เราอยากมาขอคำแนะนำค่ะ ไม่รู้จะไปปรึกษาใครจริงๆ ยาวหน่อยนะคะ
หากใช้ลักษณนามผิด หรือพิมพ์ผิดประการใดก็ขออถังอภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วย
เรื่องมีอยู่ว่าปลายปี 2018 เราเริ่มมีอาการแปลกๆ ขอบอกก่อนว่าเราเริ่มรักษาโรคซึมเศร้าก่อนหน้านี้ได้ประมาณ 2 เดือน มันเริ่มต้นที่ช่วงเช้าวันหนึ่งเราร้องไห้จนแม่ไม่ได้ไปทำงานต้องอยู่เฝ้าเรา ตกเย็นแม่กับพ่อพาเราไปที่หนึ่ง เราถามว่าไปไหนก็ไม่มีใครบอก พอถึงที่หมายใช่แล้วบ้านร่างทรงคนหนึ่ง(ขอเรียกว่าร่างทรงแบบกลุ่ม 5 ท่าน เพราะมีหลายร่างทรงที่มาเกี่ยวข้อง) เขาบอกเราชะตาขาดต้องต่อชะตา จึงกำหนดวันต่อชะตาให้เราประมาณ 5 วันต่อมา ก่อนถึงวันนัดเราหนีออกจากบ้านมันเป็นตอนกลางคืน เรามีสติเรารู้ว่าเราทำอะไร แต่เราไม่อยากอยู่บ้าน(เราไม่ได้มีปัญหากับที่บ้าน) เราเดินลัดทุ่งนาออกไป ประมาณ 1 ชั่วโมงก็มีคนตามมาเจอ พ่อเราวิ่งมาคว้าตัวเรา เราจำได้เราพูดกับพ่อว่า ปล่อยเราไปเถอะ เราไม่อยากอยู่แล้ว ยื้ออยู่นานจนต้องขนคนมาลากเรากลับบ้าน กลับมาเจอร่างทรง (ร่างทรงแบบกลุ่ม 5 ท่าน) รอที่บ้าน สักพักก็มีอะไรไม่รู้มาเข้าร่างทรงอีกท่าน แล้วบอกว่า "ที่เราเป็นแบบนี้เพราะทำอะไรไม่เห็นหัวผีบ้านผีเรือนอย่างพวกเขา เขาอยู่มาตั้งนานแต่ครอบครัวเรามาอยู่นี่แต่กลับไม่เห็นหัวเขา เดินไปมาเหยียบหัวกัน เขาบอกเดิมเขาอยู่ที่ลาว เมืองอัตปือ เอ้าก็คนมันไม่รู้ป่ะวะ ตอนนั้นเราโมโหมาก จะมาเอาอะไรกับเรา
วันต่อชะตา ทำกับร่างทรง 5 ท่าน วันนี้มาทุกท่านระหว่างรอคนเตรียมของ เรานั่งเหม่อลอย อยากตาย เห็นแม่น้ำก็อยากเดินลงไป พอถึงเวลาไม่มีใครเอาเราอยู่ พูดโน้นนี่ไปเรื่อย หาว่าผีนั่นนี่มาเข้าเรา ผีมันมาอวดเก่ง ไม่ยอมไป ไม่ยอมออก จะเอาน้ำโสโครกให้เรากิน เราก็ต่อต้านดิคนสติดีๆ ที่ไหนจะยอมกินน้ำโสโครก แต่เขาหาว่าผีมันร้าย เห้อ แต่ตอนนั้นเรามีสตินะ รู้ว่าทำอะไร แต่ก็ทำไปตามความรู้สึก จนสุดท้ายต้องพาเราไปหาร่างทรงอีกท่านหนึ่ง(ร่างทรงเดี่ยว) เขาบอกว่ามี...ไม่รู้เขาเรียกว่าอะไร ขอเรียก 'ของ' ละกัน อยากมาอยู่กับเรา รับเขาเราก็จะดีขึ้น ถ้าไม่รับก็จะแย่อยู่แบบนี้ เราก็ตกลงว่าจะรับเพราะใครๆ ก็บอกว่าเป็นของดี แล้วก็นัดวันรับของ ร่างทรง(เดี่ยว)ทำพิธีลงท้ายด้วยการอาบน้ำมนต์ เราก็หายนะ เรายิ้มได้ สดใสขึ้น เราเลยเชื่อ ณ ตอนนั้น
วันรับของ เราก็รับปกติ ทำศาลให้ เขาเรียกเป็นการสู่ขอหมั้นหมายอะไรสักอย่าง เขาขอให้เรานั่งสมาธิให้วันละ 10 นาที แต่งขันธ์ 5 ไหว้ทุกวันขึ้น 15 ค้ำ และไหว้ทุกๆ วันพระ แต่เราไม่เคยทำจนถึงวันนี้ มีทำบ้างตอนที่แม่ทำไม่ไหว นอกนั้นก็แม่จัดการ ตอนแรกเราเชื่อจนคุยกับศาลเกือบทุกวัน เวลาผ่านมาเราก็ไม่ค่อยได้ให้ความสำคัญ เราเป็นคนขี้เกียจใช้ชีวิตแบบสโลว์ไลฝ์ จริงๆ ต้องจุดธูปบอกว่าจะไปไหนทำอะไรให้เขาตามคุ้มครอง แต่เราแค่พูดด้วยปากเฉยๆ ส่วนคนจุดธูปจะเป็นแม่บ่อยๆ ยิ่งโตเรายิ่งมีความคิดเป็นของตัวเอง ยึดหลักเหตุผล จากที่เคยเชื่อเราก็เกิดคำถามในหัวมากมาย แต่ก็เก็บไว้เพราะทำอะไรไม่ได้
หลังจากที่รับของเราห่างบ้านไม่ได้เลย ไปทำงานที่เชียงใหม่ไม่ถึงเดือนก็มีเหตุให้ต้องกลับ กลับมาบ้านทำงานแถวบ้านทำได้ไม่ถึง 3 เดือนก็ออก ไม่ใช่เราไม่มีความอดทนนะ แต่...มันพูดยาก เอาเป็นว่าเราไม่เคยโทษโชคชะตาแต่คิดว่าเป็นที่ตัวเราเอง ไม่เคยโทษใครเลย
จนมาวันที่ 13 มิ.ย ที่ผ่านมาเราไปทำงานโรงงานกับอาเป็นงานที่ยืนทั้งวัน ทำทั้งวัน พักได้แค่ตอนเข้าห้องน้ำ เราไม่เคยทำงานที่หนักขนาดนี้จนคนรอบข้างคิดว่าเราทำไม่ได้หรอก แต่เราอดทน ทนแบบที่คนแบบเราก็คิดไม่ถึงว่าจะทนได้ แปลกใจตัวเองเหมือนกัน เราคงโตขึ้นแหละมั้ง ไปทำงานก็ไม่ได้ไหว้เจ้าที่เพราะลืม ลืมเพราะส่วนตัวไม่ค่อยได้ไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์มันไม่ชินเลยคิดไม่ถึงจุดนี้ อยู่ไป 1 อาทิตย์ก็ปกติดีจนวันที่ 19 มิ.ย เราเดินเข้ามาที่ทำงานจะเอาของมาเก็บที่ล็อกเกอร์ ได้ยินคนที่ทำงานพูดแว่วๆ เรื่องเจ้าที่ว่าระวังอยู่ไม่ได้ถ้าไม่ไหว้เจ้าที่ เราก็ไม่ได้ใส่ใจเพราะรีบเข้างาน วันนั้นเรามีอาการเหมือนจะอยู่ไม่ได้ ไม่ใช่เหนื่อยแต่เป็นที่จิตใจ อยากกลับบ้านอย่างเดียว จะร้องไห้ จนทำให้เรานึกถึงคำพูดเมื่อเช้า วันต่อมาเราไหว้เจ้าที่ เรารู้สึกดีมากวันนั้นทำงานแบบมีความสุข วันต่อมาของเต็มมือ เลยหันไปแล้วก้มหัวให้เฉยๆ วันนี้แหละเป็นวันที่เราออกจากงาน ตอนเช้าเราปกติทุกอย่าง ไม่มีเรื่องเครียดด้วย ไม่มีปัญหาอะไรกวนใจด้วย หลังพักเที่ยงกลับเข้าทำงาน เรากลับอยู่ไม่เป็นสุข จิตใจว้าวุ่น เหมือนมีอะไรมากวนใจ อยากร้องไห้ แต่กลั้นไว้จนตาแดงเห็นได้ชัด อยากกลับบ้าน ทนไม่ได้เดินไปบอกอาว่าจะออกแล้วนะ แล้วไปเข้าห้องน้ำแต่เราตั้งใจจะทำวันนี้ให้เต็มวัน พอถึงห้องน้ำเท่านั้นแหละปล่อยโฮมาเลย อาตามมาบอกว่าไม่ไหวก็กลับเลย เราไม่กล้ากลับเข้าไปเอาของอาเขาน่ะ
จนกลับมาบ้านเรากรี๊ด เหมือนระบายอารมณ์ มันกลับกลายเป็นอารมณ์โกรธ เราทั้งร้องไห้กรี๊ดทั้งทุบหมวกกันน็อค ด่าทอโทษว่าเป็นเพราะ'ของ'ของเราทำให้เราเป็นแบบนี้ เราก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงรู้สึกแบบนั้น เราเหมือนคนบ้า (เราไม่เคยโทษใครเลยอย่างที่บอกไป เรากลับคิดว่ามันเป็นอาการของเราเอง แต่ครั้งนี้ไม่ใช่) หลายวันเข้าเราอยู่ไม่ไหว อยู่ไม่ได้ มันเหมือนมีอะไรกวนใจมากๆ จนทนไม่ไหวจะไหว รู้สึกโกรธ'ของ'ของตัวเถือสากจะไปทุบศาลแต่แฟนเราห้ามไว้ เล่าให้ใครฟังก็บอกว่าเป็นที่เราแต่เรารู้ว่านี่มันไม่ใช่เพราะเราเลย(ขนาดตอนรับของยังคิดว่าเป็นเพรราะโรคตัวเองอยู่เลย แต่ครั้งนี้มั่นใจมาก) เราตัดสินใจไปหาพระแต่พระไม่อยู่ แม่โทรตามบอกว่าร่างทรงจะเอาออกให้ (ร่างทรงเดี่ยวคนที่ทำพิธีรับของให้เรา)
ไปหาร่างทรง(เดี่ยว) เขาบอกมีบักดำใหญ่ตามมาจากเมืองเหนือ เราก็ถามมาตอนไหน เขาก็ย้อนถามเรา เราก็ไม่กล้าซักอะไรเยอะ แต่การไปครั้งนี้เราทะ
ๆ กับคำพูดและคำตอบของร่างทรง มันจึงทำให้เราที่ไม่ค่อยเชื่ออยู่แล้วยิ่งไม่เชื่อไปใหญ่ มีคำถามในหัวมากมาย เราก็ถามท่านว่าทำไมของของเราไม่รักษาปกป้องเรา ปล่อยให้เขามาทำแบบนี้กับเราได้ยังไง ร่างทรงก็ได้แต่บอกว่าเรารับแต่ปากไม่รับด้วยใจ เอ้าเราคิดในใจทำไมพูดกลับไปกลับมาแบบนี้ ตอนแรกเรารับด้วยใจ แต่เวลาเปลี่ยนคนก็เปลี่ยน ถ้ารับมาแล้วเป็นแบบนี้เราจะรับทำไม รับมาแล้วชีวิตมันไม่เจริญหรือดีขึ้นเราจะรับมาทำไม เราหงุดหงิดกับคำตอบที่ได้มาก ของของเราแท้ๆ จะให้คนอื่นมาทำให้เราเกลียดของตัวเองได้ไง (เขาบอกที่เราจะทุบศาลเพราะสิ่งที่ตามมาทำให้เราเกลียดของของเรา) ถ้าเป็นเพราะที่เราไม่ปฏิบัติไม่เลี้ยงดู ทำไมเขาไม่ทักไม่ท้วงเราเลย ปล่อยให้มาขนาดนี้ และไปแต่ละครั้งก็เรียกเงินเป็นพันตลอด
มีคนที่ทำงานที่โรงงานที่ดีๆ กับเราคุยกับอาเราแนะนำให้เราไปหาพระองค์หนึ่ง เขาเห็นเรามีอาการเหมือนลูกเขา วันนี้เราเลยตัดสินใจไปหาพระองค์นั้น แต่พระท่านบอกไม่สบาย ให้ไปหาอีกองค์ เราไปตามวัดที่ท่านบอกเราไปถูกวัดแต่ไม่ถูกพระ ไปเจอพระที่วัดนี้ท่านก็พูดเชิงเหตุผล เราเห็นด้วยกับท่านทุกอย่างเพราะเราก็คิดแบบท่าน กรรมใครกรรมมัน บุญใครบุญมัน มันไม่ใช่เรื่องที่จะมาอยู่ด้วยกัน เออเราก็คิดนะจองเวรกันไปชาติไหนจะจบ แล้วเขาไม่ไปเกิดกันหรอ ท่านบอกให้เราไปปฏิบัติธรรม ขอขมาพ่อแม่แบบที่หมอดูที่เคยดูบอก แต่เราไม่ได้ทำสักที คุยกับท่านเสร็จท่านก็บอกว่าพระที่ราอยากพบอยู่อีกวัด สุดท้ายเราก็ไปเจอพระที่เรามาพบ
คุยไปคุยมาท่านก็บอกลองให้เลี้ยงแบบที่เขาขอดูสักตั้งว่ามันจะดีขึ้นไหม แต่ใจเราไม่เอาแล้ว เราไม่สบายใจ คิดมากทุกวันกับเรื่องนี้ เราไม่อยากเกี่ยวข้องกับอะไรพวกนี้ ตอนรับก็จำใจรับ ไม่ได้เต็มใจ คิดย้อนกลับไปเรารับด้วยใจจริงรึเปล่า ท่านบอกเราชะตาขาด จิตอ่อนอะไรก็มาโดนง่าย เราเป็นคนโล่งมากๆ ท่านบอกไม่มีใครตามเรามาหรอก ร่างทรงอุปโหลกไปเอง
เราได้ถามพระทั้งสองท่านว่าถ้าเราไม่เอาแล้วเราจะเป็นอะไรไหม เขาจะทำอะไรเราไหม ท่านบอกเหมือนกันว่าไม่เป็นไร แต่เราแอบกลัว
*****เอาจริงๆ มาถึงตรงนี้เราก็นึกคำถามไม่ออก แต่เราอยากลาออกจากการเป็นร่างทรง
- เขาทำไมต้องมาอยู่กับเรา ทำให้เราเป็นโน่นนี่ถ้าไม่รับ เราคิดว่ามันเห็นแก่ตัวไปหน่อย จะมาสร้างเวรกรรมเพิ่มทำไม ถ้าเรารับมันก็เป็นการผูกกรรมกันไปมาไม่จบสิ้นสักทีสิ เราจะขอไม่ยุ่งเกี่ยวได้จริงๆ ไหม แล้วเราขอไปปฏิบัติธรรมแทน
- ผีทำอะไรคนได้จริงๆ หรอ ทำไมเก่งจังล่ะ
- จะให้เรารับด้วยใจ มีอะไรที่ทำให้เราสบายใจแล้วรับด้วยใจได้บ้างล่ะ อะไรๆ มันไม่ดีขึ้นจะให้เราเชื่อว่าจะมาคุ้มครองเราได้ไง บอกแต่ถ้าอยากให้คุ้มครองให้เรารับด้วยใจก่อน แต่มันทำใจยอมรับไม่ได้จริงๆ บังคับใจตัวเองไม่ได้เพราะมีคำถามความสงสัยมากมายในหัว ก่อนจะให้เรารับด้วยใจเขาทำอะไรที่เป็นหลักประกันให้เรามั่นใจบ้างล่ะ มันไม่มีไง แล้วจะให้รับด้วยใจ ตลก
พิมพ์มาถึงตรงนี้เราคิดว่าถ้าการที่เราไปลาออกแล้วจะทำให้เรามีอันเป็นไป ก็ให้มันเป็นไปเถอะ เราก็จะพยายามทำใจให้สงบและอโหสิกรรมให้แล้วกัน เราไม่อยากผูกเวรผูกกรรมกับใครไปมากกว่านี้แล้ว
ขอขอบคุณคนที่อ่านมาจนจบ และถ้ามีความคิดเห็นและคำแนะนำใดๆ ก็ขอขอบคุณล่วงหน้าเลยนะคะ
ไม่อยากสืบทอดร่างทรงผีฟ้าทำไงดี
หากใช้ลักษณนามผิด หรือพิมพ์ผิดประการใดก็ขออถังอภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วย
เรื่องมีอยู่ว่าปลายปี 2018 เราเริ่มมีอาการแปลกๆ ขอบอกก่อนว่าเราเริ่มรักษาโรคซึมเศร้าก่อนหน้านี้ได้ประมาณ 2 เดือน มันเริ่มต้นที่ช่วงเช้าวันหนึ่งเราร้องไห้จนแม่ไม่ได้ไปทำงานต้องอยู่เฝ้าเรา ตกเย็นแม่กับพ่อพาเราไปที่หนึ่ง เราถามว่าไปไหนก็ไม่มีใครบอก พอถึงที่หมายใช่แล้วบ้านร่างทรงคนหนึ่ง(ขอเรียกว่าร่างทรงแบบกลุ่ม 5 ท่าน เพราะมีหลายร่างทรงที่มาเกี่ยวข้อง) เขาบอกเราชะตาขาดต้องต่อชะตา จึงกำหนดวันต่อชะตาให้เราประมาณ 5 วันต่อมา ก่อนถึงวันนัดเราหนีออกจากบ้านมันเป็นตอนกลางคืน เรามีสติเรารู้ว่าเราทำอะไร แต่เราไม่อยากอยู่บ้าน(เราไม่ได้มีปัญหากับที่บ้าน) เราเดินลัดทุ่งนาออกไป ประมาณ 1 ชั่วโมงก็มีคนตามมาเจอ พ่อเราวิ่งมาคว้าตัวเรา เราจำได้เราพูดกับพ่อว่า ปล่อยเราไปเถอะ เราไม่อยากอยู่แล้ว ยื้ออยู่นานจนต้องขนคนมาลากเรากลับบ้าน กลับมาเจอร่างทรง (ร่างทรงแบบกลุ่ม 5 ท่าน) รอที่บ้าน สักพักก็มีอะไรไม่รู้มาเข้าร่างทรงอีกท่าน แล้วบอกว่า "ที่เราเป็นแบบนี้เพราะทำอะไรไม่เห็นหัวผีบ้านผีเรือนอย่างพวกเขา เขาอยู่มาตั้งนานแต่ครอบครัวเรามาอยู่นี่แต่กลับไม่เห็นหัวเขา เดินไปมาเหยียบหัวกัน เขาบอกเดิมเขาอยู่ที่ลาว เมืองอัตปือ เอ้าก็คนมันไม่รู้ป่ะวะ ตอนนั้นเราโมโหมาก จะมาเอาอะไรกับเรา
วันต่อชะตา ทำกับร่างทรง 5 ท่าน วันนี้มาทุกท่านระหว่างรอคนเตรียมของ เรานั่งเหม่อลอย อยากตาย เห็นแม่น้ำก็อยากเดินลงไป พอถึงเวลาไม่มีใครเอาเราอยู่ พูดโน้นนี่ไปเรื่อย หาว่าผีนั่นนี่มาเข้าเรา ผีมันมาอวดเก่ง ไม่ยอมไป ไม่ยอมออก จะเอาน้ำโสโครกให้เรากิน เราก็ต่อต้านดิคนสติดีๆ ที่ไหนจะยอมกินน้ำโสโครก แต่เขาหาว่าผีมันร้าย เห้อ แต่ตอนนั้นเรามีสตินะ รู้ว่าทำอะไร แต่ก็ทำไปตามความรู้สึก จนสุดท้ายต้องพาเราไปหาร่างทรงอีกท่านหนึ่ง(ร่างทรงเดี่ยว) เขาบอกว่ามี...ไม่รู้เขาเรียกว่าอะไร ขอเรียก 'ของ' ละกัน อยากมาอยู่กับเรา รับเขาเราก็จะดีขึ้น ถ้าไม่รับก็จะแย่อยู่แบบนี้ เราก็ตกลงว่าจะรับเพราะใครๆ ก็บอกว่าเป็นของดี แล้วก็นัดวันรับของ ร่างทรง(เดี่ยว)ทำพิธีลงท้ายด้วยการอาบน้ำมนต์ เราก็หายนะ เรายิ้มได้ สดใสขึ้น เราเลยเชื่อ ณ ตอนนั้น
วันรับของ เราก็รับปกติ ทำศาลให้ เขาเรียกเป็นการสู่ขอหมั้นหมายอะไรสักอย่าง เขาขอให้เรานั่งสมาธิให้วันละ 10 นาที แต่งขันธ์ 5 ไหว้ทุกวันขึ้น 15 ค้ำ และไหว้ทุกๆ วันพระ แต่เราไม่เคยทำจนถึงวันนี้ มีทำบ้างตอนที่แม่ทำไม่ไหว นอกนั้นก็แม่จัดการ ตอนแรกเราเชื่อจนคุยกับศาลเกือบทุกวัน เวลาผ่านมาเราก็ไม่ค่อยได้ให้ความสำคัญ เราเป็นคนขี้เกียจใช้ชีวิตแบบสโลว์ไลฝ์ จริงๆ ต้องจุดธูปบอกว่าจะไปไหนทำอะไรให้เขาตามคุ้มครอง แต่เราแค่พูดด้วยปากเฉยๆ ส่วนคนจุดธูปจะเป็นแม่บ่อยๆ ยิ่งโตเรายิ่งมีความคิดเป็นของตัวเอง ยึดหลักเหตุผล จากที่เคยเชื่อเราก็เกิดคำถามในหัวมากมาย แต่ก็เก็บไว้เพราะทำอะไรไม่ได้
หลังจากที่รับของเราห่างบ้านไม่ได้เลย ไปทำงานที่เชียงใหม่ไม่ถึงเดือนก็มีเหตุให้ต้องกลับ กลับมาบ้านทำงานแถวบ้านทำได้ไม่ถึง 3 เดือนก็ออก ไม่ใช่เราไม่มีความอดทนนะ แต่...มันพูดยาก เอาเป็นว่าเราไม่เคยโทษโชคชะตาแต่คิดว่าเป็นที่ตัวเราเอง ไม่เคยโทษใครเลย
จนมาวันที่ 13 มิ.ย ที่ผ่านมาเราไปทำงานโรงงานกับอาเป็นงานที่ยืนทั้งวัน ทำทั้งวัน พักได้แค่ตอนเข้าห้องน้ำ เราไม่เคยทำงานที่หนักขนาดนี้จนคนรอบข้างคิดว่าเราทำไม่ได้หรอก แต่เราอดทน ทนแบบที่คนแบบเราก็คิดไม่ถึงว่าจะทนได้ แปลกใจตัวเองเหมือนกัน เราคงโตขึ้นแหละมั้ง ไปทำงานก็ไม่ได้ไหว้เจ้าที่เพราะลืม ลืมเพราะส่วนตัวไม่ค่อยได้ไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์มันไม่ชินเลยคิดไม่ถึงจุดนี้ อยู่ไป 1 อาทิตย์ก็ปกติดีจนวันที่ 19 มิ.ย เราเดินเข้ามาที่ทำงานจะเอาของมาเก็บที่ล็อกเกอร์ ได้ยินคนที่ทำงานพูดแว่วๆ เรื่องเจ้าที่ว่าระวังอยู่ไม่ได้ถ้าไม่ไหว้เจ้าที่ เราก็ไม่ได้ใส่ใจเพราะรีบเข้างาน วันนั้นเรามีอาการเหมือนจะอยู่ไม่ได้ ไม่ใช่เหนื่อยแต่เป็นที่จิตใจ อยากกลับบ้านอย่างเดียว จะร้องไห้ จนทำให้เรานึกถึงคำพูดเมื่อเช้า วันต่อมาเราไหว้เจ้าที่ เรารู้สึกดีมากวันนั้นทำงานแบบมีความสุข วันต่อมาของเต็มมือ เลยหันไปแล้วก้มหัวให้เฉยๆ วันนี้แหละเป็นวันที่เราออกจากงาน ตอนเช้าเราปกติทุกอย่าง ไม่มีเรื่องเครียดด้วย ไม่มีปัญหาอะไรกวนใจด้วย หลังพักเที่ยงกลับเข้าทำงาน เรากลับอยู่ไม่เป็นสุข จิตใจว้าวุ่น เหมือนมีอะไรมากวนใจ อยากร้องไห้ แต่กลั้นไว้จนตาแดงเห็นได้ชัด อยากกลับบ้าน ทนไม่ได้เดินไปบอกอาว่าจะออกแล้วนะ แล้วไปเข้าห้องน้ำแต่เราตั้งใจจะทำวันนี้ให้เต็มวัน พอถึงห้องน้ำเท่านั้นแหละปล่อยโฮมาเลย อาตามมาบอกว่าไม่ไหวก็กลับเลย เราไม่กล้ากลับเข้าไปเอาของอาเขาน่ะ
จนกลับมาบ้านเรากรี๊ด เหมือนระบายอารมณ์ มันกลับกลายเป็นอารมณ์โกรธ เราทั้งร้องไห้กรี๊ดทั้งทุบหมวกกันน็อค ด่าทอโทษว่าเป็นเพราะ'ของ'ของเราทำให้เราเป็นแบบนี้ เราก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงรู้สึกแบบนั้น เราเหมือนคนบ้า (เราไม่เคยโทษใครเลยอย่างที่บอกไป เรากลับคิดว่ามันเป็นอาการของเราเอง แต่ครั้งนี้ไม่ใช่) หลายวันเข้าเราอยู่ไม่ไหว อยู่ไม่ได้ มันเหมือนมีอะไรกวนใจมากๆ จนทนไม่ไหวจะไหว รู้สึกโกรธ'ของ'ของตัวเถือสากจะไปทุบศาลแต่แฟนเราห้ามไว้ เล่าให้ใครฟังก็บอกว่าเป็นที่เราแต่เรารู้ว่านี่มันไม่ใช่เพราะเราเลย(ขนาดตอนรับของยังคิดว่าเป็นเพรราะโรคตัวเองอยู่เลย แต่ครั้งนี้มั่นใจมาก) เราตัดสินใจไปหาพระแต่พระไม่อยู่ แม่โทรตามบอกว่าร่างทรงจะเอาออกให้ (ร่างทรงเดี่ยวคนที่ทำพิธีรับของให้เรา)
ไปหาร่างทรง(เดี่ยว) เขาบอกมีบักดำใหญ่ตามมาจากเมืองเหนือ เราก็ถามมาตอนไหน เขาก็ย้อนถามเรา เราก็ไม่กล้าซักอะไรเยอะ แต่การไปครั้งนี้เราทะๆ กับคำพูดและคำตอบของร่างทรง มันจึงทำให้เราที่ไม่ค่อยเชื่ออยู่แล้วยิ่งไม่เชื่อไปใหญ่ มีคำถามในหัวมากมาย เราก็ถามท่านว่าทำไมของของเราไม่รักษาปกป้องเรา ปล่อยให้เขามาทำแบบนี้กับเราได้ยังไง ร่างทรงก็ได้แต่บอกว่าเรารับแต่ปากไม่รับด้วยใจ เอ้าเราคิดในใจทำไมพูดกลับไปกลับมาแบบนี้ ตอนแรกเรารับด้วยใจ แต่เวลาเปลี่ยนคนก็เปลี่ยน ถ้ารับมาแล้วเป็นแบบนี้เราจะรับทำไม รับมาแล้วชีวิตมันไม่เจริญหรือดีขึ้นเราจะรับมาทำไม เราหงุดหงิดกับคำตอบที่ได้มาก ของของเราแท้ๆ จะให้คนอื่นมาทำให้เราเกลียดของตัวเองได้ไง (เขาบอกที่เราจะทุบศาลเพราะสิ่งที่ตามมาทำให้เราเกลียดของของเรา) ถ้าเป็นเพราะที่เราไม่ปฏิบัติไม่เลี้ยงดู ทำไมเขาไม่ทักไม่ท้วงเราเลย ปล่อยให้มาขนาดนี้ และไปแต่ละครั้งก็เรียกเงินเป็นพันตลอด
มีคนที่ทำงานที่โรงงานที่ดีๆ กับเราคุยกับอาเราแนะนำให้เราไปหาพระองค์หนึ่ง เขาเห็นเรามีอาการเหมือนลูกเขา วันนี้เราเลยตัดสินใจไปหาพระองค์นั้น แต่พระท่านบอกไม่สบาย ให้ไปหาอีกองค์ เราไปตามวัดที่ท่านบอกเราไปถูกวัดแต่ไม่ถูกพระ ไปเจอพระที่วัดนี้ท่านก็พูดเชิงเหตุผล เราเห็นด้วยกับท่านทุกอย่างเพราะเราก็คิดแบบท่าน กรรมใครกรรมมัน บุญใครบุญมัน มันไม่ใช่เรื่องที่จะมาอยู่ด้วยกัน เออเราก็คิดนะจองเวรกันไปชาติไหนจะจบ แล้วเขาไม่ไปเกิดกันหรอ ท่านบอกให้เราไปปฏิบัติธรรม ขอขมาพ่อแม่แบบที่หมอดูที่เคยดูบอก แต่เราไม่ได้ทำสักที คุยกับท่านเสร็จท่านก็บอกว่าพระที่ราอยากพบอยู่อีกวัด สุดท้ายเราก็ไปเจอพระที่เรามาพบ
คุยไปคุยมาท่านก็บอกลองให้เลี้ยงแบบที่เขาขอดูสักตั้งว่ามันจะดีขึ้นไหม แต่ใจเราไม่เอาแล้ว เราไม่สบายใจ คิดมากทุกวันกับเรื่องนี้ เราไม่อยากเกี่ยวข้องกับอะไรพวกนี้ ตอนรับก็จำใจรับ ไม่ได้เต็มใจ คิดย้อนกลับไปเรารับด้วยใจจริงรึเปล่า ท่านบอกเราชะตาขาด จิตอ่อนอะไรก็มาโดนง่าย เราเป็นคนโล่งมากๆ ท่านบอกไม่มีใครตามเรามาหรอก ร่างทรงอุปโหลกไปเอง
เราได้ถามพระทั้งสองท่านว่าถ้าเราไม่เอาแล้วเราจะเป็นอะไรไหม เขาจะทำอะไรเราไหม ท่านบอกเหมือนกันว่าไม่เป็นไร แต่เราแอบกลัว
*****เอาจริงๆ มาถึงตรงนี้เราก็นึกคำถามไม่ออก แต่เราอยากลาออกจากการเป็นร่างทรง
- เขาทำไมต้องมาอยู่กับเรา ทำให้เราเป็นโน่นนี่ถ้าไม่รับ เราคิดว่ามันเห็นแก่ตัวไปหน่อย จะมาสร้างเวรกรรมเพิ่มทำไม ถ้าเรารับมันก็เป็นการผูกกรรมกันไปมาไม่จบสิ้นสักทีสิ เราจะขอไม่ยุ่งเกี่ยวได้จริงๆ ไหม แล้วเราขอไปปฏิบัติธรรมแทน
- ผีทำอะไรคนได้จริงๆ หรอ ทำไมเก่งจังล่ะ
- จะให้เรารับด้วยใจ มีอะไรที่ทำให้เราสบายใจแล้วรับด้วยใจได้บ้างล่ะ อะไรๆ มันไม่ดีขึ้นจะให้เราเชื่อว่าจะมาคุ้มครองเราได้ไง บอกแต่ถ้าอยากให้คุ้มครองให้เรารับด้วยใจก่อน แต่มันทำใจยอมรับไม่ได้จริงๆ บังคับใจตัวเองไม่ได้เพราะมีคำถามความสงสัยมากมายในหัว ก่อนจะให้เรารับด้วยใจเขาทำอะไรที่เป็นหลักประกันให้เรามั่นใจบ้างล่ะ มันไม่มีไง แล้วจะให้รับด้วยใจ ตลก
พิมพ์มาถึงตรงนี้เราคิดว่าถ้าการที่เราไปลาออกแล้วจะทำให้เรามีอันเป็นไป ก็ให้มันเป็นไปเถอะ เราก็จะพยายามทำใจให้สงบและอโหสิกรรมให้แล้วกัน เราไม่อยากผูกเวรผูกกรรมกับใครไปมากกว่านี้แล้ว
ขอขอบคุณคนที่อ่านมาจนจบ และถ้ามีความคิดเห็นและคำแนะนำใดๆ ก็ขอขอบคุณล่วงหน้าเลยนะคะ