สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 11
แม่โฟกัสผิดจุดค่ะ
เปรียบเทียบง่ายๆนะคะ
เหมือนเราไปเรียนระดับมหาวิทยาลัย
แล้ว “หาห้องเรียนไม่เจอ”
แล้วผู้ปกครองมาด่าว่า
“ทำไมอาจารย์ไม่จับมือพานีกศึกษาไปห้องเรียน”
คือมันอยู่ในระดับที่ควรทำได้ด้วยตัวเองแล้วค่ะ
น้องหยิบน้ำดื่มเองไม่เป็น
แสดงว่าน้องยังไม่พร้อมเรียนระดับชั้นอ.2ค่ะ
น้ำใส่กระเป๋ามา หิวก็กิน
แต่น้อง “ลืม” ว่าน้ำอยู่ในกระเป๋า
คือไม่พูดถึงวันที่พลาดทำร่วงในรถนะคะ
แต่วันที่ไม่มีปัญหาอะไร น้องก็”ทำอะไรเองไม่ได้”
“แค่หยิบน้ำมาดื่ม” ก็ไม่ได้
เรื่องหนังสือเรียน เด็กอาจไม่นำออกมา
ครูเข้าใจว่าเด็กลืมเอามา จึงให้เรียนต่อไป
แบ่งดูกับเพื่อนหรือเปล่า
แม่จะให้ครูเปิดหยิบกระทั่งหนังสือ
ที่อยู่ในกระเป๋าเองเลยหรอคะ
คือครูต้องเป็นคนหยิบน้ำในกระเป๋าเด็ก ให้เด็กดื่ม
ครูต้องเปิดกระเป๋าหยิบของใช้ให้ลูกคุณตลอด
= ลูกคุณไม่ทำอะไรเลย
แบบนี้หรอคะที่คุณแม่คาดหวังจากครู
บอกตรงๆ แทนที่จะโวยวายครู พูดถึงค่าเทอม
แม่พาไปหาหมอเด็กด่วนเลยค่ะ
ถ้าเด็กมีพัฒนาการช้า รู้เร็วตั้งแต่เด็กๆ รักษาได้ค่ะ
อย่าปล่อยให้น้องไปเรียนทั้งที่ไม่พร้อมค่ะ
ถ้าน้องไม่ได้พัฒนาการช้า แค่ขาดการกระตุ้น
(พ่อแม่ทำงาน อยู่บ้านไม่มีปฎิสัมพันธ์กับอะไรมาก)
ก็อาจจะลดระดับชั้นน้องให้ไปเรียนอ.1 ซ้ำ
ปรับตัวอีกรอบค่ะ
ฝึกให้เด็กทำอะไรเอง
คุณจัดน้ำ จัดหนังสือให้ แต่ให้เด็กหยิบใส่กระเป๋าเอง
เปรียบเทียบง่ายๆนะคะ
เหมือนเราไปเรียนระดับมหาวิทยาลัย
แล้ว “หาห้องเรียนไม่เจอ”
แล้วผู้ปกครองมาด่าว่า
“ทำไมอาจารย์ไม่จับมือพานีกศึกษาไปห้องเรียน”
คือมันอยู่ในระดับที่ควรทำได้ด้วยตัวเองแล้วค่ะ
น้องหยิบน้ำดื่มเองไม่เป็น
แสดงว่าน้องยังไม่พร้อมเรียนระดับชั้นอ.2ค่ะ
น้ำใส่กระเป๋ามา หิวก็กิน
แต่น้อง “ลืม” ว่าน้ำอยู่ในกระเป๋า
คือไม่พูดถึงวันที่พลาดทำร่วงในรถนะคะ
แต่วันที่ไม่มีปัญหาอะไร น้องก็”ทำอะไรเองไม่ได้”
“แค่หยิบน้ำมาดื่ม” ก็ไม่ได้
เรื่องหนังสือเรียน เด็กอาจไม่นำออกมา
ครูเข้าใจว่าเด็กลืมเอามา จึงให้เรียนต่อไป
แบ่งดูกับเพื่อนหรือเปล่า
แม่จะให้ครูเปิดหยิบกระทั่งหนังสือ
ที่อยู่ในกระเป๋าเองเลยหรอคะ
คือครูต้องเป็นคนหยิบน้ำในกระเป๋าเด็ก ให้เด็กดื่ม
ครูต้องเปิดกระเป๋าหยิบของใช้ให้ลูกคุณตลอด
= ลูกคุณไม่ทำอะไรเลย
แบบนี้หรอคะที่คุณแม่คาดหวังจากครู
บอกตรงๆ แทนที่จะโวยวายครู พูดถึงค่าเทอม
แม่พาไปหาหมอเด็กด่วนเลยค่ะ
ถ้าเด็กมีพัฒนาการช้า รู้เร็วตั้งแต่เด็กๆ รักษาได้ค่ะ
อย่าปล่อยให้น้องไปเรียนทั้งที่ไม่พร้อมค่ะ
ถ้าน้องไม่ได้พัฒนาการช้า แค่ขาดการกระตุ้น
(พ่อแม่ทำงาน อยู่บ้านไม่มีปฎิสัมพันธ์กับอะไรมาก)
ก็อาจจะลดระดับชั้นน้องให้ไปเรียนอ.1 ซ้ำ
ปรับตัวอีกรอบค่ะ
ฝึกให้เด็กทำอะไรเอง
คุณจัดน้ำ จัดหนังสือให้ แต่ให้เด็กหยิบใส่กระเป๋าเอง
ความคิดเห็นที่ 32
คิดว่าคุณแม่ค้องฝึกน้องให้ช่วยเหลือตัวเองได้มากกว่านี้
เหมือนน้องไม่กล้าพูด ไม่กล้าคุยกับครูรึเปล่าคะ
- หาน้ำไม่เจอ เลยอดกินน้ำ
- ไม่ได้กินนมอยู่คนเดียว
- ค้นกระเป๋าตัวเองไม่เป็น ถ้ามีของบังอยู่ หรือของไม่ได้อยู่ช่องเดิม = ไม่มีของ น้องไม่ค้น ไม่ขอความช่วยเหลือ น้องแก้ปัญหาไม่ได้
- ไม่มีหนังสือเรียน เพราะลืมเอามาหรือหยิบไม่ได้
ทั้งหมดนี้จะว่าครูไม่ใส่ใจก็คงพูดได้เหมือนกันค่ะ แต่เราคิดว่าไม่สามารถหวังพึ่งครูทั้งหมดนี่ได้ค่ะ เป็นการช่วยเหลือตัวเอง แก้ปัญหา การสื่อสารกับครูเพื่อขอความช่วยเหลือ น้องต้องทำได้ค่ะ คุณแม่ต้องฝึกหนักๆเลย อนุบาล2แล้ว
อีกอย่างถ้าโดนเพื่อนแกล้ง หรือเพื่อนอาจจะไม่ตั้งใจแต่น้องเจ็บหรือไม่สบายใจไปแล้ว น้องจะสามารถบอกครูได้เหรอคะ ดูสื่อสารช่วยตัวเองไม่ได้เลย
ไม่งั้นต้องลดน้องไปอยู่อ.1 ที่มีครูพี่เลี้ยงประกบไปก่อนและจะได้อยู่กับเพื่อนที่พัฒนาการใกล้ๆกันด้วน แล้ระหว่างนี้ก็ฝึกน้องให้มากขึ้น เพราะถ้าเพื่อนๆทำได้กันหมดน้องทำไม่ได้คนเดียวมันจะมีปัญหาเอาได้นะคะ
แม่ไม่ต้องพูดว่าความรู้ไปไกลแล้ว ท่องสูตรคูณได้ (โอยยจะบ้า) เพราะ อนุบาลไม่ได้เน้นความรู้นะคะ เน้นพัฒนาการ การใช้กล้ามเนื้อ การเข้าสังคม ถ้าพื้นฐานน้องยังไม่ได้คือไม่ได้ค่ะ
เหมือนน้องไม่กล้าพูด ไม่กล้าคุยกับครูรึเปล่าคะ
- หาน้ำไม่เจอ เลยอดกินน้ำ
- ไม่ได้กินนมอยู่คนเดียว
- ค้นกระเป๋าตัวเองไม่เป็น ถ้ามีของบังอยู่ หรือของไม่ได้อยู่ช่องเดิม = ไม่มีของ น้องไม่ค้น ไม่ขอความช่วยเหลือ น้องแก้ปัญหาไม่ได้
- ไม่มีหนังสือเรียน เพราะลืมเอามาหรือหยิบไม่ได้
ทั้งหมดนี้จะว่าครูไม่ใส่ใจก็คงพูดได้เหมือนกันค่ะ แต่เราคิดว่าไม่สามารถหวังพึ่งครูทั้งหมดนี่ได้ค่ะ เป็นการช่วยเหลือตัวเอง แก้ปัญหา การสื่อสารกับครูเพื่อขอความช่วยเหลือ น้องต้องทำได้ค่ะ คุณแม่ต้องฝึกหนักๆเลย อนุบาล2แล้ว
อีกอย่างถ้าโดนเพื่อนแกล้ง หรือเพื่อนอาจจะไม่ตั้งใจแต่น้องเจ็บหรือไม่สบายใจไปแล้ว น้องจะสามารถบอกครูได้เหรอคะ ดูสื่อสารช่วยตัวเองไม่ได้เลย
ไม่งั้นต้องลดน้องไปอยู่อ.1 ที่มีครูพี่เลี้ยงประกบไปก่อนและจะได้อยู่กับเพื่อนที่พัฒนาการใกล้ๆกันด้วน แล้ระหว่างนี้ก็ฝึกน้องให้มากขึ้น เพราะถ้าเพื่อนๆทำได้กันหมดน้องทำไม่ได้คนเดียวมันจะมีปัญหาเอาได้นะคะ
แม่ไม่ต้องพูดว่าความรู้ไปไกลแล้ว ท่องสูตรคูณได้ (โอยยจะบ้า) เพราะ อนุบาลไม่ได้เน้นความรู้นะคะ เน้นพัฒนาการ การใช้กล้ามเนื้อ การเข้าสังคม ถ้าพื้นฐานน้องยังไม่ได้คือไม่ได้ค่ะ
ความคิดเห็นที่ 27
น้องขาดพัฒนาการด้านการสื่อสารและการช่วยเหลือตนเองในชีวิตประจำวัน เราเดาว่าด้วยความที่พูดไม่ค่อยรู้เรื่องทำให้ครูไม่เข้าใจ ขาดเหลืออะไรไม่พูดไม่บอกครูก็ไม่มีทางรู้ได้หรอกค่ะ น้องหิวน้ำแต่ไม่กล้าพูดยอมอดทั้งวันอันนี้แย่แล้วนะคะ ในเบื้องต้นเด็กที่จะเข้ารร.ได้ต้องช่วยเหลือตนเองได้ในระดับหนึ่งและสามารถบอกความต้องการของตนเองได้อย่างชัดเจน ปวดฉี่ ปวดอึ หิวข้าวหิวน้ำ เจ็บปวดตรงไหนรู้สึกอย่างไรต้องบอกได้ ลูกชายเราอายุ4ขวบอยู่ชั้นอ.2เช่นกัน แรกๆเราจะชวนลูกจัดกระเป๋าให้เขารู้ว่านมขนมอยู่ตรงนี้ มีผ้าเช็ดหน้า ดินสอสี น้ำดื่ม อะไรอยู่ตรงไหนให้เขารับรู้จะได้เปิดกระเป๋าหยิบเองได้ ทุกวันเราจะถามลูกเรื่องที่รร. ลูกก็พูดให้ฟังเป็นเรื่องเป็นราวค่ะ ถามลูกเรื่องเข้าห้องน้ำ เรื่องกินข้าวว่าที่รร.ทำอะไรให้ทานอร่อยไหมทานได้รึป่าว(ที่รร.จะมีตารางอาหารให้ผปค.ดูด้วยค่ะ)กินนม/น้ำดื่ม บางเรื่องก็สอบถามครูประกอบกันไป สอนลูกให้กล้าพูดกล้าบอก ส่วนตัวเราไม่เคร่งเรื่องเรียนเลยค่ะ ที่รร.สอนวันละ2วิชา มีเรียนพละ ว่ายน้ำ เรียนภาษาอังกฤษกับชาวต่างชาติ ภาษาจีน มีกิจกรรมต่างๆ ลูกไปเรียนเหมือนไปเล่นมีความสุขทุกวัน สูตรคณิตอะไรไม่มีท่องไม่ได้หรอกค่ะ นับ1-20ได้เท่านั้นเอง เรียนกขค./abcปกติทั่วๆไปเลย ส่วนตัวไม่ได้คาดหวังด้านวิชาการ คาดหวังอันดับ1เลยคือความปลอดภัยในชีวิตค่ะ
ความคิดเห็นที่ 46
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
เด็ก 4-6 ขวบเป็นช่วงที่เปลี่ยนแปลงทางร้านร่างกายและจิตใจ
ผู้ปกครองควร สอนให้รู้จักช่วยตัวเองให้มากที่สุดครับ
เช่น ฝึกจัดการกับข้าวของตัวเองให้ได้
ฝึกพัฒนาการ ส่งเสริมกล้ามเนื้อมัดเล็ก
เด็กต้องบอกความรู้สึกตัวเองเบื้องต้นได้
แอบเห็นด้วยกับความเห็นที่ 11 ที่คุณต้องไปพบแพทย์ด่วน
เพื่อคำแนะนำในการปรับตัวของเด็ก
ของบางอย่างจะไปคาดหวังว่าครูประจำชั้นจะทำให้หมดทุกอย่างไม่ได้
เพราะบางห้อง เด็ก 40-50 คน
ถ้าให้ครูมาหยิบสมุดให้ ให้ครูจัดกระเป๋าและของใช้ส่วนตัวให้ทุกคนคงไม่ทัน
การส่งเสริมพัฒนาการในวัยนี้ ยังไม่ควรโฟกัสวิชาการมากเกินไป
ควรเน้นให้เด็กช่วยเหลือตนเองได้ อธิบายเหตุผลให้ฟัง
รับฟังปัญหาและความรู้สึกเค้า ให้เค้าสื่อสารให้ได้
ตาม คห.ที่ 11 แนะนำเลย คุณควรโฟกัสที่ถูกจุด ไม่ใช้โทษโรงเรียนอย่างเดียว
แต่ควรสอนลูกให้ร็จักเอาตัวรอดให้ได้ครับ
เด็ก 4-6 ขวบเป็นช่วงที่เปลี่ยนแปลงทางร้านร่างกายและจิตใจ
ผู้ปกครองควร สอนให้รู้จักช่วยตัวเองให้มากที่สุดครับ
เช่น ฝึกจัดการกับข้าวของตัวเองให้ได้
ฝึกพัฒนาการ ส่งเสริมกล้ามเนื้อมัดเล็ก
เด็กต้องบอกความรู้สึกตัวเองเบื้องต้นได้
แอบเห็นด้วยกับความเห็นที่ 11 ที่คุณต้องไปพบแพทย์ด่วน
เพื่อคำแนะนำในการปรับตัวของเด็ก
ของบางอย่างจะไปคาดหวังว่าครูประจำชั้นจะทำให้หมดทุกอย่างไม่ได้
เพราะบางห้อง เด็ก 40-50 คน
ถ้าให้ครูมาหยิบสมุดให้ ให้ครูจัดกระเป๋าและของใช้ส่วนตัวให้ทุกคนคงไม่ทัน
การส่งเสริมพัฒนาการในวัยนี้ ยังไม่ควรโฟกัสวิชาการมากเกินไป
ควรเน้นให้เด็กช่วยเหลือตนเองได้ อธิบายเหตุผลให้ฟัง
รับฟังปัญหาและความรู้สึกเค้า ให้เค้าสื่อสารให้ได้
ตาม คห.ที่ 11 แนะนำเลย คุณควรโฟกัสที่ถูกจุด ไม่ใช้โทษโรงเรียนอย่างเดียว
แต่ควรสอนลูกให้ร็จักเอาตัวรอดให้ได้ครับ
แสดงความคิดเห็น
เราคาดหวังจากโรงเรียนลูกมากไปมั้ย (อ.2)
คห.ที่ 61 และ80 และ คห. ก่อนๆหน้า เราขอโทษนะคะ ที่เสียความรู้สึกง่ายเกินไป ต่อไปจะคิดให้มากขึ้น เราผิดเองที่พยายามจะเปลี่ยนความคิดใครหลายๆคนให้มาฟังเรา
ปัญหาน้องจบแล้วนะคะ ตอนนี้ไม่ต้องการคำแนะนำใดๆเพิ่มแล้ว ขอบคุณทุกท่านที่สละเวลาค่ะ