เราเกิดในครอบครัวข้าราชการค่ะ พ่อแม่เป็นครูทั้งคู่ ทั้งพ่อแม่พูดเก่งเพื่อนเยอะค่ะ แต่เราดันเป็นคนพูดน้อยแถมเพื่อนแทบไม่มี เราก็มักจะโดนครอบครัวกดดันเพราะแบบนี้บ่อยๆเลยค่ะ ตอนเด็กๆเราโทษตัวเองมาตลอดว่าเรามันไม่ปกติ คนอื่นเขามีความมั่นใจกล้าพูดกล้าคุยแต่เรามีขี้ขลาดอ่อนแอ แค่จะปริปากพูดยังทำไม่ได้
จนตอนนี้เราลองมาคิดหาเหตุผลอื่นดูค่ะว่าอะไรหล่อหลอมให้เราเป็นแบบนี้
เรื่องน่าจะเกิดหลังจากที่พ่อแม่หย่ากันตอนเรา4ขวบค่ะ ตามที่ยายเล่าคือ ตอนนั้นแม่เราตกอยู่ในสภาวะซึมเศร้าเพราะพ่อไปมีเมียน้อยเลยต้องเลิกกัน ตอนนั้นเรา4ขวบเป็นวัยที่พูดเยอะมาก และใช่ค่ะ แม่เราตีเราให้เงียบเพราะรำคาญเสียงเด็กพูด จริงๆเรามีน้องที่อายุห่างกัน2ปีนะรายนั้นก็พูดมากแต่เราโดนตีอยู่คนเดียวเพราะโตกว่า ตั้งแต่ตอนนั้นยายก็บอกว่าเราพูดน้อยลงเรื่อยๆ
พอสัก5-6ขวบ ออกไปเล่นกับเพื่อน แม่ก็จะกำหนดให้เราเล่นกับเพื่อนในหมู่บ้านคนหนึ่ง ต้องไปเล่นกับเขาคนเดียวเท่านั้นเพราะเป็นญาติห่างๆกัน นี่อาจจะเป็นจุดเริ่มต้นที่เราคบเพื่อนไม่เป็นก็ได้ เพราะเราไม่เคยเริ่มต้นความสัมพันธ์ด้วยตัวเอง มีแต่แม่ที่กำหนดให้ว่าเราต้องเป็นเพื่อนกับใคร แล้วเพื่อนคนนี้ที่แม่ให้เล่นด้วยถือว่ารู้จักกันตั้งแต่เกิดได้เลยมั้งเพราะเกิดปีเดียวกัน บ้านก็อยู่ข้างกัน
พอขึ้นประถมเพื่อนคนนั้นเขาย้ายไปเรียนที่กทม.ค่ะ เราไม่เหลือใครและคบกับใครไม่เป็น ตลอด6ปี ป.1-6 เลยไม่เคยมีเพื่อนเลยสักคน แถมเข้ากับเพื่อนไม่ได้ แม่ก็มักจะด่าเราเพราะเรื่องนี้เสมอ พอครูโทรมารายงานเรื่องของเรา เราก็จะยิ่งโดนต่อว่าหนักค่ะ โดนแม่ด่าว่า “อีบ้า” “อีประสาท” “อีเอ๋อ” บ่อยมากๆ หรือถ้าไม่ด่าก็จะโดนตี และบังคับให้สัญญาว่าต่อไปนี้จะยิ้มและพูดคุยกับคนอื่นให้มากขึ้น หลอนมากค่ะ โดนทารุณทั้งกายและจิตใจแบบนั้นใครมันจะไปทำเป็นยิ้มใส่คนอื่นได้ไงล่ะ ในหัวมีแต่เรื่องจะโดนแม่ว่าจนหลายครั้งทำให้เรากลัวว่าจะทำไรพลาดแล้วเก็บตัวหนักกว่าเดิมอีก
แม่เราพูดบ่อยๆว่าตัวเองเลี้ยงลูกดีขนาดนี้ อยากได้ไรหาให้หมด อบรมอย่างดี ทำไมถึงกลายเป็นเป็นงี้ได้
สุดท้ายบทสรุปของการเลี้ยงดูแบบนี้คือเรากลายเป็นไมเกรนระดับสามตอนม.ต้น ก่อนจะตรวจพบมีอาการปวดหัวและมองสีเพี้ยน ตอนนั้นโดนแม่ว่าบ่อยมากว่า สงสัยตาใกล้จะบอด เป็นอย่างงี้เพราะเอาแต่เล่นโทรศัพท์ไง พอไปหาหมอที่โรงบาล เราไปหาจักษุแพทย์ก่อนค่ะ เขาบอกตาเราไม่ได้เป็นไรเลยโอนเราไปอายุรกรรมแทน พอตรวจหมอก็บอกว่าเป็นไมเกรนค่ะ หมอถามเรานะว่าเราเครียดเรื่องไร แต่แม่นั่งอยู่ข้างๆไงเราเลยตอบว่าเราเครียดเรื่องเรียนไป เรามองสายตาหมอเรารู้ว่าหมอมองออกแหละว่าเราเครียดเพราะคนข้างๆ😂
เรื่องจบแค่นี้แหละค่ะ ถ้าพิมพ์วกวนก็ขออภัยด้วยนะคะ เราเพิ่งเคยตั้งกะทู้เล่าเรื่องแบบนี้ครั้งแรก
สาเหตุที่เราเป็นคนไม่ค่อยพูด
จนตอนนี้เราลองมาคิดหาเหตุผลอื่นดูค่ะว่าอะไรหล่อหลอมให้เราเป็นแบบนี้
เรื่องน่าจะเกิดหลังจากที่พ่อแม่หย่ากันตอนเรา4ขวบค่ะ ตามที่ยายเล่าคือ ตอนนั้นแม่เราตกอยู่ในสภาวะซึมเศร้าเพราะพ่อไปมีเมียน้อยเลยต้องเลิกกัน ตอนนั้นเรา4ขวบเป็นวัยที่พูดเยอะมาก และใช่ค่ะ แม่เราตีเราให้เงียบเพราะรำคาญเสียงเด็กพูด จริงๆเรามีน้องที่อายุห่างกัน2ปีนะรายนั้นก็พูดมากแต่เราโดนตีอยู่คนเดียวเพราะโตกว่า ตั้งแต่ตอนนั้นยายก็บอกว่าเราพูดน้อยลงเรื่อยๆ
พอสัก5-6ขวบ ออกไปเล่นกับเพื่อน แม่ก็จะกำหนดให้เราเล่นกับเพื่อนในหมู่บ้านคนหนึ่ง ต้องไปเล่นกับเขาคนเดียวเท่านั้นเพราะเป็นญาติห่างๆกัน นี่อาจจะเป็นจุดเริ่มต้นที่เราคบเพื่อนไม่เป็นก็ได้ เพราะเราไม่เคยเริ่มต้นความสัมพันธ์ด้วยตัวเอง มีแต่แม่ที่กำหนดให้ว่าเราต้องเป็นเพื่อนกับใคร แล้วเพื่อนคนนี้ที่แม่ให้เล่นด้วยถือว่ารู้จักกันตั้งแต่เกิดได้เลยมั้งเพราะเกิดปีเดียวกัน บ้านก็อยู่ข้างกัน
พอขึ้นประถมเพื่อนคนนั้นเขาย้ายไปเรียนที่กทม.ค่ะ เราไม่เหลือใครและคบกับใครไม่เป็น ตลอด6ปี ป.1-6 เลยไม่เคยมีเพื่อนเลยสักคน แถมเข้ากับเพื่อนไม่ได้ แม่ก็มักจะด่าเราเพราะเรื่องนี้เสมอ พอครูโทรมารายงานเรื่องของเรา เราก็จะยิ่งโดนต่อว่าหนักค่ะ โดนแม่ด่าว่า “อีบ้า” “อีประสาท” “อีเอ๋อ” บ่อยมากๆ หรือถ้าไม่ด่าก็จะโดนตี และบังคับให้สัญญาว่าต่อไปนี้จะยิ้มและพูดคุยกับคนอื่นให้มากขึ้น หลอนมากค่ะ โดนทารุณทั้งกายและจิตใจแบบนั้นใครมันจะไปทำเป็นยิ้มใส่คนอื่นได้ไงล่ะ ในหัวมีแต่เรื่องจะโดนแม่ว่าจนหลายครั้งทำให้เรากลัวว่าจะทำไรพลาดแล้วเก็บตัวหนักกว่าเดิมอีก
แม่เราพูดบ่อยๆว่าตัวเองเลี้ยงลูกดีขนาดนี้ อยากได้ไรหาให้หมด อบรมอย่างดี ทำไมถึงกลายเป็นเป็นงี้ได้
สุดท้ายบทสรุปของการเลี้ยงดูแบบนี้คือเรากลายเป็นไมเกรนระดับสามตอนม.ต้น ก่อนจะตรวจพบมีอาการปวดหัวและมองสีเพี้ยน ตอนนั้นโดนแม่ว่าบ่อยมากว่า สงสัยตาใกล้จะบอด เป็นอย่างงี้เพราะเอาแต่เล่นโทรศัพท์ไง พอไปหาหมอที่โรงบาล เราไปหาจักษุแพทย์ก่อนค่ะ เขาบอกตาเราไม่ได้เป็นไรเลยโอนเราไปอายุรกรรมแทน พอตรวจหมอก็บอกว่าเป็นไมเกรนค่ะ หมอถามเรานะว่าเราเครียดเรื่องไร แต่แม่นั่งอยู่ข้างๆไงเราเลยตอบว่าเราเครียดเรื่องเรียนไป เรามองสายตาหมอเรารู้ว่าหมอมองออกแหละว่าเราเครียดเพราะคนข้างๆ😂
เรื่องจบแค่นี้แหละค่ะ ถ้าพิมพ์วกวนก็ขออภัยด้วยนะคะ เราเพิ่งเคยตั้งกะทู้เล่าเรื่องแบบนี้ครั้งแรก