สมมติว่าการออกกำลังกายจะทำให้ร่างกายเกิดเวทนา. เช่น ท่าแพลงก์Plank จะเกิดเวทนาที่ท้อง.
พุทธจะวางจิตกับเวทนาโดย เวทนาไม่ใช่ฉัน แล้วหยุดทำเพื่อให้คลายทุกข์ไหม หรือว่า เมื่อเริ่มตึงตัวมากๆต้องพักแล้วค่อยทำใหม่
ต้องสมมติเป็นออกกำลังกายเเทนอุบัติเหตุ เพราะขัดสมาธิเพชรกับออกกำลังกายหรืออุบัติเหตุ ผลลัพธ์คือเวทนาเกิดที่กาย ต้องแยกกายแยกใจ แต่ต่อให้รู้ทฤษฏีแยกกายแยกจิตก็ไม่สามารถทำให้บรรลุการดูเวทนาแพลงก์ไปจนถึงเวทนาหายได้หรือลอยจิตเหนือเวทนาได้ มีพุทธท่านใดรู้ทฤษฏีการแยกกายแยกจิตแล้วทะลุได้บ้างไหมครับ นอกจากเอาจิตเข้าณาน
ผมเคยส่วนมนต์แบบมหายาน โอมมณีปะทเมหุง สวดจนสมองเบลอลิ้นพันกัน ลืมศัพท์ หลัง240เส้นลูกประจำแล้วอยู่ดีๆจิตมันเบากายเบา สมองเหมือนหลั่งสารเบา เรียกว่าเดินถนนตัวเบาเหมือนลอยได้ และมองอะไรก็ไร้ความคิดโดยสิ้นเชิง จะเรียกง่ายๆว่า จุดความสุขพลั่งพลูก็ได้ แต่เป็นได้ประมาณ15-20นาทีแล้วก็หายไป กับครั้งที่สองอีกทีมันคิดศัพท์ไม่ออกเข้าสู้สภาวะนิ่งไร้ความคิดปรุงแต่งใดๆนิ่งแบบเหมือนเราเป็นความนิ่งไปเลย อารมณ์ไม่ต่างจากเราวิ่งจ๊อกกิ้งและทะลุไปถึงจุดไม่เหนื่อย(นักวิ่งจะเข้าใจจุดไม่เหนื่อยที่ทะลุความเหนื่อย)
ถ้าเทียบความปวดของแพลงก์เป็นการโดนรถชนกระดุกหักกลางถนน คือเวทนาที่ผ่อนไม่ได้ในทางทฤษฏีพุทธ เราจะถูกforceให้อยู่กับมันแน่นอนและไม่ดับด้วย แบบนี้พุทธจะใช้กุลโลบายใดกับแพลงก์ที่มีเวทนาตัวเดียวกับอุบัติเหตุ.
อีกทีลองทำแพลงก์แล้วใช้วิธีแบบพุทธคิด สุดท้ายจะไม่ทะลุเวทนาและเวทนาจะผสมคลุกกับจิตจนต้อง โอ้ยยย และผ่อนลง
สมมติแพลงก์คืออุบัติเหตุนอนจมเวทนา พุทธวางจิตอย่างไร
พุทธจะวางจิตกับเวทนาโดย เวทนาไม่ใช่ฉัน แล้วหยุดทำเพื่อให้คลายทุกข์ไหม หรือว่า เมื่อเริ่มตึงตัวมากๆต้องพักแล้วค่อยทำใหม่
ต้องสมมติเป็นออกกำลังกายเเทนอุบัติเหตุ เพราะขัดสมาธิเพชรกับออกกำลังกายหรืออุบัติเหตุ ผลลัพธ์คือเวทนาเกิดที่กาย ต้องแยกกายแยกใจ แต่ต่อให้รู้ทฤษฏีแยกกายแยกจิตก็ไม่สามารถทำให้บรรลุการดูเวทนาแพลงก์ไปจนถึงเวทนาหายได้หรือลอยจิตเหนือเวทนาได้ มีพุทธท่านใดรู้ทฤษฏีการแยกกายแยกจิตแล้วทะลุได้บ้างไหมครับ นอกจากเอาจิตเข้าณาน
ผมเคยส่วนมนต์แบบมหายาน โอมมณีปะทเมหุง สวดจนสมองเบลอลิ้นพันกัน ลืมศัพท์ หลัง240เส้นลูกประจำแล้วอยู่ดีๆจิตมันเบากายเบา สมองเหมือนหลั่งสารเบา เรียกว่าเดินถนนตัวเบาเหมือนลอยได้ และมองอะไรก็ไร้ความคิดโดยสิ้นเชิง จะเรียกง่ายๆว่า จุดความสุขพลั่งพลูก็ได้ แต่เป็นได้ประมาณ15-20นาทีแล้วก็หายไป กับครั้งที่สองอีกทีมันคิดศัพท์ไม่ออกเข้าสู้สภาวะนิ่งไร้ความคิดปรุงแต่งใดๆนิ่งแบบเหมือนเราเป็นความนิ่งไปเลย อารมณ์ไม่ต่างจากเราวิ่งจ๊อกกิ้งและทะลุไปถึงจุดไม่เหนื่อย(นักวิ่งจะเข้าใจจุดไม่เหนื่อยที่ทะลุความเหนื่อย)
ถ้าเทียบความปวดของแพลงก์เป็นการโดนรถชนกระดุกหักกลางถนน คือเวทนาที่ผ่อนไม่ได้ในทางทฤษฏีพุทธ เราจะถูกforceให้อยู่กับมันแน่นอนและไม่ดับด้วย แบบนี้พุทธจะใช้กุลโลบายใดกับแพลงก์ที่มีเวทนาตัวเดียวกับอุบัติเหตุ.
อีกทีลองทำแพลงก์แล้วใช้วิธีแบบพุทธคิด สุดท้ายจะไม่ทะลุเวทนาและเวทนาจะผสมคลุกกับจิตจนต้อง โอ้ยยย และผ่อนลง