มานั่งคิดๆ กับเรื่อง Climate Change

กระทู้คำถาม
คืออย่างที่รู้ว่าโลกร้อนจาก คาร์บอนไดออกไซด์ที่เกิดจากการเผาไหม้
การหายใจของสิ่งมีชีวิต และอื่นๆ

ถ้าอยากแก้คือการลดพฤติกรรมที่ทำให้เกิดคาร์บอน และปลูกต้นไม้ช่วยดูดซับ
เพราะใช้คาร์บอนในการสังเคราะห์แสงสร้างอาหาร

แต่ถ้าสมมติเราเอาแต่ปลูกต้นไม้ แล้วไม่ใช่น้ำมันเลย ถ้าพืชมีมากเกินไป
เกิดการแย่งคาร์บอนไดออกไซด์กันเอง แบบนี้คือคาร์บอนในอากาศไม่เพียงพอ
แล้วพืชจะเจริญเติบโตได้ยังไง?

จีน กับ ตะวันออกกลาง เจอผลกระทบจากทราย จีนเลยปลูกพืชเป็นกำแพง
จะเพิ่มอินทรีย์วัตถุในทรายก็ต้องใส่ปุ๋ยลงไป หรือไถกลบ
เอาง่ายๆ คือเอามูลไปเทใส่แล้วปลูกพืช ต่อไปวัสดุปลูกมีอินทรีย์วัตถุอุ้มน้ำละ
จะได้ปลูกด้วยวิธีปกติได้ แต่ถ้าปลูกพืชเยอะๆ ก็ต้องพึ่งคาร์บอนไดออกไซด์อยู่ดี

กลับไปที่ข้างบน ยังคิดอยู่ว่า เออแล้วถ้าปลูกพืชเยอะๆ แล้วไม่ใช่น้ำมันอีกเลย
จะเอาแหล่งคาร์บอนไดออกไซด์จากไหนให้พืชหว่า?
สงสัยต่อไปอาจจะต้องไปตั้งโรงไฟฟ้าน้ำมัน แถวๆ แหล่งปลูกซะละม้าง?
ในเมื่อเป็น 1 ในปัจจัยดำรงชีวิตของพืช แถมได้ไฟฟ้ามาป้อนระบบอีก

------------------------------------------------------------------------------------------------

เรื่องต่อมาคือ ตอนนี้จีนเองก็เผชิญกับปัญหาสภาพคล่องทางอสังหา
ซึ่งจากที่อ่านผ่านๆ ไม่ได้เจาะลึกคือ ประชาชนเริ่มหยุดการส่งงวดบ้าน
ถ้ามันเป็นอย่างนั้น สภาพคล่องของบริษัทอสังหาจีนก็ยิ่งเสี่ยง
เพราะขาดเงินหมุน

ลองมานั่งคิดในมุมลูกค้า ทำไมไม่ยอมจ่าย ก็ใครล่ะจะจ่าย
เกิดว่าจ่ายแล้วสร้างไม่เสร็จ แถมแหล่งรายได้ก็ไม่มีเพราะปิดเมือง
ไม่อดตายหรือ? แล้วในเมื่อจีนเป็นทั้งผู้บริโภค ผลิต และจำหน่ายใหญ่ของโลก

พอห่วงโซ่ตรงส่วนนี้หยุดไป มันก็กระทบกับทั้งประชาชนตัวเอง แล้วก็ทั่วโลก
ประชาชนก็ไม่มีแหล่งรายได้ แล้วจะเอาเงินที่ไหนมาหมุน พอคนไม่จ่ายค่างวด
บริษัทอสังหาที่เผชิญปัญหาโอเวอร์ซัพพลาย และสภาพคล่องหายอยู่แล้ว
ก็ยิ่งโดนซ้ำหนัก อย่างน้อยๆ ตอนนี้ ควรทำให้โครงการที่ทำอยู่เสร็จ
แล้วอนาคตลดโครงการใหม่ๆ ลง

แต่การจะทำให้เศรษฐกิจกลับมา ก็มีแค่ว่าจีนจะเริ่มต้นการผลิตได้เมื่อไหร่

------------------------------------------------------------------------------------------------

เรื่องต่อมาคือ ซัพพลายอาหาร ปุ๋ย และ พลังงาน
รัสเซีย ยูเครนยอมผ่อนปรนเรื่องอาหาร กับปุ๋ยแล้ว เพราะงั้นปัจจัยตรงส่วนนี้
ก็น่าจะเริ่มลดลง ปัญหาอาหารน่าจะค่อยๆ คลี่คลายแล้ว

ต่อมาเรื่องพลังงาน ในส่วนของรัสเซีย ก็มีจีน กับอินเดีย มาชดเชยตรงส่วนนี้ไป
เพราะงั้นในส่วนของรัสเซียเองไม่ต้องกังวล

ก็จะมาเป็นพลังงานในส่วนของโอเปค ที่กลายเป็นแหล่งน้ำมันหลักที่จะป้อน
ประเทศที่เหลือ ลองคิดตามดู ถ้าคุณหรือผมเป็นตะวันออกกลาง
ตราบใดที่ดีมานด์เรื่องพลังงานไม่มา แล้วสมมติพอใจที่ Range 80-100 เหรียญ
ทำไมต้องเพิ่มกำลังการผลิตให้เสียกำไร

ถ้าราคาตลาดโลกปรับขึ้น แล้วเห็นแก่ส่วนรวม อาจใจดีเพิ่มกำลังการผลิตให้
เพื่อคุมราคาให้ลงมาในช่วงนี้ คนทั่วโลกจะได้ไม่เดือดร้อน
ฉะนั้น ผมจึงไม่เชื่อว่า ซาอุ โอเปค เพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันไม่ได้แล้ว
ผมเชื่อว่าทำได้ แค่ไม่มีเหตุผลให้ต้องทำร้ายตัวเอง

------------------------------------------------------------------------------------------------

สรุปคือ ตอนนี้ก็รอแค่จีน เมื่อไหร่จะหายงอนแล้วยอมกลับมาป้อนซัพพลาย
คือการฟื้นตัวก็ต้องทำเป็นลำดับ ยิ่งก่อนนี้หลายประเทศอัดเงินเข้าระบบด้วย
มันเลยกลายเป็นว่าต้องหาทางดึงเงินที่อัดเข้าไปในมือประชาชนออก
ส่วนเงินที่อัดเข้าระบบการเงินก็ทำผ่าน QT

ถ้าจีนฟื้นซัพพลายก่อน ก็หมายความว่าของไม่แพง แบบนี้ดึงเงินออกไม่ได้
เหมือนโอเปค กับ ซาอุ ถ้าไม่กระตุ้นดีมานด์ขึ้นมาก่อน แล้วผลิตน้ำมันมาเยอะๆ
มันก็เสียราคา ดึงเงินออกจากกระเป๋าคนไม่ได้

ฉะนั้น การกระตุ้นให้อเมริกาฟื้นตัวก่อน จึงเป็นเรื่องที่ควรทำ เพราะหลายเหตุผล
คือเป็นประเทศที่มีอัตราการบริโภคสูง สินค้าหลายอย่างซื้อขายเป็นดอลล่าร์
ฉะนั้นการที่ทำให้อเมริกาต้องดึงเงินกลับ ทำให้ประเทศส่งออกได้กำไรค่าเงิน

ทำให้รู้ว่าสภาพค่าเงินจริงของแต่ละประเทศเป็นยังไง ก่อนนี้มีเงินสหรัฐแฝงอยู่ดูยาก
และถือว่าให้เกียรติพี่ใหญ่แล้ว

เมื่อจีนฟื้น คนจีนเคยบ่นว่าเอาประเทศเขาเป็นโรงงานผลิต แล้วทำให้เกิดมลพิษ
เพราะงั้นจึงต้องมีการย้ายโรงงานบางส่วนออก เป็นการลดคาร์บอนไดออกไซด์
และเพื่อไปสร้างความเจริญให้ที่อื่นไปด้วยในตัว

------------------------------------------------------------------------------------------------

ส่วนญี่ปุ่นตอนนี้ที่โควิดเพิ่มขึ้น ถ้ากำลังสาธารณสุขเอาอยู่ แล้วพีคช่วงนี้ที่เป็นฤดูร้อน
ผมว่าดีกว่าให้ไปพีคตอนฤดูใบไม้ร่วง หรือฤดูหนาว
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่