บันทึกครั้งแรกของฉัน

ตั้งแต่ตอนฉันเด็กๆ ฉันเคยเห็นคนอื่นๆเขาเขียนบันทึกประจำวันกัน ฉันเห็นแล้วมันทำให้ฉันรู้สึกว่าฉันอยากทำมันบ้าง ฉันอยากเขียนบันทึกประจำวันบ้าง แต่จนแล้วจนรอด จนมาถึงปัจจุบันฉันก็ไม่เคยเขียนบันทึกจริงๆจังๆสักที และฉันจะเริ่มต้นเขียนบันทึกของฉันครั้งนี้เป็นครั้งแรก และไม่รู้ว่าจะมีครั้งต่อไปอีกเมื่อไหร่
          ฉันอยากจะเริ่มต้นตั้งแต่ตอนที่ฉันแต่งงานเลยละกัน ฉันแต่งงานกับอดีตสามีเพราะว่าฉันท้อง ตอนนั้นฉันไม่อยากแต่งงานเลย และฉันก็ไม่ต้องการเอาเด็กออกด้วย เพื่อเก็บลูกไว้ฉันจึงจำเป็นต้องแต่งงาน หลังจากที่ฉันและอดีตสามี(ซึ่งจากนี้ไปจะขอเรียกว่าสามี)แต่งงานกัน ในปี 2555 ฉันก็คลอดลูกชายออกมา พ่อกับแม่สามีรักหลานคนนี้มากเพราะเป็นหลานชายคนแรกของบ้าน เพราะลูกของพี่ชายอีกคนเป็นหลานสาว ในตอนนั้นฉันมีความคิดว่า ในเมื่อฉันแต่งงานแล้ว มีสามีแล้ว ฉันจะให้สามีเป็นคนสุดท้ายของชีวิต ต่อไปนี้ฉันจะมีเขาแค่คนเดียว สามีของฉันเขาติดเพื่อนมาก เขามีคนรู้จักมากมายเพราะเขาอัธยาสัยดี ทุกๆเย็นหลังจากเลิกงาน เขาจะกลับบ้านมาเปลี่ยนเสื้อผ้าและออกไปเตะบอล จากนั้นก็จะไปสังสรรค์กับเพื่อนๆจนดึกถึงจะกลับบ้าน ซึ่งฉันก็ไม่เคยว่าถ้าเขาจะมีสังคม แต่เชื่อไหม หลังจากที่ฉันแต่งงานและมีลูก ฉันไม่เคยไปมีสังคมที่ไหนเลย สังคมของฉันมีแค่สามีและลูก ฉันไม่เคยไปไหนโดยที่ไม่มีลูก หลังจากเลิกจากงานประจำ ฉันจะกลับบ้านมาเตรียมอาหารให้ลูกและเตรียมอาหารไว้รอสามีเสมอ เราสองคนมีแผนจะสร้างบ้านและจะซื้อรถเพื่อรองรับลูกอีกคนที่เราวางแผนไว้ว่าจะมีหลังจากที่ลูกชายคนโตสามารถช่วยดูแลน้องได้  พอลูกชายได้4ขวบ ฉันก็ตั้งท้องอีกครั้ง ฉันไม่ได้สนใจว่าลูกจะเพศอะไร พอคลอดมาฉันก็รักหมดทุกคนอยู่ดี  ฉันคิดว่าถ้าฉันคลอดลูกคนนี้ ฉันจะทำหมัน ใจจริงฉันอยากมีลูกสักสามคน แต่สามีอยากมีแค่คนเดียว ฉันบอกกับเขาว่า ฉันไม่อยากให้ลูกโดดเดี่ยว อย่างน้อยเวลาที่มีปัญหา ลูกก็จะมีคนช่วยคิด มีคนคอยให้คำปรึกษา และในระหว่างที่ฉันท้องลูกคนที่ 2 แน่นอนฉันไม่สามารถมีเพศสัมพันธ์กับสามีได้ แค่แพ้ท้องก็จะแย่แล้ว ไหนฉันจะต้องดูแลลูกและพาลูกเข้านอนอีก ในแต่ละวันฉันเหนื่อยมาก จนคืนวันหนึ่ง ฉันได้ยินเสียงรถสามีเข้ามาบ้าน แต่เขาจอดรถอยู่หน้าบ้าน ไม่เอารถเข้าบ้านสักที ฉันนอนฟังอยู่พักนึงว่าเมื่อไหร่สามีจะเปิดประตูเข้าบ้าน แต่ก็คอยนานเป็นสิบนาที ด้วยความสงสัย ฉันจึงลงไปดู ฉันได้ยินเสียงเหมือนสามีทะเลาะกับใครในโทรศัพท์ ฉันจึงเดินไปที่รถแล้วถามสามีตรงๆว่าใครโทรมา  สามีบอกว่าเพื่อนชวนไปกินเหล้าต่อ พอเขาพูดแบบนั้น มันทำให้ฉันรู้สึกถึงความไม่ปกติบางอย่าง ฉันจึงเอ่ยปากบอกสามีว่า ขอดูโทรศัพท์หน่อย ปกติฉันจะไม่เช็คโทรศัพท์สามี เพราะฉันเชื่อใจ แต่ปรากฏว่าสามียึกยักไม่ยอมให้ดู เมื่อฉันคาดคั้นมากขึ้น เขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรหาเพื่อนรุ่นพี่ของเขาแล้วพูดว่า เกมส์แล้วอะพี่ พอฉันได้ยินแบบนั้น ฉันร้องไห้แล้วถามเขาว่า เขาทำแบบนี้กับฉันได้ยังไง เขาบอก ไม่มีอะไรแค่คุยกันกับเด็กเชียร์เบียร์เฉยๆ ยังไม่ได้เกินเลยไปมากกว่านั้น สามีฉันร้องไห้และขอโอกาส ด้วยความรักและเห็นแก่ลูกฉันให้โอกาสเขา หลังจากที่ฉันคลอดลูกคนที่2 ปรากฏว่าลูกคนที่2ของฉันเป็นผู้หญิง ฉันดีใจมาก ฉันมักจะบอกลูกชายเสมอว่าแม่ไม่ได้รักน้องมากกว่าหนูนะ แต่ตอนนี้น้องต้องการการดูแลเป็นอย่างมาก เพราะน้องยังเล็กมาก แต่ก็ตามประสาเด็ก เห็นน้องอ้อน พี่ก็อยากอ้อนบ้าง ในเมื่อฉันมีลูก2คน ความเหนื่อยก็ต้องเพิ่มขึ้นตามลำดับ และสามีฉันในตอนนั้นก็กำลังศึกษาต่อปริญญาโท  ในปีที่ลูกสาวฉันครบ 2ขวบ ในเช้าวันหนึ่งฉันกำลังหยอกล้อกับสามี ด้วยเหตุอะไรไม่ทราบ ในขณะที่เขากำลังกอดฉัน มือเขากลับสะดุดกับก้อนอะไรบางอย่างที่อยู่ใต้ไหปลาร้าของฉัน มันมีขนาดประมาณสัก2เซน ซึ่งตามทฤษฎีแล้วฉันไม่คิดว่ามันจะเป็นเนื้อร้ายเพราะฉันอายุยังน้อย แต่ฉันก็มีความกังวลใจอยู่ดี จึงตัดสินใจไปหาหมอ เพื่อเจาะชิ้นเนื้อไปตรวจ ใช่ค่ะผลออกมาว่าฉันเป็นมะเร็งระยะที่1  ฉันรู้เมื่อตอนตี5 ของเช้าวันหนึ่งในขณะที่กำลังทำข้าวกล่องให้ลูกชายไปกินที่โรงเรียน เพราะพี่พยาบาลที่สนิทกันเป็นคนอ่านผลและโทรมาบอก ความรู้สึกตอนนั้นฉันพูดไม่ออกบอกไม่ถูก มันชาไปหมด หัวมันโล่งไปหมด แต่ก็พยายามทำข้าวลูกให้เสร็จ ฉันรู้ผลตรวจ1อาทิตย์ ก่อนที่หมอจะนัดฉันไปฟังผล ฉันไม่กล้าบอกใครเลย ฉันไม่กล้าบอกแม้กระทั่งแม่ของฉัน แถมอาทิตย์นั้นสามีฉันต้องไปรับปริญญาอีก ฉันเลยตัดสินใจบอกน้องสาวของฉัน ว่าฉันเป็นมะเร็งและห้ามไม่ให้น้องสาวบอกแม่ เพราะฉันบอกน้องว่าจะบอกแม่เอง เมื่อน้องรู้ว่าฉันพบก้อนมะเร็งน้องก็ลงมาอยู่กับฉันเพื่อดูแลฉัน ในวันที่ไปฟังผล น้องสาวฉันก็ไปด้วย และหมอก็นัดผ่าก้อนมะเร็งออก ในตอนนั้นฉันบอกแม่ไปว่าแค่ไปผ่าก้อนเนื้อเพื่อให้หมอตรวจว่ามันเป็นก้อนอะไรเฉยๆ นี่คือครั้งที่1 ใช้เวลาคืนเดียว เช้าก็กลับบ้าน หลังจากที่ยืนยันแน่ชัด ฉันต้องผ่าตัดอีกครั้งเพื่อคว้านเนื้อรอบๆก้อนมะเร็งออกไปอีกพร้อมทั้งฉีดสีและตัดต่อมน้ำเหลืองเพื่อตรวจดูว่าโรคกระจายหรือไม่ ถึงตอนนี้ฉันตัดสินใจบอกแม่ ว่าฉันเป็นมะเร็ง เป็นไปตามคาด แม่ร้องไห้เสียใจและเป็นห่วงฉันมาก แต่ทุกคนรอบตัวฉัน คนที่ฉันรักและรักฉัน พวกเขาไม่เคยร้องไห้ให้ฉันเห็นเลยสักครั้ง รวมทั้งฉันก็ไม่ร้องไห้ให้พวกเขาเห็นเช่นกัน หลังจากที่ผ่าตัดครั้งที่2 ฉันนอนโรงพยาบาลอยู่หลายวันเพราะต้องระบายเลือดออกให้หมด จากนั้นถึงจะทำการให้เคมีบำบัด  ในการให้เคมีบำบัด4ครั้งแรกจะเป็นตัวยาสีแดง มันทำให้ฉันมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน ตลอดเวลา และชั้นต้องกินโปรตีนเป็นจำนวนมากเพื่อเพิ่มเม็ดเลือดขาว ฉันกินไข่ทุกมื้อ กินแต่ไข่ ไข่ และก็ไข่ เชื่อเถอะว่า ต่อให้พวกคุณชอบกินไข่ขนาดไหน ถ้าต้องมากินแบบฉันทุกๆวัน คุณจะต้องเห็นไข่แล้วคลื่นไส้แน่ๆ ต่อให้จะเอามาปรุงหลากหลายวิธีก็ตามเถอะ เชื่อไหมคะ เข็มแรกเท่านั้นภายใน2สัปดาห์ ผมของฉันร่วงเยอะมาก ฉันตัดสินใจโกนหัว โดยให้สามีช่วยโกนให้ ความรู้สึกตอนนั้นมันเศร้ามาก ฉันพยายามบังคับตัวเองไม่ให้ร้องไห้พร้อมกับกลืนก้อนสะอื้นเข้าไป  และคิดในใจว่าในเมื่อมันเป็นไปแล้ว ฉันก็ต้องทำไปตามกระบวนการ ฉันต้องเข็มแข็ง ต้องบอกว่าในตอนที่ฉันป่วย ฉันไม่เคยใส่วิกผมเลย ใส่แต่หมวก และก็จะมีชาวบ้านมาถามคนข้างเคียงฉันว่าฉันเป็นอะไร ทำไมต้องโกนหัว  ทุกคนก็จะได้คำตอบเหมือนเดิมทุกครั้งว่าฉันเป็นมะเร็ง แต่เชื่อไหมไม่มีใครเชื่อว่าฉันป่วย เพราะตอนนั้นฉันมีจิตใจทึ่เข้มแข็งมาก ฉันรู้ว่ามีคนคอยอยู่ข้างฉันตลอด นั่นคือสามีและน้องของฉัน มันคือกำลังใจที่ทำให้ฉันร่าเริงอยู่ได้ตลอดระยะเวลาที่ป่วย  เมื่อนัดให้เคมีบำบัดครั้งที่2 หมอบอกกับฉันว่า ถ้าจะให้ได้ผลดี ต้องทำคู่กับฉายแสง คือหมอจะให้น้ำแดงให้ครบ4เข็ม แล้วไปฉายแสง แล้วค่อยมารับอีก4เข็มสุดท้าย เมื่อใกล้จะครบ4เข็มแรก ฉันจึงไปติดต่อ รพ.อีกแห่งหนึ่งเพื่อจะเข้ารับการฉายแสง ปรากฏว่าหมอที่ทำหน้าที่เกี่ยวกับฉายแสงบอกกับฉันว่า ไอเจ้ามะเร็งที่ฉันโดนตัดออกไปมันยังมีขอบอยู่ ถ้าตัดไม่หมดแบบนี้อะ ฉายแสงไปก็ไม่ช่วยอะไร เดี๋ยวมันก็เกิดขึ้นอีก อาจจะต้องตัดเต้านมทิ้ง ซึ่งตอนนั้นฉันไม่ได้เตรียมใจเรื่องนี้มาเลย ฉันกลับบ้าน ฉันร้องไห้หนักมาก ถ้าฉันมีนมข้างเดียว สามีจะรักฉันไหม คนอื่นจะคิดยังไง ฉันยังอยากมีนมครบ2ข้าง ด้วยความคิดเช่นนั้น ฉันจึงเริ่มศึกษาว่าที่ไหนสามารถตัดเต้านมทิ้งพร้อมกับเสริมไปเลยทีเดียว สรุปว่าไปครบจบที่รพ.รามา ฉันบอกกับหมอว่า หนูยังอยากมีนมอยู่ค่ะ และหนูจะไม่ใช้ซิลิโคนเด็ดขาดหมอก็เลยตรวจเช็คว่าจะเอาเนื้อตรงไหนมาทำดี ด้วยความที่ฉันหน้าอกไม่ใหญ่ จึงใช้กล้ามเนื้อส่วนหลังแทนได้  ฉันดีใจมาก แต่ ฉันต้องกลับไปรับเคมีบำบัดเข็มที่ 5 ก่อน เข็มที่5จะเป็นน้ำสีขาว ใช้เวลาในการให้นานมาก เกือบ2ชั่วโมง หมอบอกแค่ว่ามันคือยาเย็น ห้ามกินน้ำเย็น ห้ามกินของเย็น ใส่ถุงเท้าเวลานอนทุกครั้ง อาจจะมีอาการปวดเมื่อย หลังจากที่ให้เข็ม 5 เสร็จ ในใจตอนนั้นคิดว่ามันก็คงเหมือนเดิมๆ ในคืนนั้นไอที่ฉันคิดว่าอาการมันคงไม่เยอะมาก แต่มันไม่ใช่เลย ฉันมีอาการปวดกระดูก ใช่ค่ะ คุณฟังไม่ผิด ปวดกระดูก มาก ปวดทุกส่วนที่เป็นกระดูก แม้กระทั่งหัว ฉันไม่สามารถหลับตาลงได้นานเกินกว่า5นาทีเลย ฉันจะสะดุ้งตื่นทุกครั้งเพราะความปวด ถ้าคุณอยากทราบว่าป่วยแบบไหน ลองสอบถามผู้ที่มีอาการขาดยาเสพติดแล้วลงแดงดู ว่ามันปวดแค่ไหน ในตอนนั้น ยาแก้ปวดทุกชนิดที่มีในบ้าน ไม่ว่าจะเป็น ไอบูโพรเฟ่น  พารา  ไดโคฟีแนค ทามอล ฉันกินทุกตัว แต่คุณเชื่อไหม มันไม่ได้ช่วยอะไรเลย หลังจากนั้นฉันเริ่มกินของเผ็ดไม่ได้ ไม่สามารถรับรสชาติต่างๆได้ เท้าเริ่มเย็น ต้องใส่ถุงเท้าตลอด แต่ฉันก็อดทนมาตลอด ในคืนนึงหลังจากที่ฉันรับเคมีบำบัดเข็มที่6ไปแล้ว จู่ๆไลน์ของฉันก็เด้งรัวๆ ฉันรำคาญเลยหยิบมาดู ปรากฏว่ามันเป็นรูปของสามีฉัน กับผู้หญิงอีกคนหนึ่งที่เห็นแค่บางส่วน ทั้งสองนอนกอดกันในห้องของผู้หญิงคนนั้น ที่เจ็บคือสามีฉันนุ่งผ้าขนหนูผืนเดียว ฉันได้แต่ถามไปว่ามีอะไรเหรอ ทะเลาะกับสามีเราเหรอไง ตอนเธอตกลงไปเอากันไม่เห็นบอกเรา แล้วทำไมเราต้องมารู้เรื่องแบบนี้ ตอนนั้นฉันรู้สึกเหมือนว่าต้นไม้ที่ฉันใช้พักพิง มันล่มสลายลงไปต่อหน้าฉันเลย ฉันนอนไม่หลับ ฉันลงไปรอสามีเป็นชั่วโมงๆ แล้วถามเขาว่าผู้หญิงคนนี้เป็นใคร สามีฉันตอบว่าเป็นคนที่เขาเจอตอนไปเรียนป.โท ตอนที่ไปรับปริญญาเขาก็ไปอยู่ด้วยกัน กลายเป็นว่า ฉันเป็นคนเก็บเสื้อผ้าให้เขา เพื่อให้เขาไปนอนกับผู้หญิงคนอื่น ทั้งๆที่ฉันอยู่บ้านเลี้ยงลูกเพื่อรอเขากลับมา ทั้งๆที่เขารู้ว่าฉันป่วยทำไมเขาทำแบบนี้ ในตอนนั้น มีประโยคเดียวที่ฉันพูดออกไป  “ถ้ากูหายเมื่อไหร่ กูจะเลิกกับอึง” สามีร้องไห้และขอโอกาสอีกครั้ง ฉันนั่งร้องไห้อยู่แบบนั้นและไม่พูดอะไรจนถึงเช้า วันต่อมาฉันจึงติดต่อไปหาเพื่อนของผู้หญิงคนนี้ ละถามว่า ทำไมเพื่อนน้องต้องทำกับพี่แบบนี้ น้องตอบกลับมาว่า เพื่อนเขาอยากให้คนอื่นรู้ว่าผู้ชายคนนี้เป็นคนยังไง แล้วบอกอีกด้วยว่ามีอะไรกันแล้ว ฉันหัวใจสลายมาก ไอที่ฉันอดทนต่อความทุกข์ความเจ็บปวดนั้นเหมือนมันไร้ความหมาย  ทำไมฉันต้องมาเจออะไรแบบนี้ ฉันเลยบอกน้องไปว่า น้องพี่เป็นมะเร็ง น้องต้องการอะไรจากพี่ แค่นี้พี่ทรมานไม่พออีกเหรอ ชีวิตพี่เหมือนล้มลงแล้วพี่ลุกไปต่อไม่ไหวแล้วอะ มันบั่นทอนจิตใจมาก น้องตอบกลับมาว่าพี่ยังมีลูก พี่ต้องสู้เพื่อลูกพี่ ตอนนั้นในใจฉันตอบไปว่าอยากให้น้องมาลองเป็นฉันดูบ้าง น้องจะทำยังไงถ้าต้องไปหาหมอคนเดียว ค่าใช้จ่ายก็ไม่ใช่น้อย พี่จะจ่ายไหวไหม ละพี่ป่วยแบบนี้ถ้าพี่เลี้ยงลูกคนเดียว ไหนจะค่ายา ค่ากิน ค่าเดินทาง ค่าอื่นๆจิปาถะของลูก พี่รับไหวไหม น้องตอบไม่ได้และได้แต่ขอโทษแทนเพื่อน บากหน้าโดนฉันด่าแทนเพื่อน ฉันก็พูดอะไรได้ไม่มากไปกว่านี้เพราะคนของฉันก็เลวเช่นกัน เมื่อวันกำหนดผ่าตัดเต้านมออกมาถึง ฉันต้องอยู่ที่นั่นคนเดียว ไม่มีญาติเฝ้า ในชั่วโมงก่อนที่จะผ่าตัด หมอเดินมาบอกว่า ทางรพ.ต้นสังกัดเขาก็คว้านให้คุณออกมดแล้วนะครับ คุณอาจจะไม่ได้รับการผ่าตัด และต้องกลับบ้าน แต่ถึงอย่างนั้น หมอก็ยังให้ไปทำอัลตร้าซาวนด์อีกครั้ง เหมือนฟ้าเป็นใจ เจอก้อนผิดปกติอีกก้อนใต้หัวนม หมอเลยทำการปักเข็มและเข็นฉันไปรอที่ห้องผ่าตัด  นานแต่ไหนไม่รู้ฉันออกมาจากห้องผ่าตัดมันเจ็บมาก ต้องนอนใส่เครื่องช่วยหายใจพร้อมที่นวดขา เอาจริงๆคืนนั้นฉันแทบไม่ได้นอนเลย ฉันอยู่พักที่ร.พ.ถึง7วัน ถึงจะได้กลับบ้าน พร้อมถุงระบายเลือด เมื่อแผลฉันหายดีแล้วฉันก็จะต้องอยู่กทม.อีก15วัน เผื่อรับการฉายแสงในตอนนั้นแม่ฉันก็ลงมาช่วยดูแลหลาน เพื่อที่สามีจะไม่ต้องเหนื่อยมาก 15 วันผ่านไป ตอนนั่นฉันดีใจมาก ฉันคิดว่าคงหมดเรื่องร้ายๆแล้ว ตอนนี้ฉันจะกลับไปทำหน้าที่แม่ที่ดี ภรรยาที่ดี ฉันจะมีความสุข
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่