายรังสิมันต์ โรม ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล (ก.ก.) อภิปรายไม่ไว้วางใจพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กรณีปล่อยปละละเลยให้เกิดการทุจริตขึ้นในกองบินตำรวจ อีกทั้งยังมีการยอมให้ใช้ตั๋วช้าง ว่า คดีนี้เกิดขึ้นในช่วงที่พล.ต.ต. ก. ดำรงตำแหน่งผู้บังคับการกองบินตำรวจดำเนินการเซ็นสัญญาโครงการซ่อมบำรุงอากาศยาน กับบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ให้เป็นผู้ดำเนินการซ่อมและจัดหาอะไหล่ ตามงบประมาณปี 2563 จำนวนกว่า 950 ล้านบาท แต่ต่อมาการบินไทยได้ยื่นหนังสือทวงหนี้มายังสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) จึงทำให้พบว่ากองบินตำรวจ โดยพล.ต.ต.ก . และพวกได้สั่งจ้างสั่งซื้อเพิ่มเติมเกินกว่างบประมาณที่วางไว้ รวมค่าใช้จ่ายทั้งหมดของโครงการเป็นจำนวนถึง 2,774 ล้านบาท ซึ่ง 2 ใน 3 ของทั้งหมดนี้ กองบินตำรวจไม่สามารถเบิกจากคลังมาจ่ายได้ และกว่า 784 ล้านบาท ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการซ่อมเครื่องบินเลย เช่น ซื้อถังน้ำดับไฟป่า 8 ล้านบาท หรือซื้อตะขอเกี่ยวสินค้า 6.3 ล้านบาท เป็นต้น
 
นายรังสิมันต์ กล่าวต่อว่า เมื่อเรื่องเข้าสู่กระบวนการตรวจสอบกลับถูกเตะถ่วง พล.อ.ประยุทธ์ปล่อยปละละเลยไม่เร่งรัดกระบวนการตรวจสอบข้อเท็จจริง จนกระทั่งกรมบังคับคดีซึ่งดูแลเรื่องการฟื้นฟูกิจการของการบินไทยส่งหนังสือทวงหนี้ 1,824 ล้านบาทมายังสำนักงานตำรวจแห่งชาติ อย่างไรก็ตามในขั้นตอนนี้เป็นโอกาสสำคัญที่จะปฏิเสธหนี้ก้อนนี้ได้ เพราะตามขั้นตอนตร. มีเวลาในการปฏิเสธหนี้ภายใน 14 วัน แต่กลับทำหนังสือปฏิเสธหนี้ตอบกลับไปเกินเวลาที่กำหนด ทำให้ตร.ต้องชำระหนี้การบินไทยเป็นจำนวนถึง 937 ล้านบาท ส่วนสาเหตุที่หนี้ลดลงจากเดิม เนื่องจากทางตำรวจไปขอต่อรองกับการบินไทยให้ยกเลิกรายการบางส่วนที่ยังไม่ได้รับพัสดุมาได้
 
นายรังสิมันต์ กล่าวอีกว่า ต่อมาพล.อ.ประยุทธ์ จึงใช้วิธีอนุมัติงบกลางเพื่อใช้หนี้ในวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2565 และในวันที่ 12 เมษายน 2565 ครม.ก็อนุมัติอีกที รวมถึงยังอนุมัติให้ สตช. สามารถก่อหนี้ผูกพันเกินกว่าที่กำหนดไว้ในงบประมาณปี 2563 ด้วย มตินี้จึงเหมือนเป็นทั้งการฟอกขาวให้ไปในตัว ทั้งยังนำเงินภาษีของประชาชนไปจ่ายให้กับการทุจริตที่เกิดขึ้นในกองบินตำรวจอีกด้วย นอกจากนี้ยังมีกรณีที่ พล.ต.ต. ก. ไปทำสัญญาแลกเปลี่ยนอะไหล่อากาศยานด้วยวิธีเฉพาะเจาะจง โดยรวบรวมเอาอะไหล่เก่าๆ ที่เสื่อมสภาพแล้วไปแลกกับชุดใบพัดหางเฮลิคอปเตอร์ จำนวน 2 ชุด ซึ่งในเรื่องนี้จากคำสั่งตร. ระบุว่าตำแหน่งระดับผู้การกองบินมีอำนาจอนุมัติวงเงินได้แค่ 5,000,000 บาทเท่านั้น หรือในระเบียบกระทรวงการคลัง ระบุไว้ว่าวงเงินต้องไม่เกิน 500,000 บาท แต่เมื่อมีการประเมินราคาของที่พล.ต.ต. ก. นำไปแลกจำนวนทั้งหมด 6,622 ชิ้น นั้นพบว่า ราคารวมกันสูงถึง 1,157 ล้านบาท และในจำนวนนี้ยังพบด้วยว่ามีคำสั่งให้เอาอะไหล่ของเครื่องบิน Skyvan 1 ลำ 4 ชิ้น ซึ่งในจำนวนนี้เป็นเครื่องยนต์ 2 ชิ้น และอะไหล่ของเฮลิคอปเตอร์ Bell 3 ลำ อีก 21 ชิ้น ไปยำรวมกับเศษเหล็กด้วย โดยอะไหล่ดังกล่าวที่สวมเข้ามาในบัญชีแลกเปลี่ยนนี้ยังใช้งานได้ทั้งหมด ประเมินแล้วมีมูลค่าประมาณ 111,000,000 บาท แต่เมื่อนำไปยำรวมกับเศษเหล็กมูลค่าจึงเหลือเพียง 2,500,000 บาทเท่านั้น และกรณีนี้เมื่อเข้าสู่กระบวนการตรวจสอบก็มีการเตะถ่วง ตั้งคณะกรรมการสอบวนไปวนมาเช่นเดิม จากพฤติกรรมที่ส่อทุจริตในกองบินตำรวจมีความชัดเจนทั้ง 2 กรณี
 
“พล.อ.ประยุทธ์ รู้ปัญหาดีมาตลอด เพราะเป็นผู้เซ็นรับทราบด้วยตัวเอง แต่กลับไม่ได้ดำเนินการอะไรต่อพล.ต.ต. ก. จึงทำให้เกิดความสงสัย และไปตรวจสอบต่อว่าเป็นเพราะเหตุใดบุคคลนี้ใหญ่มาจากไหน ทำไมจึงไม่มีใครแตะต้อง จนได้ไปพบข้อมูลว่าพล.ต.ต. ก. มีฐานะเป็นผบ.ศปก.ถปภ.ขบวน ฮ.เดโชชัย 5 ซึ่งจากเดิมถูกให้ไปดำรงตำแหน่งรองผู้บัญชาการ สำนักงานยุทธศาสตร์ตำรวจ แต่หลังจากได้หนังสือตอบจากสำนักราชวังให้ปฏิบัติงานต่อตามที่ขอได้ตร. จึงออกเอกสารที่มีชื่อว่า แผนถวายความปลอดภัยสำหรับขบวนเฮลิคอปเตอร์พระราชพาหนะ เซ็นอนุมัติไว้ท้ายเอกสารโดยผู้ช่วย ผบ.ตร. ปฏิบัติราชการแทนผบ.ตร. สาระสำคัญคือระบุถึงการจัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการถวายความปลอดภัยสำหรับขบวนเฮลิคอปเตอร์พระราชพาหนะ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ หรือ ศปก.ถปภ.ขบวน ฮ. เดโชชัย 5 มีอำนาจสั่งการทุกหน่วยที่เกี่ยวข้องในการจัดเฮลิคอปเตอร์พระราชพาหนะ และยังกำหนดให้กองบินตำรวจ ต้องคอยรับผิดชอบและปฏิบัติงานที่ได้รับมอบหมายมาจากพล.ต.ต.ก. ทั้งที่มีเพียงกองบินตำรวจเท่านั้นที่ขึ้นตรงกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ไม่มีชื่อศูนย์นี้ระบุไว้ว่าสังกัดหน่วยงานใด จึงเป็นคำถามว่าศูนย์นี้ตั้งขึ้นมาโดยอาศัยอำนาจอำนาจตามกฎหมายอะไรและทำไมจึงสั่งการกองบินตำรวจได้” นายรังสิมันต์ กล่าว
 
นายรังสิมันต์ กล่าวต่อว่า กรณีนี้จึงเหมือนเป็นการเอาหนังสือจากสำนักพระราชวังมาอ้าง โดยบอกว่าเพื่อวางแผนถวายความปลอดภัยฯ แบบนี้จึงเท่ากับ ตั๋วช้าง อีกประเภทหนึ่งใช่หรือไม่ หรือเป็นตั๋วช้างภาค 2 และคนที่เซ็นออกแผนก็คือเพื่อนร่วมรุ่นกับ พล.ต.ต. ก. เหมือนเพื่อนช่วยเพื่อนให้มีวิธีอยู่ในตำแหน่งที่สามารถสั่งการกองบินตำรวจเช่นเดิมได้ มีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้น พล.อ.ประยุทธ์ หายไปไหน ทำไมจึงปล่อยให้ทำสิ่งต้องห้าม
 
โดยผลกระทบจากกรณีนี้อย่างน้อยมี 2 ประการ คือ 

1.พล.ต.ต. ก.ที่ต้องขาดจากตำแหน่งเดิมตามข้อบังคับ สามารถเอาตำแหน่งผอ.กองบินเป็นนักบินเฮลิคอปเตอร์และผู้อำนวยการเดินทางถวาย ซึ่งเป็นตำแหน่งของกองบินตำรวจมาเป็นตำแหน่งติดตัว โดยไม่ต้องดำเนินการตามขั้นตอนของตำรวจอย่างไรก็ได้ เพราะถ้ามีตั๋วก็ทำได้หมด 
 
และ 2.ไม่มีความปลอดภัย เพราะเมื่อพล.ต.ต.ก.ถูกย้ายไปอยู่ในหน่วยที่ไม่ต้องทำการบินแล้วก็ไม่จำเป็นต้องตรวจสุขภาพตามระเบียบ จึงเท่ากับขาดคุณสมบัติในการเป็นนักบินและทำให้พระบรมวงศานุวงศ์ต้องตกอยู่ในอันตราย นั่นจึงหมายความว่า พล.อ.ประยุทธ์ บกพร่องที่สุดในการถวายความปลอดภัย เพราะได้ถวายนักบินเถื่อนไม่ตรวจสุขภาพทำการบินใช่หรือไม่
 
“พล.อ.ประยุทธ์ คือบุคคลสำคัญที่สุดที่เป็นผู้สานต่อวัฒนธรรมลอยนวลพ้นผิดวัฒนธรรมทุจริตแล้วได้ดิบได้ดี ให้แผ่ไพศาลไปทั่วทุกระบบราชการ ไม่ใช่แค่ตำรวจ แต่รวมทั้งทหาร, ครู, ศาล, อัยการ และราชการอื่นๆ ใดๆ ทั้งหมดทั้งปวง ฉุดลากเอาระบบราชการของประเทศนี้ที่ตกต่ำอยู่แล้วให้ตกต่ำลงไปอีก ในแบบที่ไม่อาจเห็นได้เลยว่าก้นบึ้งของความตกต่ำนี้จะไปสิ้นสุดลงที่ตรงไหน หวังว่าการอภิปรายของผมรอบนี้จะทำให้พล.อ.ประยุทธ์ สำเหนียกว่าตัวเองไม่คู่ควรอีกแล้วที่จะได้รับความไว้วางใจให้บริหารประเทศจากนี้และตลอดไป แล้วจงพิจารณาตัวเองไสหัวของท่านอ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่