บิ๊กตู่" เผย ไทยรับเลือกเป็นที่ตั้งสนง.เลขาฯศูนย์อาเซียน รับมือภาวะฉุกเฉินสาธารณสุข-โรคอุบัติใหม่
นายกฯ เผย ข่าวดีไทยได้รับเลือกเป็นที่ตั้งสำนักงานเลขาธิการของศูนย์อาเซียนด้านการรับมือกับภาวะฉุกเฉินทางสาธารณสุขและโรคอุบัติใหม่ ยกการแพทย์ไทยไม่แพ้ใครในโลก
เมื่อเวลา 12.50 น.ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม กล่าวภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.)ว่า การผลักดันให้ไทยเป็นศูนย์กลาง ด้านการแพทย์และสาธารณสุขของโลก ล่าสุด ประเทศไทยได้รับเลือกให้เป็นที่ตั้งของสำนักงานเลขาธิการของศูนย์อาเซียนด้านการรับมือกับภาวะฉุกเฉินทางสาธารณสุขและโรคอุบัติใหม่ ซึ่งจะทำการเปิดสำนักงานฯในเดือนส.ค.นี้
นอกจากนี้องค์การอนามัยโลก(WHO) ให้การยอมรับและชื่นชมประเทศไทยที่สามารถรับมือสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 ได้ดีที่สุด ถือเป็นอันดับต้นๆของโลก ซึ่งประเทศไทยได้มีเปรียบ มีความพร้อม ที่ทั่วโลกยอมรับ เช่น เรามีบุคคลากรด้านการแพทย์ที่มีคุณภาพ มีความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง มีการใช้นวัตกรรม และเทคโนโลยีชั้นสูง ในการให้บริการรักษา เรามีโรงพยาบาล และศูนย์การแพทย์ ที่ได้รับรองมาตรฐานระดับสากลถึง 58 แห่ง ซึ่งมีจำนวนมากที่สุดในเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ และเป็นอันดับ 4 ของโลก ซึ่งเป็นส่ิงที่เราน่าภาคภูมิใจที่บุคคลากรทางการแพทย์ของไทยไม่แพ้ใครในโลก และเชื่อว่าเราจะสามารถก้าวขึ้นไปเป็นหนึ่งในประเทศชั้นนำด้านการแพทย์ของโลก ในอนาคตได้อย่างแน่นอน
https://mgronline.com/politics/detail/9650000046794
อนุทิน” ประชุมร่วมรัฐมนตรี สธ.อาเซียน ดันไทยเป็นศูนย์กลางภูมิภาค แก้ปัญหาโรคอุบัติใหม่
14 พ.ค.) ณ โรงแรมคอนราด บาหลี สาธารณรัฐอินโดนีเซีย ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ได้นำคณะผู้บริหารกระทรวง เข้าร่วมประชุม รัฐมนตรีสาธารณสุขอาเซียน (ASEAN Health Ministers Meeting : AHMM) ครั้งที่ 15 หารือกันในครั้งนี้ จะได้มีการแลกเปลี่ยนข้อมูลสถานการณ์รวมถึงการบริหารจัดการต่อการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ตลอดจนการดำเนินมาตรการด้านสาธารณสุขเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจ สังคมในภูมิภาคภายหลังการแพร่ระบาด
โดย นายอนุทิน กล่าวในที่ประชุมภายใต้หัวข้อ “การสร้างความยืดหยุ่นของระบบสุขภาพและการเร่งฟื้นสถานการณ์ในภูมิภาค หลังการระบาดของโควิด-19” ว่า การระบาดของโควิด-19 ได้ทดสอบระบบสาธารณสุขของภูมิภาคอาเซียน ในทุกมิติ นี่คือความท้าทายมากในการดูแลระบบพื้นฐาน ไปพร้อมกับการควบคุมโรค ซึ่งเราได้เห็นความกระตือรือร้นของภูมิภาคอาเซียน เพื่อแก้ไขวิกฤต เช่น การเดินหน้าตั้งเครือข่ายการรับมือภาวะฉุกเฉินด้านสาธารณสุข ไปจนถึงการสร้างบุคลากรการแพทย์ ในตำแหน่งต่างๆ เพื่อหยุดยั้งการระบาด อาเซียน ได้ร่วมมือกับนานาชาติ เพื่อเสริมสร้างความมั่นคงสูงสุด ตอนนี้ สถานการณ์โควิด-19 คลี่คลาย ถึงเวลาที่เราต้องหาทางเร่งการฟื้นตัวในภาคส่วนขณะที่เรื่องของสาธารณสุข ต้องดำเนินการควบคู่กันไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งต้องเป็นไปตามแผนยุทธศาสตร์ ปี 2021-2025 เพื่อการพัฒนาสุขภาพอาเซียน กรอบการพัฒนา มีด้วยกัน 5 กลยุทธ์กว้างๆ และที่สำคัญ คือ การตั้งศูนย์อาเซียนด้านภาวะฉุกเฉินทางสาธารณสุขและโรคอุบัติใหม่ (ASEAN Centre for Public Health Emergencies and Emerging Diseases: ACPHEED) โดยเสนอให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางหลัก และไทยพร้อมเป็นเจ้าภาพในการดำเนินเรื่องนี้ และมั่นใจว่า จะเป็นประโยชน์แก่พลเมืองอาเซียนทั้งภูมิภาค
ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า สำหรับศูนย์ ACPHEED เป็นแนวคิดของผู้นำอาเซียน จากการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 37 เมื่อเดือน พ.ย. 2563 ซึ่งมี 3 ประเทศสมาชิก ได้แก่ ไทย อินโดนีเซีย และ เวียดนาม เป็นผู้ขับเคลื่อนหลัก ซึ่งที่ผ่านมา ได้มีการการประชุมระดับเจ้าหน้าที่อาวุโสด้านการพัฒนาสาธารณสุข (SOMHD) มาโดยต่อเนื่อง
ในวันเดียวกัน นายอนุทิน ได้เข้าร่วมการหารือกับรัฐมนตรีสาธารณสุขอย่างไม่เป็นทางการ (AHMM Retreat) ในการจัดทำข้อตกลงการยอมรับใบรับรองสุขภาพโควิด-19 เพื่อช่วยอำนวยความสะดวกในการเดินทางข้ามพรมแดนระหว่างกันของประเทศสมาชิกอาเซียน ซึ่งประเทศไทยได้สนับสนุนการจัดทำข้อตกลงดังกล่าว เนื่องจากจะทำให้การเดินทางไปมาระหว่างภูมิภาคสะดวกและจะช่วยฟื้นฟูด้านเศรษฐกิจด้วย
สำหรับภารกิจของนายอนุทินและคณะนั้น นอกจาก นายอนุทิน จะได้หารือระหว่างประเทศสมาชิกอาซียนแล้ว ยังได้ร่วมคณะรัฐมนตรีสาธารณสุขอาเซียน ประชุมกับประเทศคู่เจรจา ได้แก่ การประชุมรัฐมนตรีสาธารณสุขอาเซียน บวก3 (จีน ญี่ปุ่น และ สาธารณรัฐเกาหลี) และการประชุมรัฐมนตรีสาธารณสุขอาเซียน-สหรัฐอเมริกา เป็นต้น พร้อมกันนี้ นายอนุทิน มีกำหนดการหารือแบบทวิภาคีในประเด็นความร่วมมือด้านสาธารณสุขกับรัฐมนตรีสาธารณสุขสหรัฐอเมริกา และรัฐมนตรีสาธารณสุขสิงคโปร์ อีกด้วย
ขณะที่เฟซบุ๊ก “Anutin Charnvirakul” ปรากฏข้อความว่า
“มาประชุมรัฐมนตรีสาธารณสุขอาเซียน บวกสาม ครับ ทริปนี้ถือว่าคุ้มค่ามากเพราะนอกจากจะประชุมร่วมอาเซียนแล้ว ยังมีจีน ญี่ปุ่น เกาหลี เข้าร่วม และผมก็จะได้หารือกับรัฐมนตรีสาธารณสุขสหรัฐอเมริกา อินโดนีเซีย เมียนมา และ สิงคโปร์ ด้วย ความร่วมมือด้านสาธารณสุขในภูมิภาคจะทำให้เรามีความมั่นคงทางสาธารณสุขไปด้วยกันภายหลังการเปิดประเทศอย่างเต็มที่ ในอนาคตอันใกล้นี้ ประเทศไทยจะมีความพร้อมยิ่งขึ้นที่จะรับมือกับเหตุฉุกเฉินทางสาธารณสุขที่อาจเกิดขึ้นได้อีกได้ในอนาคต
สิ่งที่น่ายินดี คือ ไทยเราได้รับการยกย่องจากองค์การอนามัยโลกให้เป็นต้นแบบด้านการรับมือกับสถานการณ์โควิดซึ่งเป็นผลมาจากการที่องค์การอนามัยโลกได้ส่งทีมเข้ามาทำการติดตาม ศึกษา และหาข้อมูลเพื่อประเมินสถานการณ์การรับมือกับโรคระบาดในประเทศไทย ซึ่งมีชื่อเรียกอย่างเป็นทางการว่า Universal Health Preparedness Reviews หรือเรียกคำย่อสั้นๆว่า UHPR
เมื่อวานนี้ ที่บาหลี ทีมไทยแลนด์ได้ทำการเจรจากับกลุ่มประเทศสมาชิกอาเซียน จนมีข้อตกลงว่าประเทศไทยจะได้เป็นที่จัดตั้งศูนย์กลางการแพทย์ฉุกเฉินและโรคอุบัติใหม่แห่งอาเซียน ซึ่งเป็นหนึ่งในยุทธศาสตร์การวางระบบสุขภาพในภูมิภาคอาเซียน นี่คือการตอกย้ำความเป็นผู้นำทางสาธารณสุขของไทยในภูมิภาค
ความสำเร็จที่เกิดขึ้นเป็นสิ่งที่หลายประเทศต้องการเรียนรู้จากเรา ผมจึงใช้โอกาสนี้เล่าไปว่าไทยเรามี “คนไทย” เป็นปัจจัยสำคัญที่สุดของความสำเร็จในการรับมือกับโควิด เรามีการดูแลซึ่งกันและกันผ่านเครือข่าย อสม. และมีความร่วมมือจากพี่น้องประชาชนในระดับที่สูงเป็นอย่างมาก นอกจากนี้ระบบหลักประกันสุขภาพของไทยก็เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เรารับมือกับโรคระบาดต่างๆได้อย่างทันท่วงที อีกทั้งการให้ความสำคัญกับเรื่องสุขภาพของประชาชนโดยรัฐบาลนั้นเป็นไปในรูปแบบ การใส่ใจอย่างเต็มที่เพื่อให้ประชาชนปลอดภัยและมีสุขภาพดี เราจึงได้มีความพร้อมทางด้านการสาธารณสุขเป็นอันดับต้นๆ ของโลก
อยู่แดนอิเหนาต่ออีกวัน มีภารกิจต้องหารือกับหลายประเทศ แล้วก็ต้องบินต่อไปประชุมด้านการคมนาคมขนส่งกับรัฐบาลสิงคโปร์ร่วมกับ รมต. ศักดิ์สยาม ชิดชอบ อีกสองวันที่ประเทศสิงคโปร์ คาดว่าน่าจะได้ประโยชน์หลายอย่างต่อประเทศไทยของเราเพิ่มมากขึ้นอีกครับ”
https://mgronline.com/politics/detail/9650000045862
....ไทยเก่งทั้งทีมแพทย์ บุคลากรกระทรวงสาธารณสุข และทีมรัฐบาล
ไทยเป็นที่ยอมรับจากต่างประเทศ เป็นที่เชื่อมั่นในการทำงานรับมือโควิด
ต้องปรบมือให้ทุกคนที่ทำงานนี้เลยค่ะ
น่าปลื้มแทนลุงตู่นะคะ ได้คนทำงานดีๆมาทำงานให้ ใช้คนทำงานเป็น
ผู้นำดี พาบ้านเมืองดีไปด้วยค่ะ.....
💗มาลาริน/ไทยเก่ง...บิ๊กตู่" เผย ไทยรับเลือกเป็นที่ตั้งสนง.เลขาฯศูนย์อาเซียน รับมือภาวะฉุกเฉินสาธารณสุข-โรคอุบัติใหม่
นายกฯ เผย ข่าวดีไทยได้รับเลือกเป็นที่ตั้งสำนักงานเลขาธิการของศูนย์อาเซียนด้านการรับมือกับภาวะฉุกเฉินทางสาธารณสุขและโรคอุบัติใหม่ ยกการแพทย์ไทยไม่แพ้ใครในโลก
เมื่อเวลา 12.50 น.ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม กล่าวภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.)ว่า การผลักดันให้ไทยเป็นศูนย์กลาง ด้านการแพทย์และสาธารณสุขของโลก ล่าสุด ประเทศไทยได้รับเลือกให้เป็นที่ตั้งของสำนักงานเลขาธิการของศูนย์อาเซียนด้านการรับมือกับภาวะฉุกเฉินทางสาธารณสุขและโรคอุบัติใหม่ ซึ่งจะทำการเปิดสำนักงานฯในเดือนส.ค.นี้
นอกจากนี้องค์การอนามัยโลก(WHO) ให้การยอมรับและชื่นชมประเทศไทยที่สามารถรับมือสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 ได้ดีที่สุด ถือเป็นอันดับต้นๆของโลก ซึ่งประเทศไทยได้มีเปรียบ มีความพร้อม ที่ทั่วโลกยอมรับ เช่น เรามีบุคคลากรด้านการแพทย์ที่มีคุณภาพ มีความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง มีการใช้นวัตกรรม และเทคโนโลยีชั้นสูง ในการให้บริการรักษา เรามีโรงพยาบาล และศูนย์การแพทย์ ที่ได้รับรองมาตรฐานระดับสากลถึง 58 แห่ง ซึ่งมีจำนวนมากที่สุดในเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ และเป็นอันดับ 4 ของโลก ซึ่งเป็นส่ิงที่เราน่าภาคภูมิใจที่บุคคลากรทางการแพทย์ของไทยไม่แพ้ใครในโลก และเชื่อว่าเราจะสามารถก้าวขึ้นไปเป็นหนึ่งในประเทศชั้นนำด้านการแพทย์ของโลก ในอนาคตได้อย่างแน่นอน
https://mgronline.com/politics/detail/9650000046794
อนุทิน” ประชุมร่วมรัฐมนตรี สธ.อาเซียน ดันไทยเป็นศูนย์กลางภูมิภาค แก้ปัญหาโรคอุบัติใหม่
14 พ.ค.) ณ โรงแรมคอนราด บาหลี สาธารณรัฐอินโดนีเซีย ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ได้นำคณะผู้บริหารกระทรวง เข้าร่วมประชุม รัฐมนตรีสาธารณสุขอาเซียน (ASEAN Health Ministers Meeting : AHMM) ครั้งที่ 15 หารือกันในครั้งนี้ จะได้มีการแลกเปลี่ยนข้อมูลสถานการณ์รวมถึงการบริหารจัดการต่อการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ตลอดจนการดำเนินมาตรการด้านสาธารณสุขเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจ สังคมในภูมิภาคภายหลังการแพร่ระบาด
โดย นายอนุทิน กล่าวในที่ประชุมภายใต้หัวข้อ “การสร้างความยืดหยุ่นของระบบสุขภาพและการเร่งฟื้นสถานการณ์ในภูมิภาค หลังการระบาดของโควิด-19” ว่า การระบาดของโควิด-19 ได้ทดสอบระบบสาธารณสุขของภูมิภาคอาเซียน ในทุกมิติ นี่คือความท้าทายมากในการดูแลระบบพื้นฐาน ไปพร้อมกับการควบคุมโรค ซึ่งเราได้เห็นความกระตือรือร้นของภูมิภาคอาเซียน เพื่อแก้ไขวิกฤต เช่น การเดินหน้าตั้งเครือข่ายการรับมือภาวะฉุกเฉินด้านสาธารณสุข ไปจนถึงการสร้างบุคลากรการแพทย์ ในตำแหน่งต่างๆ เพื่อหยุดยั้งการระบาด อาเซียน ได้ร่วมมือกับนานาชาติ เพื่อเสริมสร้างความมั่นคงสูงสุด ตอนนี้ สถานการณ์โควิด-19 คลี่คลาย ถึงเวลาที่เราต้องหาทางเร่งการฟื้นตัวในภาคส่วนขณะที่เรื่องของสาธารณสุข ต้องดำเนินการควบคู่กันไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งต้องเป็นไปตามแผนยุทธศาสตร์ ปี 2021-2025 เพื่อการพัฒนาสุขภาพอาเซียน กรอบการพัฒนา มีด้วยกัน 5 กลยุทธ์กว้างๆ และที่สำคัญ คือ การตั้งศูนย์อาเซียนด้านภาวะฉุกเฉินทางสาธารณสุขและโรคอุบัติใหม่ (ASEAN Centre for Public Health Emergencies and Emerging Diseases: ACPHEED) โดยเสนอให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางหลัก และไทยพร้อมเป็นเจ้าภาพในการดำเนินเรื่องนี้ และมั่นใจว่า จะเป็นประโยชน์แก่พลเมืองอาเซียนทั้งภูมิภาค
ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า สำหรับศูนย์ ACPHEED เป็นแนวคิดของผู้นำอาเซียน จากการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 37 เมื่อเดือน พ.ย. 2563 ซึ่งมี 3 ประเทศสมาชิก ได้แก่ ไทย อินโดนีเซีย และ เวียดนาม เป็นผู้ขับเคลื่อนหลัก ซึ่งที่ผ่านมา ได้มีการการประชุมระดับเจ้าหน้าที่อาวุโสด้านการพัฒนาสาธารณสุข (SOMHD) มาโดยต่อเนื่อง
ในวันเดียวกัน นายอนุทิน ได้เข้าร่วมการหารือกับรัฐมนตรีสาธารณสุขอย่างไม่เป็นทางการ (AHMM Retreat) ในการจัดทำข้อตกลงการยอมรับใบรับรองสุขภาพโควิด-19 เพื่อช่วยอำนวยความสะดวกในการเดินทางข้ามพรมแดนระหว่างกันของประเทศสมาชิกอาเซียน ซึ่งประเทศไทยได้สนับสนุนการจัดทำข้อตกลงดังกล่าว เนื่องจากจะทำให้การเดินทางไปมาระหว่างภูมิภาคสะดวกและจะช่วยฟื้นฟูด้านเศรษฐกิจด้วย
สำหรับภารกิจของนายอนุทินและคณะนั้น นอกจาก นายอนุทิน จะได้หารือระหว่างประเทศสมาชิกอาซียนแล้ว ยังได้ร่วมคณะรัฐมนตรีสาธารณสุขอาเซียน ประชุมกับประเทศคู่เจรจา ได้แก่ การประชุมรัฐมนตรีสาธารณสุขอาเซียน บวก3 (จีน ญี่ปุ่น และ สาธารณรัฐเกาหลี) และการประชุมรัฐมนตรีสาธารณสุขอาเซียน-สหรัฐอเมริกา เป็นต้น พร้อมกันนี้ นายอนุทิน มีกำหนดการหารือแบบทวิภาคีในประเด็นความร่วมมือด้านสาธารณสุขกับรัฐมนตรีสาธารณสุขสหรัฐอเมริกา และรัฐมนตรีสาธารณสุขสิงคโปร์ อีกด้วย
ขณะที่เฟซบุ๊ก “Anutin Charnvirakul” ปรากฏข้อความว่า
“มาประชุมรัฐมนตรีสาธารณสุขอาเซียน บวกสาม ครับ ทริปนี้ถือว่าคุ้มค่ามากเพราะนอกจากจะประชุมร่วมอาเซียนแล้ว ยังมีจีน ญี่ปุ่น เกาหลี เข้าร่วม และผมก็จะได้หารือกับรัฐมนตรีสาธารณสุขสหรัฐอเมริกา อินโดนีเซีย เมียนมา และ สิงคโปร์ ด้วย ความร่วมมือด้านสาธารณสุขในภูมิภาคจะทำให้เรามีความมั่นคงทางสาธารณสุขไปด้วยกันภายหลังการเปิดประเทศอย่างเต็มที่ ในอนาคตอันใกล้นี้ ประเทศไทยจะมีความพร้อมยิ่งขึ้นที่จะรับมือกับเหตุฉุกเฉินทางสาธารณสุขที่อาจเกิดขึ้นได้อีกได้ในอนาคต
สิ่งที่น่ายินดี คือ ไทยเราได้รับการยกย่องจากองค์การอนามัยโลกให้เป็นต้นแบบด้านการรับมือกับสถานการณ์โควิดซึ่งเป็นผลมาจากการที่องค์การอนามัยโลกได้ส่งทีมเข้ามาทำการติดตาม ศึกษา และหาข้อมูลเพื่อประเมินสถานการณ์การรับมือกับโรคระบาดในประเทศไทย ซึ่งมีชื่อเรียกอย่างเป็นทางการว่า Universal Health Preparedness Reviews หรือเรียกคำย่อสั้นๆว่า UHPR
เมื่อวานนี้ ที่บาหลี ทีมไทยแลนด์ได้ทำการเจรจากับกลุ่มประเทศสมาชิกอาเซียน จนมีข้อตกลงว่าประเทศไทยจะได้เป็นที่จัดตั้งศูนย์กลางการแพทย์ฉุกเฉินและโรคอุบัติใหม่แห่งอาเซียน ซึ่งเป็นหนึ่งในยุทธศาสตร์การวางระบบสุขภาพในภูมิภาคอาเซียน นี่คือการตอกย้ำความเป็นผู้นำทางสาธารณสุขของไทยในภูมิภาค
ความสำเร็จที่เกิดขึ้นเป็นสิ่งที่หลายประเทศต้องการเรียนรู้จากเรา ผมจึงใช้โอกาสนี้เล่าไปว่าไทยเรามี “คนไทย” เป็นปัจจัยสำคัญที่สุดของความสำเร็จในการรับมือกับโควิด เรามีการดูแลซึ่งกันและกันผ่านเครือข่าย อสม. และมีความร่วมมือจากพี่น้องประชาชนในระดับที่สูงเป็นอย่างมาก นอกจากนี้ระบบหลักประกันสุขภาพของไทยก็เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เรารับมือกับโรคระบาดต่างๆได้อย่างทันท่วงที อีกทั้งการให้ความสำคัญกับเรื่องสุขภาพของประชาชนโดยรัฐบาลนั้นเป็นไปในรูปแบบ การใส่ใจอย่างเต็มที่เพื่อให้ประชาชนปลอดภัยและมีสุขภาพดี เราจึงได้มีความพร้อมทางด้านการสาธารณสุขเป็นอันดับต้นๆ ของโลก
อยู่แดนอิเหนาต่ออีกวัน มีภารกิจต้องหารือกับหลายประเทศ แล้วก็ต้องบินต่อไปประชุมด้านการคมนาคมขนส่งกับรัฐบาลสิงคโปร์ร่วมกับ รมต. ศักดิ์สยาม ชิดชอบ อีกสองวันที่ประเทศสิงคโปร์ คาดว่าน่าจะได้ประโยชน์หลายอย่างต่อประเทศไทยของเราเพิ่มมากขึ้นอีกครับ”
https://mgronline.com/politics/detail/9650000045862
....ไทยเก่งทั้งทีมแพทย์ บุคลากรกระทรวงสาธารณสุข และทีมรัฐบาล
ไทยเป็นที่ยอมรับจากต่างประเทศ เป็นที่เชื่อมั่นในการทำงานรับมือโควิด
ต้องปรบมือให้ทุกคนที่ทำงานนี้เลยค่ะ
น่าปลื้มแทนลุงตู่นะคะ ได้คนทำงานดีๆมาทำงานให้ ใช้คนทำงานเป็น
ผู้นำดี พาบ้านเมืองดีไปด้วยค่ะ.....