มีคำโบราณของชาติตะวันตกคำหนึ่ง ที่พูดเกี่ยวกับเงินไว้ได้อย่างตรงไปตรงมา ว่า “เงินทองดุจน้ำทะเล ยิ่งดื่มยิ่งกระหาย”
แน่นอนมนุษย์ยุคนี้ขาดเงินไม่ได้ เงินน้อยก็ไม่ได้ เงินเป็นทุกสิ่งทุกอย่าง เงินเป็นทั้งตัวปัญหาและเงินก็ยังเป็นทางออกให้กับปัญหา
ด้วย รวมถึง ปัญหาใหญ่ที่กำลังเขย่าองค์กรกอล์ฟ พีจีเอ ทัวร์ ในขณะนี้
>>
เมื่อวันพุธที่ผ่านมา ก่อนรายการ The Travelers Championship เจย์ โมนาแฮน หัวหน้าใหญ่ของพีจีเอ ทัวร์
ได้ถือโอกาสจัดแถลงข่าวกับสื่อมวลชน ต่อกรณีปัญหาสมองไหล นักกอล์ฟในสังกัด พากันลาออกจากทัวร์
ไปเซ็นสัญญากับลีฟกอล์ฟ ซึ่งเป็นการฝ่าฝืนกฎของพีจีเอ ทัวร์ โดยเจย์ได้แถลงดังนี้
“ที่จริงผมได้กล่าวกับบรรดานักกอล์ฟสมาชิกไปแล้วเมื่อวาน แต่ผมขออนุญาตทำความกระจ่างอีกครั้ง ผมไม่
ได้อิจฉา(ลีฟกอล์ฟ) หากนี่คือการแข่งขันด้านอาวุธ และอาวุธเพียงอย่างเดียวที่ว่านั้นคือ แบงค์ดอลลาร์ พีจีเอทัวร์
เราไม่สามารถแข่งขันได้แน่ พีจีเอทัวร์ เป็นสถาบันกอล์ฟแห่งอเมริกา คงไม่สามารถแข่งขันกับราชวงศ์ต่างชาติ
ที่ใช้เงินเป็นพันล้านดอลลาร์ ในความพยายามที่จะทุ่มซื้อกอล์ฟ เรายินดีต้อนรับการแข่งขันที่สร้างสรรค์และขาวสะอาด
แต่ลีฟกอล์ฟไม่ใช่ แต่มันคือภัยคุกคามที่ไร้เหตุผล เพราะลีฟกอล์ฟไม่ได้คำนึงถึงผลตอบแทนของการลงทุน และยัง
ไม่ใช่การสร้างความเติบโตให้กับเกมกอล์ฟอย่างแท้จริง”
>>>
เจย์ยังได้กล่าวต่อไปอีกว่า
“ปัจจุบันนี้ ไม่มีองค์กรกอล์ฟหนึ่งองค์กรใด ที่จะเป็นเจ้าของ หรือครองบทบาทสำคัญของกอล์ฟไว้แต่เพียงผู้เดียว
แต่กลับกัน หลายๆองค์กร ไม่ว่าจะเป็น Augusta National USGA LPGA หรือ PGA Tour PGA of America
ต่างร่วมกันทำงานเพื่อให้บรรลุเป้าหมายร่วมกัน เพื่อผลประโยชน์ของเกมกอล์ฟด้วยหัวใจอย่างแท้จริง แต่เมื่อมี
บางคนพยายามที่จะใช้เงินทุ่มซื้อกอล์ฟ ทำลายองค์กรต่างๆเหล่านี้ซึ่งทำหน้าที่สร้างความเติบโตให้วงการกอล์ฟ
อย่างบริสุทธิ์ใจ และเพื่อสนองไปที่ผลประโยชน์ส่วนบุคคลเพียงอย่างเดียว ความร่วมมือกันเหล่านี้ก็หายไป และ
สุดท้ายก็จบลงที่คนเพียงคนเดียว องค์กรเดียว สามารถใช้เงินจำนวนมหาศาลอย่างไม่มีสิ้นสุด กำหนดทิศทาง
ให้ลูกจ้าง ที่ไม่ใช่สมาชิกหรือพันธมิตร เดินไปในทิศทางที่บุคคลนั้นต้องการ ที่อาจหรือไม่อาจ เปลี่ยนแปลงวัน
พรุ่งนี้หรือวันต่อไป”
โมนาแฮนใช้คำว่า ลูกจ้าง แทนการเรียกว่า สมาชิก สำหรับนักกอล์ฟที่ทำสัญญาเข้าร่วมกับลีฟกอล์ฟ
>>>>>
นอกจากนี้ เจย์ยังพยายามสื่อให้เห็นว่า นักกอล์ฟที่ย้ายทัวร์ไปครั้งนี้ ไม่ได้เป็นผู้ที่เห็นคุณค่าของคำว่า ตำนาน
ที่พีจีเอทัวร์สั่งสมมาอย่างยาวนาน
“ผมสงสัยว่า นี่คือวิชั่นสำหรับเกมกอล์ฟของพวกเราผู้หนึ่งผู้ใดหรือ? บัดนี้ ผมรู้ซึ้งแล้วว่า ลำพังตำนานหรือเกียรติยศ
เป็นเพียงคำพูดสวยหรูที่ไม่ค่อยมีความหมายนัก แต่สำหรับผม เมื่อผมพูดถึงคอนเซ็ปต์เหล่านั้น มันไม่ใช่การสร้าง
ความเพ้อฝันที่จับต้องไม่ได้ แต่มันเป็นผลงานที่จับต้องได้และพิสูจน์ได้ ขององค์กรหนึ่งและเกมกีฬาหนึ่ง
>>>>>>>>
คำกล่าวนำนี้ของโมนาแฮน ยังนำร่องไปถึงก้าวย่างต่อจากนี้ไปของพีจีเอทัวร์ โดยเขาได้แตกย่อยถึงโมเดลผลิตภัณฑ์
ในอนาคตเริ่มตั้งแต่ฤดูกาล 2022-23 ที่ประกอบด้วย การปรับเปลี่ยนคุณสมบัติและรูปแบบการควอลิไฟ (เฉพาะ 70 อัน
ดับแรกของตารางเฟดเอ็กซ์เท่านั้น ที่จะได้สิทธิ์ฟูลเอ็กเซมป์สำหรับฤดูกาลหน้า ส่วนที่เหลือต้องไปแย่งกันในช่วงการแข่งขัน
ฤดูใบไม้ผลิ หรือ Fall series ซึ่งนักกอล์ฟท็อป 50 จะได้ไปต่อในฤดูกาลหน้า แต่มาตรการสำคัญที่สุด ที่พีจีเอมั่นใจว่า
จะช่วยรั้งนักกอล์ฟระดับแนวหน้าของตนไว้ได้ คือ การเพิ่มเงินรางวัลในแปดรายการใหญ่ของทัวร์
โดยในจดหมายเปิดผนึกที่ส่งให้นักกอล์ฟสมาชิกทุกคน พีจีเอทัวร์ให้รายละเอียดของการเพิ่มเงินรางวัลในแปดรายการ
ที่ว่าดังนี้ รายการ Sentry Tournament of Champions เพิ่มาก 8.2 เป็น 15 ล้าน รายการ The Genesis Invitational
รายการ Arnold Palmer Invitational รายการ WGC-Dell Technologies Match Play และ รายการ The Memorial
Tournament ทั้งหมดนี้เพิ่มจาก 12 เป็น 20 ล้าน รายการ The Players จาก 20 เป็น 25 ล้าน ส่วนรายการ FedEx
St. Jude Championship และ รายการ BMW Championship เพิ่มจาก 15 เป็น 20 ล้าน
>>>>>
อีกมาตรการที่มีความสำคัญ และถือเป็นการปิดจุดอ่อนของพีจีเอทัวร์ แถมยังเป็นการเอาอกเอาใจนักกอล์ฟระดับอีลีท
นั่นคือ การปรับช่วงเวลาของซีซันให้เหมาะสมขึ้นและสั้นลง คือ ฤดูกาลใหม่จะเริ่มปีปฏิทินจากเดือนมกราคม ไปสิ้นสุด
ที่สิงหาคม ทำให้นักกอล์ฟมีเวลาหยุดพักนานขึ้น มีเวลาให้ครอบครัวมากขึ้น แก้ข้อกล่าวหาที่นักกอล์ฟอย่างฟิล หรือ
หลายๆคนใช้เป็นข้ออ้างในการย้ายไปเล่นที่ลีฟกอล์ฟ (แต่สำหรับนักกอล์ฟที่อันดับไม่ดี ก็หมดสิทธิ์หยุด ยังต้องไป
ดิ้นรนในช่วงฟอลล์ซีซันกันต่อ)
นอกจากนี้ ยังมีการเพิ่มจำนวนทัวร์นาเมนต์อีกสามรายการ เรียกว่า โกลบอลซีส์ โดยจะมีเงินรางวัลสูงถึง 25 ล้านเหรียญ
ต่อรายการ ที่จะไปโรดโชว์ในประเทศต่างๆ โดยจะประกอบด้วยผู้เล่นท็อป 50 จากตารางเฟดเอ็กซ์ของฤดูกาลที่แล้ว
รวมกับนักกอล์ฟรับเชิญและนักกอล์ฟท้องถิ่น และคาดว่าจะกระจายสถานที่แข่งขันไปยังยุโรป เอเชีย และ ตะวันออกกลาง
>>>>>>>>>>
นอกจากจะปรับปรุงบ้านตัวเองให้น่าอยู่ยิ่งขึ้น พีจีเอทัวร์ยังกระชับความสัมพันธ์กับทัวร์เพื่อนบ้านที่ดีให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น
หรือถ้าจะมองว่า เป็นการกระชับพื้นที่ล้อมการขยายอาณาจักรของลีฟกอล์ฟก็ไม่ผิด เมื่อต้นสัปดาห์นี้เอง ทั้งเจย์ และ
คีธ เพลลีย์ ซีอีโอ ของ ดีพี เวิลด์ทัวร์ ได้ร่วมออกแถลงการและให้สัมภาษณ์ ถึงการยกระดับความร่วมมือระหว่างทัวร์ทั้งสอง
พร้อมกับมาตรการจูงใจมากมาย เช่น การเพิ่มหุ้นลงทุนของพีจีเอในดีพีเวิลด์ จาก 15 เป็น 40 เปอร์เซ็นต์ การเพิ่มเงินรางวัล
และมีกองทุนรายได้ให้นักกอล์ฟอย่างน้อยเป็นเวลาห้าปี มีการดึง ซันชายน์ทัวร์ และ พีจีเอ ออสเตรเลีย (ISPS Handa PGA
Tour of Australasia) เข้าร่วมกับดีพีเวิล์ด และมาตรการที่สำคัญมากคือ มีการให้ทัวร์การ์ด 10 ใบสำหรับผู้ติดอันดับท็อป-10 เข้า
พีจีเอทัวร์ได้เลยโดยอัตโนมัติ นอกจากนี้ คีธยังเน้นย้ำว่า ดีพีเวิลด์จะกลับมายิ่งใหญ่ และลบภาพการเป็นทัวร์ทางผ่าน
(feeder tour) ส่วน คอนแฟร์รีทัวร์ ก็จะได้รับทัวร์การ์ดเพิ่ม จาก 25 เป็น 30 ใบ
>>>
เมื่อผู้สื่อข่าวถามเกี่ยวกับนักกอล์ฟระดับท็อปสองคนจากดีพีเวิล์ด คือ ริชาร์ด แบลนด์ และ พาโบล ลาร์ราซาบาล ที่มาเข้าร่วม
กับลีฟกอล์ฟ ประเด็นนี้ คีธ ไม่ได้ตอบว่าจะมีมาตรการตอบโต้อย่างไร แต่กล่าวว่า ด้วยมาตรการใหม่ๆ ที่ทัวร์นำเสนอออกมา
ปัญหาเหล่านี้จะไม่เกิดขึ้นอีกต่อไป
เมื่อราวสองสัปดาห์ก่อน ดีพีเวิล์ด ได้มีคำสั่งแบนนักกอล์ฟในสังกัดของตนที่เข้าร่วมแข่งกับลีฟกอล์ฟที่ลอนดอน ไม่ให้เข้า
แข่งขันรายการใหญ่ในต้นเดือนนี้ คือ Scottish Open พร้อมสั่งปรับเงินเป็นจำนวน 100,000 ปอนด์ แต่ในกรณีนักกอล์ฟจาก
ทัวร์อื่นที่ไม่ได้มาจากพีจีเอทัวร์และดีพีเวิล์ด ที่เข้าร่วมกับลีฟกอล์ฟ จนถึงเวลานี้ ยังไม่มีความชัดเจนว่า จะยังได้รับสิทธิ์เข้า
ควอลิฟายใน พีจีเอทัวร์ และ ดีพีเวิล์ดทัวร์ หรือไม่
>>>>>>
เมื่อพิจารณาการปรับปรุงและเปลี่ยนแปลงทั้งหมดที่เกิดขึ้นครั้งนี้ ต้องถือว่าเป็นผลดีต่อนักกอล์ฟโดยรวมทั่วโลก ทั้งเรื่องเงิน
รางวัลและความมั่นคงด้านอาชีพ สิ่งหนึ่งที่เจย์ โมนาแฮนกล่าวได้ถูกต้องมากคือ เขาต้องการสร้างแพลตฟอร์มที่ดีที่สุด เพื่อ
ให้เป็นเวทีแข่งขันของนักกอล์ฟที่ดีที่สุด ต่อไปนี้ นักกอล์ฟที่เก่ง จะมีช่องทางไปสู่จุดสูงสุดในอาชีพได้เร็วขึ้น นักกอล์ฟดาวรุ่ง
คนหนึ่งที่สอบเข้าดีพีเวิล์ดได้ หากสามารถจบในอันดับท็อปเท็นในตอนสิ้นปี ก็สามารถไปต่อในพีจีเอทัวร์ในปีถัดไปได้เลย
แต่สิ่งหนึ่งที่เจย์ไม่ได้กล่าว คือ แพลตฟอร์มใหม่ของพีจีเอทัวร์ แม้จะเปิดโอกาสให้นักกอล์ฟหน้าใหม่มากขึ้น แต่การแข่งขัน
ในทัวร์ก็จะเข้มข้นมากขึ้นด้วย เมื่อมีนักกอล์ฟหน้าใหม่ๆ หมุนเวียนเข้ามาได้ง่ายขึ้น คนเก่าๆจำนวนหนึ่งก็ต้องออกไป อัตรา
การเข้าออกทัวร์ หรือ turnover rate ของพีจีเอทัวร์ก็จะสูงขึ้น ความไม่มั่นคงในสถานภาพก็จะมากขึ้นด้วย โดยเฉพาะนักกอล์ฟ
ของอเมริกาเอง ในอนาคตพีจีเอทัวร์จะเป็นเหมือนแอลพีจีเอทัวร์ ที่มีนักกอล์ฟนานาชาติครองความยิ่งใหญ่ แทนนักกอล์ฟเจ้าถิ่น
ซึ่งพีจีเอทัวร์เองก็คงไม่อยากให้เกิดขึ้น
>>>>>>>>>>>
น่าสนใจว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นในขณะนี้ PGA Tour กำลังตั้งโจทย์ผิดหรือไม่ว่ามันเกิดจาก เงิน ความไม่เป็นธรรมหรือไม่ลงตัว
ในการจัดสรรเงิน จึงทำให้เกิด Liv Golf ขึ้นมา ซึ่งการที่องค์กรกอล์ฟที่มีความเฟื้องฟูมาอย่างยาวนานอย่าง PGA Tour กำลัง
ใช้เงินเป็นโซลูชั่นในการแก้ปัญหา เป็นการเดินไปในทิศทางที่ถูกต้องแล้วหรือ
เพราะขณะที่กล่าวหาคู่แข่งว่า ทุ่มเงินซื้อ กล่าวหานักกอล์ฟที่ย้ายทัวร์ว่า เห็นแก่เงิน แต่ PGA Tour กลับใช้เงินแก้ปัญหาเช่นกัน
การแข่งขันที่ใช้เงินเป็นตัวตั้ง ท้ายที่สุดจะนำไปสู่อะไร จะมีความยั่งยืนหรือไม่ PGA Tour จะกู้ความยิ่งใหญ่กลับมาได้หรือไม่
จนถึงชั่วโมงนี้ ยังไม่มีใครตอบได้
๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙
Money Talks : ทางออก หรือทางตัน สำหรับกอล์ฟ
มีคำโบราณของชาติตะวันตกคำหนึ่ง ที่พูดเกี่ยวกับเงินไว้ได้อย่างตรงไปตรงมา ว่า “เงินทองดุจน้ำทะเล ยิ่งดื่มยิ่งกระหาย”
แน่นอนมนุษย์ยุคนี้ขาดเงินไม่ได้ เงินน้อยก็ไม่ได้ เงินเป็นทุกสิ่งทุกอย่าง เงินเป็นทั้งตัวปัญหาและเงินก็ยังเป็นทางออกให้กับปัญหา
ด้วย รวมถึง ปัญหาใหญ่ที่กำลังเขย่าองค์กรกอล์ฟ พีจีเอ ทัวร์ ในขณะนี้
>>
เมื่อวันพุธที่ผ่านมา ก่อนรายการ The Travelers Championship เจย์ โมนาแฮน หัวหน้าใหญ่ของพีจีเอ ทัวร์
ได้ถือโอกาสจัดแถลงข่าวกับสื่อมวลชน ต่อกรณีปัญหาสมองไหล นักกอล์ฟในสังกัด พากันลาออกจากทัวร์
ไปเซ็นสัญญากับลีฟกอล์ฟ ซึ่งเป็นการฝ่าฝืนกฎของพีจีเอ ทัวร์ โดยเจย์ได้แถลงดังนี้
“ที่จริงผมได้กล่าวกับบรรดานักกอล์ฟสมาชิกไปแล้วเมื่อวาน แต่ผมขออนุญาตทำความกระจ่างอีกครั้ง ผมไม่
ได้อิจฉา(ลีฟกอล์ฟ) หากนี่คือการแข่งขันด้านอาวุธ และอาวุธเพียงอย่างเดียวที่ว่านั้นคือ แบงค์ดอลลาร์ พีจีเอทัวร์
เราไม่สามารถแข่งขันได้แน่ พีจีเอทัวร์ เป็นสถาบันกอล์ฟแห่งอเมริกา คงไม่สามารถแข่งขันกับราชวงศ์ต่างชาติ
ที่ใช้เงินเป็นพันล้านดอลลาร์ ในความพยายามที่จะทุ่มซื้อกอล์ฟ เรายินดีต้อนรับการแข่งขันที่สร้างสรรค์และขาวสะอาด
แต่ลีฟกอล์ฟไม่ใช่ แต่มันคือภัยคุกคามที่ไร้เหตุผล เพราะลีฟกอล์ฟไม่ได้คำนึงถึงผลตอบแทนของการลงทุน และยัง
ไม่ใช่การสร้างความเติบโตให้กับเกมกอล์ฟอย่างแท้จริง”
>>>
เจย์ยังได้กล่าวต่อไปอีกว่า
“ปัจจุบันนี้ ไม่มีองค์กรกอล์ฟหนึ่งองค์กรใด ที่จะเป็นเจ้าของ หรือครองบทบาทสำคัญของกอล์ฟไว้แต่เพียงผู้เดียว
แต่กลับกัน หลายๆองค์กร ไม่ว่าจะเป็น Augusta National USGA LPGA หรือ PGA Tour PGA of America
ต่างร่วมกันทำงานเพื่อให้บรรลุเป้าหมายร่วมกัน เพื่อผลประโยชน์ของเกมกอล์ฟด้วยหัวใจอย่างแท้จริง แต่เมื่อมี
บางคนพยายามที่จะใช้เงินทุ่มซื้อกอล์ฟ ทำลายองค์กรต่างๆเหล่านี้ซึ่งทำหน้าที่สร้างความเติบโตให้วงการกอล์ฟ
อย่างบริสุทธิ์ใจ และเพื่อสนองไปที่ผลประโยชน์ส่วนบุคคลเพียงอย่างเดียว ความร่วมมือกันเหล่านี้ก็หายไป และ
สุดท้ายก็จบลงที่คนเพียงคนเดียว องค์กรเดียว สามารถใช้เงินจำนวนมหาศาลอย่างไม่มีสิ้นสุด กำหนดทิศทาง
ให้ลูกจ้าง ที่ไม่ใช่สมาชิกหรือพันธมิตร เดินไปในทิศทางที่บุคคลนั้นต้องการ ที่อาจหรือไม่อาจ เปลี่ยนแปลงวัน
พรุ่งนี้หรือวันต่อไป”
โมนาแฮนใช้คำว่า ลูกจ้าง แทนการเรียกว่า สมาชิก สำหรับนักกอล์ฟที่ทำสัญญาเข้าร่วมกับลีฟกอล์ฟ
>>>>>
นอกจากนี้ เจย์ยังพยายามสื่อให้เห็นว่า นักกอล์ฟที่ย้ายทัวร์ไปครั้งนี้ ไม่ได้เป็นผู้ที่เห็นคุณค่าของคำว่า ตำนาน
ที่พีจีเอทัวร์สั่งสมมาอย่างยาวนาน
“ผมสงสัยว่า นี่คือวิชั่นสำหรับเกมกอล์ฟของพวกเราผู้หนึ่งผู้ใดหรือ? บัดนี้ ผมรู้ซึ้งแล้วว่า ลำพังตำนานหรือเกียรติยศ
เป็นเพียงคำพูดสวยหรูที่ไม่ค่อยมีความหมายนัก แต่สำหรับผม เมื่อผมพูดถึงคอนเซ็ปต์เหล่านั้น มันไม่ใช่การสร้าง
ความเพ้อฝันที่จับต้องไม่ได้ แต่มันเป็นผลงานที่จับต้องได้และพิสูจน์ได้ ขององค์กรหนึ่งและเกมกีฬาหนึ่ง
>>>>>>>>
คำกล่าวนำนี้ของโมนาแฮน ยังนำร่องไปถึงก้าวย่างต่อจากนี้ไปของพีจีเอทัวร์ โดยเขาได้แตกย่อยถึงโมเดลผลิตภัณฑ์
ในอนาคตเริ่มตั้งแต่ฤดูกาล 2022-23 ที่ประกอบด้วย การปรับเปลี่ยนคุณสมบัติและรูปแบบการควอลิไฟ (เฉพาะ 70 อัน
ดับแรกของตารางเฟดเอ็กซ์เท่านั้น ที่จะได้สิทธิ์ฟูลเอ็กเซมป์สำหรับฤดูกาลหน้า ส่วนที่เหลือต้องไปแย่งกันในช่วงการแข่งขัน
ฤดูใบไม้ผลิ หรือ Fall series ซึ่งนักกอล์ฟท็อป 50 จะได้ไปต่อในฤดูกาลหน้า แต่มาตรการสำคัญที่สุด ที่พีจีเอมั่นใจว่า
จะช่วยรั้งนักกอล์ฟระดับแนวหน้าของตนไว้ได้ คือ การเพิ่มเงินรางวัลในแปดรายการใหญ่ของทัวร์
โดยในจดหมายเปิดผนึกที่ส่งให้นักกอล์ฟสมาชิกทุกคน พีจีเอทัวร์ให้รายละเอียดของการเพิ่มเงินรางวัลในแปดรายการ
ที่ว่าดังนี้ รายการ Sentry Tournament of Champions เพิ่มาก 8.2 เป็น 15 ล้าน รายการ The Genesis Invitational
รายการ Arnold Palmer Invitational รายการ WGC-Dell Technologies Match Play และ รายการ The Memorial
Tournament ทั้งหมดนี้เพิ่มจาก 12 เป็น 20 ล้าน รายการ The Players จาก 20 เป็น 25 ล้าน ส่วนรายการ FedEx
St. Jude Championship และ รายการ BMW Championship เพิ่มจาก 15 เป็น 20 ล้าน
>>>>>
อีกมาตรการที่มีความสำคัญ และถือเป็นการปิดจุดอ่อนของพีจีเอทัวร์ แถมยังเป็นการเอาอกเอาใจนักกอล์ฟระดับอีลีท
นั่นคือ การปรับช่วงเวลาของซีซันให้เหมาะสมขึ้นและสั้นลง คือ ฤดูกาลใหม่จะเริ่มปีปฏิทินจากเดือนมกราคม ไปสิ้นสุด
ที่สิงหาคม ทำให้นักกอล์ฟมีเวลาหยุดพักนานขึ้น มีเวลาให้ครอบครัวมากขึ้น แก้ข้อกล่าวหาที่นักกอล์ฟอย่างฟิล หรือ
หลายๆคนใช้เป็นข้ออ้างในการย้ายไปเล่นที่ลีฟกอล์ฟ (แต่สำหรับนักกอล์ฟที่อันดับไม่ดี ก็หมดสิทธิ์หยุด ยังต้องไป
ดิ้นรนในช่วงฟอลล์ซีซันกันต่อ)
นอกจากนี้ ยังมีการเพิ่มจำนวนทัวร์นาเมนต์อีกสามรายการ เรียกว่า โกลบอลซีส์ โดยจะมีเงินรางวัลสูงถึง 25 ล้านเหรียญ
ต่อรายการ ที่จะไปโรดโชว์ในประเทศต่างๆ โดยจะประกอบด้วยผู้เล่นท็อป 50 จากตารางเฟดเอ็กซ์ของฤดูกาลที่แล้ว
รวมกับนักกอล์ฟรับเชิญและนักกอล์ฟท้องถิ่น และคาดว่าจะกระจายสถานที่แข่งขันไปยังยุโรป เอเชีย และ ตะวันออกกลาง
>>>>>>>>>>
นอกจากจะปรับปรุงบ้านตัวเองให้น่าอยู่ยิ่งขึ้น พีจีเอทัวร์ยังกระชับความสัมพันธ์กับทัวร์เพื่อนบ้านที่ดีให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น
หรือถ้าจะมองว่า เป็นการกระชับพื้นที่ล้อมการขยายอาณาจักรของลีฟกอล์ฟก็ไม่ผิด เมื่อต้นสัปดาห์นี้เอง ทั้งเจย์ และ
คีธ เพลลีย์ ซีอีโอ ของ ดีพี เวิลด์ทัวร์ ได้ร่วมออกแถลงการและให้สัมภาษณ์ ถึงการยกระดับความร่วมมือระหว่างทัวร์ทั้งสอง
พร้อมกับมาตรการจูงใจมากมาย เช่น การเพิ่มหุ้นลงทุนของพีจีเอในดีพีเวิลด์ จาก 15 เป็น 40 เปอร์เซ็นต์ การเพิ่มเงินรางวัล
และมีกองทุนรายได้ให้นักกอล์ฟอย่างน้อยเป็นเวลาห้าปี มีการดึง ซันชายน์ทัวร์ และ พีจีเอ ออสเตรเลีย (ISPS Handa PGA
Tour of Australasia) เข้าร่วมกับดีพีเวิล์ด และมาตรการที่สำคัญมากคือ มีการให้ทัวร์การ์ด 10 ใบสำหรับผู้ติดอันดับท็อป-10 เข้า
พีจีเอทัวร์ได้เลยโดยอัตโนมัติ นอกจากนี้ คีธยังเน้นย้ำว่า ดีพีเวิลด์จะกลับมายิ่งใหญ่ และลบภาพการเป็นทัวร์ทางผ่าน
(feeder tour) ส่วน คอนแฟร์รีทัวร์ ก็จะได้รับทัวร์การ์ดเพิ่ม จาก 25 เป็น 30 ใบ
>>>
เมื่อผู้สื่อข่าวถามเกี่ยวกับนักกอล์ฟระดับท็อปสองคนจากดีพีเวิล์ด คือ ริชาร์ด แบลนด์ และ พาโบล ลาร์ราซาบาล ที่มาเข้าร่วม
กับลีฟกอล์ฟ ประเด็นนี้ คีธ ไม่ได้ตอบว่าจะมีมาตรการตอบโต้อย่างไร แต่กล่าวว่า ด้วยมาตรการใหม่ๆ ที่ทัวร์นำเสนอออกมา
ปัญหาเหล่านี้จะไม่เกิดขึ้นอีกต่อไป
เมื่อราวสองสัปดาห์ก่อน ดีพีเวิล์ด ได้มีคำสั่งแบนนักกอล์ฟในสังกัดของตนที่เข้าร่วมแข่งกับลีฟกอล์ฟที่ลอนดอน ไม่ให้เข้า
แข่งขันรายการใหญ่ในต้นเดือนนี้ คือ Scottish Open พร้อมสั่งปรับเงินเป็นจำนวน 100,000 ปอนด์ แต่ในกรณีนักกอล์ฟจาก
ทัวร์อื่นที่ไม่ได้มาจากพีจีเอทัวร์และดีพีเวิล์ด ที่เข้าร่วมกับลีฟกอล์ฟ จนถึงเวลานี้ ยังไม่มีความชัดเจนว่า จะยังได้รับสิทธิ์เข้า
ควอลิฟายใน พีจีเอทัวร์ และ ดีพีเวิล์ดทัวร์ หรือไม่
>>>>>>
เมื่อพิจารณาการปรับปรุงและเปลี่ยนแปลงทั้งหมดที่เกิดขึ้นครั้งนี้ ต้องถือว่าเป็นผลดีต่อนักกอล์ฟโดยรวมทั่วโลก ทั้งเรื่องเงิน
รางวัลและความมั่นคงด้านอาชีพ สิ่งหนึ่งที่เจย์ โมนาแฮนกล่าวได้ถูกต้องมากคือ เขาต้องการสร้างแพลตฟอร์มที่ดีที่สุด เพื่อ
ให้เป็นเวทีแข่งขันของนักกอล์ฟที่ดีที่สุด ต่อไปนี้ นักกอล์ฟที่เก่ง จะมีช่องทางไปสู่จุดสูงสุดในอาชีพได้เร็วขึ้น นักกอล์ฟดาวรุ่ง
คนหนึ่งที่สอบเข้าดีพีเวิล์ดได้ หากสามารถจบในอันดับท็อปเท็นในตอนสิ้นปี ก็สามารถไปต่อในพีจีเอทัวร์ในปีถัดไปได้เลย
แต่สิ่งหนึ่งที่เจย์ไม่ได้กล่าว คือ แพลตฟอร์มใหม่ของพีจีเอทัวร์ แม้จะเปิดโอกาสให้นักกอล์ฟหน้าใหม่มากขึ้น แต่การแข่งขัน
ในทัวร์ก็จะเข้มข้นมากขึ้นด้วย เมื่อมีนักกอล์ฟหน้าใหม่ๆ หมุนเวียนเข้ามาได้ง่ายขึ้น คนเก่าๆจำนวนหนึ่งก็ต้องออกไป อัตรา
การเข้าออกทัวร์ หรือ turnover rate ของพีจีเอทัวร์ก็จะสูงขึ้น ความไม่มั่นคงในสถานภาพก็จะมากขึ้นด้วย โดยเฉพาะนักกอล์ฟ
ของอเมริกาเอง ในอนาคตพีจีเอทัวร์จะเป็นเหมือนแอลพีจีเอทัวร์ ที่มีนักกอล์ฟนานาชาติครองความยิ่งใหญ่ แทนนักกอล์ฟเจ้าถิ่น
ซึ่งพีจีเอทัวร์เองก็คงไม่อยากให้เกิดขึ้น
>>>>>>>>>>>
น่าสนใจว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นในขณะนี้ PGA Tour กำลังตั้งโจทย์ผิดหรือไม่ว่ามันเกิดจาก เงิน ความไม่เป็นธรรมหรือไม่ลงตัว
ในการจัดสรรเงิน จึงทำให้เกิด Liv Golf ขึ้นมา ซึ่งการที่องค์กรกอล์ฟที่มีความเฟื้องฟูมาอย่างยาวนานอย่าง PGA Tour กำลัง
ใช้เงินเป็นโซลูชั่นในการแก้ปัญหา เป็นการเดินไปในทิศทางที่ถูกต้องแล้วหรือ
เพราะขณะที่กล่าวหาคู่แข่งว่า ทุ่มเงินซื้อ กล่าวหานักกอล์ฟที่ย้ายทัวร์ว่า เห็นแก่เงิน แต่ PGA Tour กลับใช้เงินแก้ปัญหาเช่นกัน
การแข่งขันที่ใช้เงินเป็นตัวตั้ง ท้ายที่สุดจะนำไปสู่อะไร จะมีความยั่งยืนหรือไม่ PGA Tour จะกู้ความยิ่งใหญ่กลับมาได้หรือไม่
จนถึงชั่วโมงนี้ ยังไม่มีใครตอบได้
๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙