เพื่อนผมที่เคยเป็นพระมานานบอกมาว่า "คือถ้าพูดกันตรงๆ ก็มีจำนวนไม่น้อยเลยที่เคยทำ" เพราะช่วงที่วัดไหนเปิดให้ไปอยู่กรรม พระเต็มวัดแทบจะทุกรอบ ซึ่งสาเหตุหลักก็มาจากการผิดศีลข้อนี้ แต่การอยู่กรรมไม่ได้ทำให้บาปเบาลงนะ แต่เป็นการทำให้เรากับมาเป็นพระที่สมบูรณ์แบบอีกครั้งเท่านั้น บาปก็ยังอยู่เหมือนเดิม เท่าเดิมทุกประการ ส่วนคนที่เคยทำแต่ลาสิกขาไปแล้วก็ไม่ต้องกังวลอะไร เพราะคนทั่วไปถือศีล 5 เท่านั้น เมื่อลาสิขาไปแล้วสังฆาทิเลสก็หลุดไปโดยอัติโนมัติเช่นกัน แต่ถ้ากลับมาบวชใหม่สังฆาทิเลสก็จะติดตัวเราโดยอัติโนมัติอีก เพราะเราเคยช่วยตัวเองแต่ไม่ได้แก้ เรื่องการช่วยตัวเองก็เป็นปัญหาโลกแตกมานานเพราะนิกายอื่นสามารถทำได้ แต่นิกายของไทยทำไม่ได้
แต่ที่จริงแล้วในเรื่องปราราชิก ก็มีศีลข้อหนึ่งที่ระบุว่า "ถือเอาทรัพย์ที่เจ้าของไม่ได้ให้ มาเป็นของตน จากบ้านก็ดี จากป่าก็ดี (ขโมย) ได้ราคา 5 มาสก (5 มาสกเท่ากับ 1 บาท)" แต่ในปัจจุบันก็ทำเป็นปกติไป เช่นญาติโยมนำพัดลมมาถวายวัด พัดลมเราเสีย แล้วเรากลับนำมาใช้เองโดยที่ไม่ได้ขออนุญาตใคร อันนี้ก็ผิดหนักแล้ว หรือทำงานกวาดศาลาเหนื่อยๆ อยากฉันน้ำ อยากสรงน้ำ หยิบเงินวัดไปซื้อน้ำกิน ซื้อสบู่ อันนี้ก็ถือว่าผิดหนักเลยนะ หนักกว่าช่วยตัวเองเสียอีก ซึ่งจริงๆแล้วต้องลาสิกขาอย่างเดียว แก้อะไรไม่ได้เลย ถึงแม้ว่าจะไม่ได้เจตนาก็ตาม แต่บาปที่ไม่ได้เจตนาก็มีอยู่
สรุปจริงไหมครับ
"ช่วยตัวเองกับการอยู่กรรม" ไม่ได้ช่วยให้บาปเบาลงนะ สรุปใช่หรือไม่
แต่ที่จริงแล้วในเรื่องปราราชิก ก็มีศีลข้อหนึ่งที่ระบุว่า "ถือเอาทรัพย์ที่เจ้าของไม่ได้ให้ มาเป็นของตน จากบ้านก็ดี จากป่าก็ดี (ขโมย) ได้ราคา 5 มาสก (5 มาสกเท่ากับ 1 บาท)" แต่ในปัจจุบันก็ทำเป็นปกติไป เช่นญาติโยมนำพัดลมมาถวายวัด พัดลมเราเสีย แล้วเรากลับนำมาใช้เองโดยที่ไม่ได้ขออนุญาตใคร อันนี้ก็ผิดหนักแล้ว หรือทำงานกวาดศาลาเหนื่อยๆ อยากฉันน้ำ อยากสรงน้ำ หยิบเงินวัดไปซื้อน้ำกิน ซื้อสบู่ อันนี้ก็ถือว่าผิดหนักเลยนะ หนักกว่าช่วยตัวเองเสียอีก ซึ่งจริงๆแล้วต้องลาสิกขาอย่างเดียว แก้อะไรไม่ได้เลย ถึงแม้ว่าจะไม่ได้เจตนาก็ตาม แต่บาปที่ไม่ได้เจตนาก็มีอยู่
สรุปจริงไหมครับ