อุจจาระคาลำไส้ อึเต็มท้อง ทำเอาน้องร้องตลอดเวลา
เรื่องการขับถ่ายของเด็กๆ เป็นปัญหาอันดับต้น ๆ ที่คุณพ่อคุณแม่มักจะพบอยู่ตลอดเลยก็ว่าได้นะครับ ลูกๆ ของพี่หมอเองก็เจออยู่บ่อย ๆ วันนี้เลยอยากมาคุยเรื่องนี้ให้คุณพ่อ คุณแม่ได้ฟังกัน
การขับถ่ายของเด็กๆ ทุกกลุ่มอายุ โดยเฉพาะเด็ก 2 ขวบปีแรก เป็นเรื่องสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นอาการปวดท้อง ท้องอืด ท้องผูก ถ่ายเหลว ถ่ายแข็ง ในเด็กบางคนอาจเป็นแบบไม่ทราบสาเหตุ ตรวจไม่พบโรค อาการที่น่าเป็นห่วงอย่างหนึ่งคือ อุจจาระตกค้าง หรืออุจจาระค้างท้อง ซึ่งไม่ได้เกิดเฉพาะในผู้ใหญ่นะครับ เด็กๆ เอง ก็สามารถเป็นได้ไม่น้อยกว่าผู้ใหญ่เลย
อุจจาระตกค้างในท้อง หมายถึงการที่เด็กไม่สามารถขับถ่ายอุจจาระออกมาได้หมด ทำให้รำคาญ เจ็บ ลำบากในการใช้ชีวิต และหากมีอุจจาระตกค้างอยู่ตามผนังลำไส้นานๆ จะทำให้อุจจาระนั้นรวมตัวกันติดแน่น มีขนาดใหญ่ขึ้น หลุดออกไม่ได้ง่ายๆ กลุ่มอุจจาระใหม่ก็ไม่สามารถดันกลุ่มอุจจาระเก่า และถึงแม้จะดันของเก่าออกมาได้ก็ยังไม่สามารถช่วยดันอุจจาระเก่าที่ติดแน่นออกจากลำไส้ได้ทั้งหมด ซึ่งอาการนี้จะส่งผลต่อร่างกายอย่างที่คาดไม่ถึงเลยทีเดียวครับ
สาเหตุหรือความเสี่ยงที่อาจส่งผลให้มีอุจจาระตกค้าง
• กินอาหารชิ้นใหญ่ ทำให้เคี้ยวอาหารไม่ละเอียด อาหารย่อยไม่ได้ในลำไส้
• กินอาหารที่มีกากใยน้อย ทำให้อุจจาระแข็ง ขับถ่ายไม่ออก
• อาจมีการติดเชื้อพยาธิ หรือเชื้อรา ที่ทำให้การดูดซึมผิดปกติ
• การที่เด็กไม่ได้ถ่ายอุจจาระในตอนเช้า ช่วงเวลา 5.00-7.00 น. ซึ่งเป็นเวลาที่ร่างกายจะขับอุจจาระได้ดี
• เด็กบางคนมีการผ่าตัดช่องท้อง จนลำไส้เป็นพังผืด ซึ่งจะทำให้อุจจาระไปตกค้างตามซอกหลืบ
• เด็กที่มีการกลั้นอุจจาระบ่อยๆ จากความกลัวการขับถ่าย เช่น มีแผลที่รูทวารหนัก โดนสวนอุจจาระบ่อยๆ
• เมื่อเด็กท้องผูกนานๆ จะมีลำไส้ยืด พอง มีความยาวของลำไส้มากกว่าปกติ เพราะเมื่อขนาดลำไส้ยาว พับไปมาในช่องท้อง ก็ทำให้การลำเลียงของอุจจาระนานขึ้น เกิดการตกค้างระหว่างทางได้
⚡ อันตรายจากอุจจาระตกค้างในเด็ก ⚡
เมื่อมีอุจจาระตกค้างเพิ่มมากขึ้น จะทำให้อุจจาระที่ตกค้างไปกดดัน ต่อกระเพาะอาหาร และไปกดทับกระเพาะปัสสาวะซึ่งจะทำให้เกิดอาการผิดปกติต่าง ๆ เช่น
◻️ เด็กปวดท้อง จากอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ หรือท้องผูกเรื้อรังเป็นเวลานาน
◻️ ถ่ายอุจจาระแล้วมีเลือดปน
◻️ ถ่ายอุจจาระเล็ดเปื้อน
◻️ เด็กๆ อาจรู้สึกปวดเมื่อยตามร่างกาย ปวดหลัง ปวดขา ปวดไหล่ และสะบัก
◻️ มีอาการเวียนหัว อ่อนเพลีย อาเจียน เบื่ออาหาร
◻️ ร้องงอแง จนไม่สามารถนอนได้ หรือหลับไม่สนิท
◻️เด็กมีอาการปัสสาวะบ่อย กระเพาะปัสสาวะอักเสบ จนถึงกรวยไตอักเสบ
การป้องกันไม่ให้เด็กมีอุจจาระตกค้าง
พยายามสอนหรือจับลูกขับถ่ายให้เป็นเวลา เช่น เมื่อตื่นมาตอนเช้าก็พาไปขับถ่ายหรือนั่งส้วมให้ได้ เวลาที่ดีที่สุดคือช่วง ตี 5 ถึง 7 โมงเช้า โดยไม่กดดันให้เด็กเครียด ไม่ควรใช้วิธีขู่ หรือการสวนอุจจาระ
✔️ ให้เด็กทานอาหารที่มีกากใย เช่น ผัก ผลไม้ต่างๆ
✔️ ดื่มนมให้เพียงพอ กินสารเหลวและน้ำมากๆ เพื่อให้อุจจาระอ่อนนุ่ม
✔️ อย่าให้เด็กกลั้นอุจจาระ เมื่อปวดให้รีบพาไปถ่ายทันที
✔️ กินโยเกิร์ตหรือนมเปรี้ยว ให้ได้จุลินทรีย์สุขภาพ อุจจาระจะฟูนุ่ม
✔️ หลังรับประทานนมหรืออาหาร พยายามช่วยให้น้องได้มีการขยับร่างกายเล็กน้อย เพื่อให้ลำไส้ได้มีการบีบตัว จะช่วยทำให้กระเพาะอาหารย่อยอาหารได้ง่ายขึ้น และทำให้เกิดการขับถ่ายที่คล่องขึ้น
✔️ หากมีปัญหาเรื่องการขับถ่าย สามารถเลือกรับประทานอาหารที่ช่วยให้การขับถ่ายดีขึ้น เช่น นม โยเกิร์ต ผลไม้รสเปรี้ยว ลูกพรุน น้ำส้ม น้ำมะนาว
การตรวจและรักษาอาการอุจจาระตกค้าง
เมื่อพ่อแม่รู้สึกว่า เด็กมีอาการเหมือนไม่สบายตัว มีอาการปวดท้อง ร้องงอแงไม่ทราบสาเหตุ ท้องอืดบวม ถ่ายมีเลือดปนพี่หมอแนะนำให้พาน้องมาตรวจระบบทางเดินอาหาร พบแพทย์เพื่อซักประวัติ ตรวจอุจจาระ ตรวจภายในทวารหนักอย่างละเอียด หรือถ้ามีโรคทางเดินอาหารอื่นร่วมด้วย อาจจะมีการตรวจแบบส่องกล้องทางเดินอาหาร โดยการใช้กล้องที่มีสายยาวสอดเข้าไปทางปากหรือทวารหนัก โดยแบ่งเป็นการส่องกล้องทางเดินอาหารส่วนบนเพื่อตรวจดูหลอดอาหาร กระเพาะ และลำไส้เล็กส่วนต้น ใช้เวลาตรวจประมาณ 10 นาที และส่องกล้องทางเดินอาหารส่วนล่างเพื่อตรวจดูลำไส้เล็กส่วนปลาย ลำไส้ใหญ่ และทวารหนัก ใช้เวลาตรวจประมาณ 30-60 นาที นอกจากนี้ยังมีการส่องกล้องด้วยวิธีกลืนแคปซูลทางปากสำหรับเพื่อตรวจวินิจฉัยบริเวณลำไส้เล็กส่วนกลาง โดยปกติใช้เวลาตรวจประมาณ 8-12 ชั่วโมง ซึ่งบอกได้ถึงพยาธิสภาพ ภายในทางเดินอาหารทั้งหมด การตรวจดังกล่าวเป็นการตรวจวินิจฉัยในเด็กโดยเฉพาะ โดยให้เด็กหลับ เพื่อลดความกลัว ไม่เจ็บ เป็นการช่วยแก้ไขปัญหา หาสาเหตุ เพื่อการรักษาแบบตรงจุดที่สุดครับ
ปัญหาที่เกิดขึ้นจากการขับถ่ายเป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้ามนะครับ ถือเป็นเรื่องสำคัญมาก เพราะการขับถ่ายจะส่งผลกระทบต่อระบบต่างๆ ในร่างกายภายในเกือบทั้งหมด ดังนั้นหากพบว่าลูกมีอาการ ปวดท้อง ท้องอืด ท้องเฟ้อ ท้องผูกเรื้อรัง ถ่ายมีเลือดปนในอุจจาระ ร้องงอแง อาเจียน นอนไม่หลับ อย่าปล่อยไว้ หรือซื้อยามาให้เด็กทานเอง ควรพาน้องมาพบแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุและวางแผนรักษาดีกว่านะครับ พี่หมอแนะนำ 😊
อุจจาระคาลำไส้ อึเต็มท้อง ทำเอาน้องร้องตลอดเวลา
อุจจาระคาลำไส้ อึเต็มท้อง ทำเอาน้องร้องตลอดเวลา
เรื่องการขับถ่ายของเด็กๆ เป็นปัญหาอันดับต้น ๆ ที่คุณพ่อคุณแม่มักจะพบอยู่ตลอดเลยก็ว่าได้นะครับ ลูกๆ ของพี่หมอเองก็เจออยู่บ่อย ๆ วันนี้เลยอยากมาคุยเรื่องนี้ให้คุณพ่อ คุณแม่ได้ฟังกัน
การขับถ่ายของเด็กๆ ทุกกลุ่มอายุ โดยเฉพาะเด็ก 2 ขวบปีแรก เป็นเรื่องสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นอาการปวดท้อง ท้องอืด ท้องผูก ถ่ายเหลว ถ่ายแข็ง ในเด็กบางคนอาจเป็นแบบไม่ทราบสาเหตุ ตรวจไม่พบโรค อาการที่น่าเป็นห่วงอย่างหนึ่งคือ อุจจาระตกค้าง หรืออุจจาระค้างท้อง ซึ่งไม่ได้เกิดเฉพาะในผู้ใหญ่นะครับ เด็กๆ เอง ก็สามารถเป็นได้ไม่น้อยกว่าผู้ใหญ่เลย
อุจจาระตกค้างในท้อง หมายถึงการที่เด็กไม่สามารถขับถ่ายอุจจาระออกมาได้หมด ทำให้รำคาญ เจ็บ ลำบากในการใช้ชีวิต และหากมีอุจจาระตกค้างอยู่ตามผนังลำไส้นานๆ จะทำให้อุจจาระนั้นรวมตัวกันติดแน่น มีขนาดใหญ่ขึ้น หลุดออกไม่ได้ง่ายๆ กลุ่มอุจจาระใหม่ก็ไม่สามารถดันกลุ่มอุจจาระเก่า และถึงแม้จะดันของเก่าออกมาได้ก็ยังไม่สามารถช่วยดันอุจจาระเก่าที่ติดแน่นออกจากลำไส้ได้ทั้งหมด ซึ่งอาการนี้จะส่งผลต่อร่างกายอย่างที่คาดไม่ถึงเลยทีเดียวครับ
สาเหตุหรือความเสี่ยงที่อาจส่งผลให้มีอุจจาระตกค้าง
• กินอาหารชิ้นใหญ่ ทำให้เคี้ยวอาหารไม่ละเอียด อาหารย่อยไม่ได้ในลำไส้
• กินอาหารที่มีกากใยน้อย ทำให้อุจจาระแข็ง ขับถ่ายไม่ออก
• อาจมีการติดเชื้อพยาธิ หรือเชื้อรา ที่ทำให้การดูดซึมผิดปกติ
• การที่เด็กไม่ได้ถ่ายอุจจาระในตอนเช้า ช่วงเวลา 5.00-7.00 น. ซึ่งเป็นเวลาที่ร่างกายจะขับอุจจาระได้ดี
• เด็กบางคนมีการผ่าตัดช่องท้อง จนลำไส้เป็นพังผืด ซึ่งจะทำให้อุจจาระไปตกค้างตามซอกหลืบ
• เด็กที่มีการกลั้นอุจจาระบ่อยๆ จากความกลัวการขับถ่าย เช่น มีแผลที่รูทวารหนัก โดนสวนอุจจาระบ่อยๆ
• เมื่อเด็กท้องผูกนานๆ จะมีลำไส้ยืด พอง มีความยาวของลำไส้มากกว่าปกติ เพราะเมื่อขนาดลำไส้ยาว พับไปมาในช่องท้อง ก็ทำให้การลำเลียงของอุจจาระนานขึ้น เกิดการตกค้างระหว่างทางได้
⚡ อันตรายจากอุจจาระตกค้างในเด็ก ⚡
เมื่อมีอุจจาระตกค้างเพิ่มมากขึ้น จะทำให้อุจจาระที่ตกค้างไปกดดัน ต่อกระเพาะอาหาร และไปกดทับกระเพาะปัสสาวะซึ่งจะทำให้เกิดอาการผิดปกติต่าง ๆ เช่น
◻️ เด็กปวดท้อง จากอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ หรือท้องผูกเรื้อรังเป็นเวลานาน
◻️ ถ่ายอุจจาระแล้วมีเลือดปน
◻️ ถ่ายอุจจาระเล็ดเปื้อน
◻️ เด็กๆ อาจรู้สึกปวดเมื่อยตามร่างกาย ปวดหลัง ปวดขา ปวดไหล่ และสะบัก
◻️ มีอาการเวียนหัว อ่อนเพลีย อาเจียน เบื่ออาหาร
◻️ ร้องงอแง จนไม่สามารถนอนได้ หรือหลับไม่สนิท
◻️เด็กมีอาการปัสสาวะบ่อย กระเพาะปัสสาวะอักเสบ จนถึงกรวยไตอักเสบ
การป้องกันไม่ให้เด็กมีอุจจาระตกค้าง
พยายามสอนหรือจับลูกขับถ่ายให้เป็นเวลา เช่น เมื่อตื่นมาตอนเช้าก็พาไปขับถ่ายหรือนั่งส้วมให้ได้ เวลาที่ดีที่สุดคือช่วง ตี 5 ถึง 7 โมงเช้า โดยไม่กดดันให้เด็กเครียด ไม่ควรใช้วิธีขู่ หรือการสวนอุจจาระ
✔️ ให้เด็กทานอาหารที่มีกากใย เช่น ผัก ผลไม้ต่างๆ
✔️ ดื่มนมให้เพียงพอ กินสารเหลวและน้ำมากๆ เพื่อให้อุจจาระอ่อนนุ่ม
✔️ อย่าให้เด็กกลั้นอุจจาระ เมื่อปวดให้รีบพาไปถ่ายทันที
✔️ กินโยเกิร์ตหรือนมเปรี้ยว ให้ได้จุลินทรีย์สุขภาพ อุจจาระจะฟูนุ่ม
✔️ หลังรับประทานนมหรืออาหาร พยายามช่วยให้น้องได้มีการขยับร่างกายเล็กน้อย เพื่อให้ลำไส้ได้มีการบีบตัว จะช่วยทำให้กระเพาะอาหารย่อยอาหารได้ง่ายขึ้น และทำให้เกิดการขับถ่ายที่คล่องขึ้น
✔️ หากมีปัญหาเรื่องการขับถ่าย สามารถเลือกรับประทานอาหารที่ช่วยให้การขับถ่ายดีขึ้น เช่น นม โยเกิร์ต ผลไม้รสเปรี้ยว ลูกพรุน น้ำส้ม น้ำมะนาว
การตรวจและรักษาอาการอุจจาระตกค้าง
เมื่อพ่อแม่รู้สึกว่า เด็กมีอาการเหมือนไม่สบายตัว มีอาการปวดท้อง ร้องงอแงไม่ทราบสาเหตุ ท้องอืดบวม ถ่ายมีเลือดปนพี่หมอแนะนำให้พาน้องมาตรวจระบบทางเดินอาหาร พบแพทย์เพื่อซักประวัติ ตรวจอุจจาระ ตรวจภายในทวารหนักอย่างละเอียด หรือถ้ามีโรคทางเดินอาหารอื่นร่วมด้วย อาจจะมีการตรวจแบบส่องกล้องทางเดินอาหาร โดยการใช้กล้องที่มีสายยาวสอดเข้าไปทางปากหรือทวารหนัก โดยแบ่งเป็นการส่องกล้องทางเดินอาหารส่วนบนเพื่อตรวจดูหลอดอาหาร กระเพาะ และลำไส้เล็กส่วนต้น ใช้เวลาตรวจประมาณ 10 นาที และส่องกล้องทางเดินอาหารส่วนล่างเพื่อตรวจดูลำไส้เล็กส่วนปลาย ลำไส้ใหญ่ และทวารหนัก ใช้เวลาตรวจประมาณ 30-60 นาที นอกจากนี้ยังมีการส่องกล้องด้วยวิธีกลืนแคปซูลทางปากสำหรับเพื่อตรวจวินิจฉัยบริเวณลำไส้เล็กส่วนกลาง โดยปกติใช้เวลาตรวจประมาณ 8-12 ชั่วโมง ซึ่งบอกได้ถึงพยาธิสภาพ ภายในทางเดินอาหารทั้งหมด การตรวจดังกล่าวเป็นการตรวจวินิจฉัยในเด็กโดยเฉพาะ โดยให้เด็กหลับ เพื่อลดความกลัว ไม่เจ็บ เป็นการช่วยแก้ไขปัญหา หาสาเหตุ เพื่อการรักษาแบบตรงจุดที่สุดครับ
ปัญหาที่เกิดขึ้นจากการขับถ่ายเป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้ามนะครับ ถือเป็นเรื่องสำคัญมาก เพราะการขับถ่ายจะส่งผลกระทบต่อระบบต่างๆ ในร่างกายภายในเกือบทั้งหมด ดังนั้นหากพบว่าลูกมีอาการ ปวดท้อง ท้องอืด ท้องเฟ้อ ท้องผูกเรื้อรัง ถ่ายมีเลือดปนในอุจจาระ ร้องงอแง อาเจียน นอนไม่หลับ อย่าปล่อยไว้ หรือซื้อยามาให้เด็กทานเอง ควรพาน้องมาพบแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุและวางแผนรักษาดีกว่านะครับ พี่หมอแนะนำ 😊