Ghost World บทที่ 1 - Underground

กระทู้สนทนา
 1

Underground
 
 
 
 
            อากาศร้อนชื้นและแสงแดดในยามสายกับห้องนอนที่ไม่มีเครื่องปรับอากาศ ไม่มีพัดลม มีเพียงหน้าต่างรับลมที่นาน ๆ จะพัดเข้ามาสักครั้ง แม้ว่าสภาพแวดล้อมจะไม่เอื้อต่อการนอนหลับ แต่ไม่มีอะไรที่ปลุกชายซึ่งนอนไม่รู้ร้อนอยู่บนเตียงนั้นได้ ที่เขาหลับลึกเช่นนี้อาจเป็นเพราะเมื่อคืนนอนดึก ทั้งภารกิจในเรื่องงานที่ต้องดูแลความปลอดภัยในการส่งสินค้าล็อตใหญ่ในตอนหัวค่ำและอาการปวดศีรษะที่กวนใจยามดึกทำให้เขาเข้านอนเกือบรุ่งเช้า อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ปลุกเขาให้ตื่นจากความหลับใหลคือแรงผลักจากใครสักคนและเสียงตะโกนเรียกขาน           
            
          “นายครับ” ร้อยตำรวจเอก มนัสวินท์เขย่าตัว พันตำรวจโท วรวุธลืมตาและหันหน้าไปพบกับใบหน้าของลูกน้อง 

          “เอ้า ไอ้วินท์” ยังไม่ทันที่นายตำรวจจะทักจบ ผู้กองมนัสวินท์ก็ชิงพูดเสียก่อน

          “เกิดเรื่องใหญ่แล้วครับนาย พวกอนาคิสต์กำลังยึดตึกวิจัย สายรายงานว่ามันเพิ่งเข้าไปเมื่อยี่สิบนาทีก่อน” เมื่อได้ยินแบบนี้ พันตำรวจโท วรวุธแทบจะสลัดความอ่อนเพลียออก เขาหายใจไม่เต็มปอด 
            
          ร้อยตำรวจเอก มนัสวินท์กล่าวต่อ “ผมได้รับวิทยุจากผู้การปราโมทย์เมื่อสิบห้านาทีที่แล้ว เราต้องไปถึงพิกัดรวมพลภายในสามสิบนาที” ทันทีที่ผู้กองมนัสวินท์พูดจบ พันตำรวจโท วรวุธลุกขึ้นจากเตียงทันที 
            
          “พิกัดรวมพลอยู่ตรงไหน” นายตำรวจรุ่นพี่ถาม ผู้กองมนัสวินท์ยื่นกระดาษโน้ตให้ มันเป็นอาคารที่อยู่ห่างจากอาคารวิจัยประมาณสองร้อยเมตร 
           
           “วินท์ แล้วสมาชิกคนอื่นล่ะ” พันตำรวจโท วรวุธถามถึงสมาชิกในหน่วยปฏิบัติการที่เขาควบคุมอยู่ มันเป็นหน่วยสืบสวนพิเศษที่ถูกตั้งขึ้นมาไม่นานเพื่อรับมือกับพวกอนาคิสต์

          “หมวดชัย จ่าก้อง จ่านาย เมื่อคืนนอนพักอยู่หอพักของนครบาลครับ” พันตำรวจโท วรวุธพยักหน้า หลังจากที่ทราบตำแหน่งรวมพลและข้อมูลเบื้องต้น เขาใช้เวลาแต่งตัวไม่เกินสามนาทีก่อนจะออกเดินทาง

          “แยกกันไปนะ” พันตำรวจโท วรวุธบอกกับร้อยตำรวจเอก มนัสวินท์ นายตำรวจผู้ใต้บังตับบัญชาพยักหน้า “ครับ” เขาสวมหมวกนิรภัยพลางควบรถจักรยานยนต์ที่ขับขี่มามุ่งหน้าไปก่อน ส่วนพันตำรวจโท วรวุธนั้นขึ้นรถเก๋งขับตามไป
             
          พวกเขาทุกคนในหน่วยเดินทางถึงสถานที่นัดหมายในเวลาสิบเอ็ดโมงครึ่ง อาคารนี้ถูกใช้เป็นพื้นที่วางแผนปฏิบัติการชั่วคราว เมื่อพันตำรวจโทวรวุธและร้อยตำรวจเอกมนัสวินท์ไปถึงก็พบกับร้อยตำรวจตรีเอกชัยหรือหมวดชัย จ่าสิบตำรวจเอก ก้องภพหรือจ่าก้อง และจ่าสิบตำรวจเอก ณภัทร หรือจ่านายมารอทั้งสองก่อนแล้ว นอกจากนั้น ยังมีกลุ่มนายตำรวจและทหารทั้งฝ่ายบัญชาการและปฏิบัติการแออัดอยู่ในโถงของอาคารชั้นหนึ่ง คาดว่าไม่ต่ำกว่าร้อนนาย พลตำรวจโท ปราโมทย์ ผู้บัญชาการตำรวจนครบาลที่กำลังประชุมกับนายทหาร ตรวจใหญ่เป็นวงล้อม เมื่อเห็นพันตำรวจโท วรวุธเดินเข้ามาก็ผละออกจากวงประชุม เขายื่นแผนที่บางอย่างให้กับพันตำรวจโท วรวุธ เมื่อสารวัตรคนนี้ได้รับก็รีบกางแผ่นแผนที่ออกทันที พลตำรวจโท ปราโมทย์เป็นผู้อธิบาย
            
          “คนร้ายเข้ายึดพื้นที่มาเกินครึ่งชั่วโมงแล้ว ตอนนี้ทหารจากหน่วยทหารราบที่หนึ่งประมาณสามกองร้อยกำลังปะทะกับพวกนั้นนอกอาคาร พวกมันน่าจะมีไม่ต่ำกว่าห้าสิบ อาวุธหนัก อาวุธเบาครบมือ วางแนวตั้งรับแน่น ตำรวจก็กำลังปิดล้อมพื้นที่ข้างนอก แต่ยังไม่มีใครเข้าพื้นที่ได้”
                
          “ครับ” 
            
          “เราทั้งหมดจะเข้ายึดพื้นที่คืนโดยใช้ทางเข้าใต้ดินจากสถานีรถใต้ดินรัชดาภิเษก กำลังจากหน่วยทหารหน่วยรบพิเศษสี่กองร้อยจะเป็นแนวหน้า กำลังของนครบาลเราก็จะมีสี่หน่วยเข้าตามทีหลัง” นี่เป็นข้อความหลัก ๆ ที่พลตำรวจโท ปราโมทย์จับใจความได้ ขณะเดียวกันนายทหารเสนาธิการเดินโอบหลังพลตำรวจโท ปราโมทย์ ผู้บัญชาการตำรวจนครบาลเห็นดังนั้นจึงบอกกับพันตำรวจโท วรวุธให้เดินตามเข้าไป สารวัตรหนุ่มส่งสัญญาณถึงลูกทีมคนอื่นที่ยืนอยู่ไม่ไกลว่า ให้รอผลการประชุมก่อน การประชุมวงเล็กเริ่มขึ้นในอีกห้านทีต่อมาโดยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติเป็นผู้เริ่ม 
            
         “เป้าหมายของเราคือการชิงตัวประกัน ส่วนเรื่องการปะทะกับกลุ่มกบฏเป็นเรื่องของทหาร แต่เราก็เลี่ยงการปะทะไม่ได้อยู่ดี ในนั้น มีนักวิจัยที่ถูกจับเป็นตัวประกันในนั้นห้าสิบคน ทั้งหมดน่าจะยังอยู่ในตึก”
            
          พลตำรวจโท ปราโมทย์ถาม “ท่านครับ ผมเกรงว่ากำลังของนครบาลของผมจะไม่พอ”
           
           “ตำรวจจากภูธรกำลังเข้ามาเสริม” ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติตอบ “แต่บอกตรง ๆ นะ ผมก็ไม่แน่ใจว่าตำรวจจากเขตภูธรจะเข้ามาถึงเขตในเมืองได้หรือเปล่า เพราะพวกมันน่าจะปิดล้อมเส้นทางหลัก ๆ ไว้หมด”  

          จากนั้นเป็นการวางแผนของฝ่ายทหารที่ไล่เรียงกันทีละหน่วยจนถึงหน่วยตำรวจนครบาลซึ่งมีพลตำรวจโท ปราโมทย์เป็นผู้กล่าว “การชิงตัวประกันจะต้องรอบคอบ ต้องนึกถึงชีวิตของตัวประกันอย่างแรก” เขาแจกแจงงานแก่หน่วยตำรวจที่กำลังปฏิบัติการที่จะเข้าโจมตีทีละหน่วย จนมาถึงการชี้แจงไปยังหน่วยของพันตำรวจโท วรวุธ

          “กลุ่มสารวัตรหมูรอให้ทหารเคลียร์พื้นที่ตรงทางออกสองก่อน แต่แทนที่จะเดินตามเส้นในแผนที่ คุณจะต้องพาคนของคุณเคลื่อนที่ไปตามแนวเส้นทางรถไฟที่มุ่งไปสถานีลาดพร้าว จากชานชาลาระยะยี่สิบเมตร จะมีประตูทางเข้าที่เชื่อมกับโรงจอดรถใต้ดินของศูนย์วิจัย กลุ่มของคุณต้องเปิดทางให้ทหารหน่วยรบพิเศษและตำรวจนครบาล ที่ต่อไปนี้เราจะเรียกพวกคุณว่าหน่วยเคลื่อนที่เร็วหน่วยที่สี่รออยู่ตรงทางเข้าอาคารชั้นใต้ดิน”

          “เมื่อทะลวงข้าศึกจนเปิดทางแล้ว ทีมผมจะรวมพลกับทหารหน่วยรบพิเศษและเคลื่อนที่เร็วหน่วยอื่นเพื่อเข้าในอาคารหรือเปล่าครับ” พันตำรวจโท วรวุธสงสัย

          “ถูกแล้ว แต่ขอให้รอสัญญาณจากศูนย์บัญชาด้วย ถึงตอนนั้นต้องรอดูสถานการณ์จากทางเข้าอื่น ๆ ก่อน เราจะชิงพื้นที่พร้อมกัน”
“รับทราบครับ” 

          จากนั้นมีเสียงของนายทหารดังขึ้น “ฝ่ายทหารของเรา เดี๋ยวเราจะแยกประชุมอีกห้องหนึ่ง” ผู้บัญชาการทหารบกสั่งให้ทหารทุกหน่วยออกจากห้อง เหลือไว้เพียงนายตำรวจ

          “โอเค” หลังจากที่ทหารออกจากห้องแล้ว ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติกล่าวต่อ “กำหนดเวลาการเข้าพื้นที่ของเราคือเที่ยงสามสิบนาที ขณะนี้เวลาเที่ยงตรง ทุกคนมีเวลาเตรียมตัวไม่เกินครึ่งชั่วโมง”

         “ทุกคนทราบ” ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติกล่าว  

          “ทราบ” นายตำรวจทุกนายในห้องประชุมยืนขึ้น 

          พันตำรวจโท วรวุธและลูกทีมทั้งหมดออกมาเบิกอาวุธและอุปกรณ์ในการปะทะจากรถขนอาวุธเคลื่อนที่ซึ่งจอดอยู่หน้ากองบัญชาการชั่วคราวสามคัน บรรยากาศดูวุ่นวาย ทั้งหทารและตำรวจต่างรุมล้อมอยู่ตรงรถ ทุกคนมีเวลาเตรียมตัวไม่มาก ขณะที่สายข่าวรายงานว่า กลุ่มกบฎอนาคิสต์อาจเคลื่อนย้ายตัวประกันเร็ว ๆ นี้ หากเข้ายึดพื้นที่ไม่ทันจะเสียตัวประกันไป หลังจากเตรียมอาวุธแล้ว พันตำรวจโท วรวุธสั่งให้ลูกทีมพักเพื่อใช้เวลากินอาหารราวสิบนาที ก่อนจะเคลื่อนที่ไปยังจุดรวมพลในเวลานัดหมาย

          ปฏิบัติการยึดพื้นที่เกิดขึ้นในเวลาเที่ยงครึ่งตามแผนการณ์ที่วางไว้ สถานการณ์ดุเดือดตั้งแต่นาทีแรก การสื่อสารระหว่างปฏิบัติการในพื้นที่ก็ฟังจับใจความไม่ได้ เสียงปืนและระเบิดดังจนถึงด้านนอกสถานีเป็นระยะ หน่วยเคลื่อนที่เร็วหน่วยที่สี่ซึ่งนำโดยพันตำรวจโท วรวุธรอสัญญาณจากวิทยุของศูนย์บัญชาการ กว่าจะได้รับคำสั่ง พวกเขาต้องรอจนผ่านไปครึ่งชั่วโมง
            
          “หน่วยเคลื่อนที่เร็วทั้งสี่ เตรียมพร้อมปฏิบัติการณ์”
            
          “เคลื่อนที่สี่ พร้อม” พันตำรวจโท วรวุธตอบวิทยุกลับ    
            
          “เริ่ม” 

          เสียงวิทยุของศูนย์บัญชาการให้สัญญาณ พันตำรวจโท วรวุธนำลูกทีมเคลื่อนที่เข้าไปในสถานีรัชดาภิเษก พวกเขาต้องทำงานท่ามกลางความมืด เมื่อเคลื่อนที่ไประยะหนึ่งก็พบร่องรอยความเสียหายของการปะทะ ทั้งสิ่งของและศพของทั้งกลุ่มกบฏและหน่วยทหารรบพิเศษอยู่ในโถงของสถานี 
            
          ร้อยตำรวจเอก มนัสวินท์ตรวจสอบความเคลื่อนไหว ก่อนจะให้สัญญาณ “เคลียร์” 
            
          “ซ้ายเคลียร์” ร้อยตำรวจตรี เอกชัยซึ่งแยกไปทางซ้ายก็ให้สัญญาณเช่นกัน หน่วยเคลื่อนที่เร็วหน่วยที่สี่เคลื่อนที่ผ่านชั้นแรกของสถานีในเวลารวดเร็ว ก่อนจะใช้บันไดลงไปชั้นสอง จนถึงปากทางลงบันไดชั้นที่สาม ซึ่งเป็นบริเวณที่ยังไม่มีทหารหรือตำรวจของรัฐบาลเคลื่อนผ่าน  พันตำรวจโท วรวุธส่งสัญญาณให้ลูกทีมเดินอย่างช้า ๆ ด้วยความระวัง เขาชูนิ้วให้แยกกันเดินสามต่อสองนาย จ่าก้องและจ่านายลงบันไดอีกฝั่ง แต่ยังไม่ทันจะลงถึงชั้นสามก็มีเสียงปืนดังขึ้นจากข้างล่าง พ.ต.ท.วรวุธและลูกทีมที่เหลือหาที่กำบังและยิงตอบโต้ ขณะเดียวกันก็ฟังเสียงปืนของข้าศึก ว่าพวกมันอยู่ตำแหน่งใด ส่วนจ่าก้องและจ่านายนั้นอาศัยจังหวะชลมุนถึงชั้นสามแล้ว พวกเขาใช้เสาบังกระสุนก่อนยิงข้าศึกที่ตั้งรับ

          ส่วนบันไดอีกฝั่ง พันตำรวจโท วรวุธ ร้อยตำรวจเอก มนัสวินท์ และร้อยตำรวจเอก เอกชัยยังลงไปไม่ได้ 
            
          “ไอ้วิน โยนระเบิดควันตำแหน่งสิบสี่นาฬิกา” ร้อยตำรวจเอก มนัสวินท์ทำตามคำสั่ง หลังจากนั้นประมาณห้าวินาที ชั้นใต้ดินชั้นที่สามก็คลุ้งไปด้วยควัน 
            
          “ระเบิด” เสียงของจ่านายดังผ่านวิทยุสื่อสาร
            
          “วิ่ง” พันตำรวจโท วรวุธสั่ง ก่อนที่ระเบิดจะทำงานจนบันไดอีกฝั่งนึงจะถล่มลงมา 
            
         “ไอ้ก้อง ไอ้นาย ตรึงพื้นที่ไว้ก่อน” 

          ร้อยตำรวจเอก มนัสวินท์โยนระเบิดลงไปยังตำแหน่งข้าศึกเช่นกัน เสียงระเบิดดังขึ้นต่อเนื่อง นายตำรวจทั้งสามก็อาศัยบรรยาศที่มองไม่เห็นลงบันได้อย่างรวดเร็ว พันตำรวจโท วรวุธเห็นตำแหน่งของจ่าก้องและจ่านายแล้ว พวกเขารวมตัวกันอีกครั้ง 
            
          “เราต้องไปแล้ว อาคารกำลังทรุดตัว” เสียงของพันตำรวจโท วรวุธดังชัดเจน แม้ว่ากำลังห้านายจะน้อยกว่ากำลังของกบฏที่ตั้งรับอยู่ตรงชานชาลา แต่ร้อยตำรวจเอก มนัสวินท์ และร้อยตำรวจตรี เอกชัยก็พยายามยิงสังหารข้าศึกที่ตั้งรับจนพวกมันเริ่มถอย  
            
          “ระวังด้วย มันอาจวางกับดัก” ร้อยตำรวจตรี เอกชัยส่งเสียงเตือน 
            
          “ยิงไว้ ไอ้วินเปิดประตูชานชาลา เราจะเคลื่อนไปตามทางรถไฟด้านขวา ระวังซ้ายมือด้วย” สิ้นเสียงคำสั่ง ทั้งหมดระดมยิงข้าศึก กลุ่มกบฏตายอย่างน้อยห้าถึงหกนาย ก่อนที่ ร้อยตำรวจเอก มนัสวินท์จะฝ่าผ่านประตูชานชาลาไปยังทางรางรถไฟ ขณะนั้นพันตำรวจโท วรวุธได้ยินเสียงเท้ากำลังวิ่งมาจากด้านซ้ายมือของรางรถไฟ ข้าศึกกำลังสังหารร้อยตำรวจเอก มนัสวินท์ เขาจึงกระโจนตัวจากที่กำบังตรงข้างประตูชานชาลาและสังหารข้าศึกในลักษณะลอยตัวลั่นไก  
            
          “ไอ้วิน ข้างหน้า” พันตำรวจโท วรวุธส่งเสียงเตือน ก่อนที่ร้อยตำรวจเอก มนัสวินท์จะสังหารข้าศึก
ทั้งควันจากระเบิดควันและควันจากซากอาคารบางส่วนที่ถล่มลงเริ่มจางคลาย แต่อุโมงทางรถฟ้านั้นมืดสนิท 
            
          “เคลื่อนตามมา” พันตำรวจโท วรวุธสั่งลูกทีมอีกสามนาย ทั้งหมดเคลื่อนที่ด้วยความระมัดระวังผ่านชานชาลาไปยังประตูทางเชื่อมอาคารวิจัยในเวลาต่อมา 
            
          “หน่วยเคลื่อนเร็วหน่วยสี่เรียกศูนย์บัญชาการ พวกเราถึงประตูทางเชื่อม ถัดจากชานชาลายี่สิบเมตรแล้ว” พันตำรวจโท วรวุธวิทยุแจ้ง
           
      “บก. เรียก เคลื่อนที่สี่ รับทราบ อาคารตรงนั้นเสียหายแค่ไหน”  พลตำรวจโท ปราโมทย์วิทยุตอบ 
           
      “ไม่ทราบแน่ชัด รู้แค่ว่าบันไดฝั่งหนึ่งถล่มลง” 
           
     “ขอให้ระวังเรื่องอาคารถล่มด้วย รอสัญญาณจากหน่วยรบพิเศษและเคลื่อนที่เร็วหน่วยอื่นก่อน ให้ระวังข้าศึกที่อาจตั้งรับหลังแนวประตูด้วย”
           
     “รับทราบ หน่วยเคลื่อนเร็วสี่รอรับคำสั่ง” สิ้นเสียงวิทยุ ร้อยตำรวจเอก มนัสวินท์กล่าวกับพันตำรวจโท วรวุธสั้น ๆ

(มีต่อ)
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่