เมื่อจอยมีบอดี้การ์ด (1) เรื่องสั้น โดย ดรัสวันต์

กระทู้สนทนา
เมื่อจอยมีบอดี้การ์ด
ดรัสวันต์

1

        จอยเป็นใครหรือสำคัญอย่างไรหรือคะจึงต้องมีบอดี้การ์ด  

       อ้อ  บอดี้การ์ดในที่นี้ไม่ใช่สรรพนามเรียกแฟนของจอยหรอกนะคะ แต่หมายถึงผู้ชายตัวโตๆ ที่คอยดูแลความปลอดภัยให้จอยยังไงคะ

      มารู้จัก จอย กันก่อนนะคะ

      จอย ชื่อ จอมขวัญ แสงสถิตย์ ค่ะ  แต่เพื่อนตั้งฉายาว่า ยัยจอย สิงสถิตย์  เพราะครั้งหนึ่งที่จอยไปยืดผมมาจนเหยียดตรงยาวสวยเลย แล้วจอยก็ใช้ผมยาวๆ นี่ล่ะทำเป็นผีหลอกเพื่อน ตอนเราไปเที่ยวต่างจังหวัดกัน ก็เลยได้ฉายานี้มา  

      แต่ตอนนี้ได้ฉายาใหม่อีกแล้ว เพราะหนังสุดฮิตของสาวๆ ชาวกทม.เรื่องที่เกี่ยวกับรถไฟฟ้าไงคะ ที่จอยไปตัดผมทรงเดียวกับนางเอก แล้วเพื่อนๆ ก็เรียกจอยว่า คริส  

      แหม  แหม อย่าทำหน้าอย่างนั้นซิคะ จอยก็แค่มีส่วนเหมือน แต่ตอนยิ้มตาหยีนั้น เพื่อนชมว่าเหมือนมากกกก

      เอาล่ะ คงพอมีไอเดียกันแล้วว่า จอย หน้าตาแบบไหน

     ตั้งแต่จอยเรียนจบอักษรศาสตร์มา ก็เดินเตะฝุ่นอยู่เกือบปี  สมัครงานไปเรื่อยๆ ไปสมัครตามเพื่อนบ้าง มีคนฝากงานบ้าง แต่งานที่จอยใฝ่ฝันน่ะรึคะ งานที่กระทรวงการต่างประเทศ ยังไงคะ

      จอยชอบท่องเที่ยวและฝันอยากจะไปใช้ชีวิตในต่างแดน หากได้มีโอกาสไปทำงานที่สถานทูตไทยในยุโรปหรืออเมริกา คงโก้พิลึก แล้วจอยจะเที่ยวให้ช่ำปอดเลย คอยดูซิ

     “ทำไมไม่ไปเป็นแอร์โฮสเตสล่ะ ถ้าชอบเที่ยว” เพื่อนสนิทแซว

     “เดินทางไม่หยุดแบบนั้นก็ไม่ไหวนะ”

      แล้วกระทรวงการต่างประเทศก็ประกาศรับสมัครข้าราชการและเปิดสอบแข่งขัน จอยมุมานะท่องหนังสือเตรียมสอบวิชาที่กำหนดและมั่นใจว่าความสามารถด้านภาษาอังกฤษของจอย ต้องทำคะแนนได้สูงแน่นอน

      แต่จอยก็ไปไม่ถึงฝั่งฝัน จอยสอบทุกวิชาผ่านแต่สอบ Aptitude test ไม่ผ่านเกณฑ์ แม้คะแนนภาษาอังกฤษจะได้สูงเพียงใด ก็ไม่มีประโยชน์ (สมัยที่จอยสอบก็นานมาแล้ว สมัยนี้เขายังสอบวิชานี้อยู่อีกไหมนะ)

      ผิดหวังและรู้สึกตัวเองโง่เง่าจริงๆ เป็นไปได้ยังไง สอบ Aptitude test ไม่ผ่าน แต่พอทบทวนให้ดีๆ แล้ว จอยประมาทเองที่คิดว่ามันไม่สำคัญแล้วไม่ได้ติววิชานี้เอาเลย

      เอาเถอะ  จอยจะแก้ตัวใหม่ครั้งหน้า  ซึ่งไม่รู้เหมือนกันว่าเขาจะเปิดสอบอีกเมื่อไหร่
 

      เบื่อหน่ายกับการแบมือขอเงินพ่อแม่ได้ไม่นาน ก็มีหน่วยงานหนึ่งที่จอยเคยสมัครงานทิ้งไว้นานแล้ว เขาเรียกให้จอยไปสัมภาษณ์ เป็นองค์กรพัฒนาเอกชนที่มีเครือข่ายมาจากต่างประเทศ  เขาสนใจความสามารถด้านภาษาของจอยและตกลงรับจอยเข้าเป็นเจ้าหน้าที่แผนงานซึ่งมีหน้าที่หลักคือแปลเอกสารและเขียนรายงานต่างๆ เป็นภาษาอังกฤษ ส่งผู้ให้ทุนจากต่างประเทศ

      ทำงานไปก็มีสนุกบ้างและเบื่อบ้างตามประสามนุษย์เงินเดือน เผลอแป๊บเดียว จอยก็ทำงานที่นี่มาได้ 3 ปี แล้ว

      กระทรวงการต่างประเทศไม่ได้เปิดสอบอีก ในสภาพเศรษฐกิจเช่นนี้ หน่วยงานราชการพยายามใช้ทรัพยากรที่มีอยู่อย่างสูงสุด และแทบไม่มีการรับเจ้าหน้าที่เพิ่ม เช่นเดียวกับหลายหน่วยงานอื่นๆ ทั้งภาครัฐและเอกชน  

     เพื่อนของจอยหลายคนก็ยังเตะฝุ่นอยู่ บางคนก็ดิ้นรนไปเรียนต่อ

      ที่ทำงานของจอยเป็นองค์กรเล็กๆ มีพนักงานอยู่ไม่ถึงร้อยคน เรามีโครงการด้านการพัฒนาชนบทและขจัดความยากจนของชาวบ้านผู้ด้อยโอกาสอยู่ในหลายจังหวัดโดยเฉพาะในภาคอีสาน

      จอยพัฒนาจากการทำหน้าที่แปลเอกสารขึ้นมาเป็น Project Manager อาจจะดูว่าเป็นการเลื่อนตำแหน่งที่รวดเร็ว ส่วนหนึ่งจอยคงต้องขอบคุณความสามารถทางภาษาที่ค่อนข้างโดดเด่นกว่าหลายคนในหน่วยงานนี้

      ลืมบอกไปค่ะว่านอกจากเรียนจบอักษรศาสตร์แล้ว ก่อนหน้านั้นจอยเรียนจบจากโรงเรียนอินเตอร์  

      อ๊ะ อ๊ะ จอยไม่ได้รวยนะคะ ไม่ได้มีเงินจ่ายค่าเทอมหลักแสน แต่เผอิญมีคุณแม่เป็นครูสอนหนังสือที่นั่น  ก็เลยได้รับการพิจารณาพิเศษ และที่โรงเรียนก็มีทุนสำหรับนักเรียนเรียนดี ความประพฤติดีด้วย

      เล่ามาตั้งนาน คุณยังนึกไม่ออกเลยใช่ไหมว่าผู้หญิงธรรมด๊า ธรรมดา ไม่ได้เป็นเศรษฐ๊พันล้าน ไม่ได้เป็นดาราหรือ celebrity หรือบุคคลสำคัญอย่างจอยจะมีบอดี้การ์ดกับเขาได้อย่างไร

      ใจเย็นๆ ค่ะ กำลังจะเล่าต่อ

       การทำงานในองค์กรเอกชนนี้ มีโอกาสได้รับทุนอบรมต่างประเทศ หรือได้ไปเข้าร่วมประชุมสัมนาต่างประเทศอยู่เสมอๆ 

      จะว่าเป็นดวงของคนหรือเปล่าก็ไม่รู้ จอยได้ไปต่างประเทศในนามขององค์กรเกือบทุกปีทั้งยุโรปและประเทศในแถบอาเซี่ยน มันทำให้จอยค่อยๆ ห่างหายจากความฝันที่จะไปเป็นเจ้าหน้าที่สถานทูต

      มีรุ่นพี่คนหนึ่งที่เป็นเจ้าหน้าที่การทูตเคยบอกจอยว่า เป็นผู้หญิงที่ต้องย้ายไปประจำสถานทูตที่โน่นที่นี่ แรกๆ ก็สนุกดีหรอกแต่เมื่อไหร่ที่เรามีครอบครัว แล้วสามีเราไม่ยอมตามไปประจำต่างประเทศด้วย เราจะทำอย่างไร

       ‘เทอมละสี่ปีเชียวนะ สามีก็เลยมีเมียน้อย ครอบครัวแตกแยก เจอมาหลายรายแล้ว’

       จอยยังไม่มีครอบครัว ยังไม่ค่อยคิดเรื่องนี้นัก ห่วงแต่ผู้บังเกิดเกล้าทั้งสอง ถ้าจอยต้องไปอยู่ต่างประเทศนานๆ แล้วใครจะดูแลท่าน ก็จอยเป็นลูกสาวคนเดียวนี่คะ

      เพราะฉะนั้น ทำงานที่นี่ก็ดีไปอย่างคือได้ไปต่างประเทศ ไปไม่บ่อยอย่างแอร์โฮสเตสและไม่ต้องไปอยู่นานๆ อย่างเจ้าหน้าที่สถานทูต
 

      “จอย เชิญที่ห้องทำงานผมหน่อย” คุณณรงค์ เจ้านายจอยเดินออกมาเรียก

       จอยหยิบสมุดปากกา เข้าไปนั่งในห้องพร้อมรับคำสั่งเจ้านาย

       “จำโครงการของ Grameen Foundation ได้ไหม”

       “เขาตอบรับแล้วหรือคะ”

      “ใช่ แต่เราต้องทำตามขั้นตอนของเขา ก่อนเริ่มโครงการต้องเข้าอบรมเรื่อง Micro credit ก่อน และผู้เข้าอบรมต้องมีประสบการณ์งานด้านนี้ด้วย”

      “ต้องเข้าอบรมหรือคะ” พอถามออกไปแล้ว จอยก็นึกถึงหน่วยงานที่เราไปติดต่อเรื่องนี้  "ที่ซิตี้แบงก์ใช่ไหมคะ” ที่เดาเช่นนี้เพราะซิตี้แบงก์ที่อเมริกาเป็นผู้สนับสนุนการก่อตั้งมูลนิธิกรามีน และสาขาของซิตี้แบงก์ในทุกประเทศรวมทั้งในประเทศไทยโปรโมทแนวคิดของกรามีน

       คุณณรงค์หยุดมองหน้าจอย

      “ที่บังคลาเทศ”

       เป็นคำตอบที่จอยต้องอึ้งไป

       “จอยไปได้ไหม”

       จอยกลับออกมาจากห้องเจ้านาย แล้วนั่งนิ่งอยู่เช่นนั้นราวกับถูกมนตร์(ดำ)สะกด นานกี่นาทีก็จำไม่ได้  

        ‘บังคลาเทศ !’ รำพึงกับตัวเองพร้อมถอนหายใจเฮือกใหญ่

       นึกถึงประโยคที่นายพูดว่า

       ‘ตอนแรกผมตั้งใจจะไปเอง แต่เขาอยากได้คนที่ทำงานโดยตรง ไม่ใช่ผู้บริหาร อีกสองอาทิตย์เตรียมตัวทันไหม’

       เป็นครั้งแรกที่จอยไม่ตื่นเต้นยินดีกับการไปต่างประเทศครั้งนี้เลย ตรงกันข้าม มีแต่ความวิตกกังวลและหนักใจ

       การเป็นผู้หญิงสาวเดินทางไปประเทศอิสลามตามลำพัง ไม่ใช่เรื่องง่าย จอยเคยประสบมาแล้วจากการเดินทางไปประชุมที่ประเทศจอร์แดนเมื่อปีที่แล้ว

        เพียงแต่ครั้งนี้ บังคลาเทศ เป็นประเทศกำลังพัฒนาที่มีความเข้มงวดของมุสลิมมากกว่า และแตกต่างจากมุสลิมในกลุ่มประเทศอาหรับ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่