เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2565 “ศูนย์ข้อมูล COVID-19” สรุปรายงานยอดผู้ติดเชื้อโควิด-19 ประจำวันเสาร์ที่ 14 พฤษภาคม 2565 รวม 6,736 ราย จำแนกเป็น ผู้ป่วยจากในประเทศ 6,734 ราย ผู้ป่วยมาจากต่างประเทศ 2 ราย ผู้ป่วยสะสม 2,144,317 ราย (ตั้งแต่ 1 มกราคม 2565) หายป่วยกลับบ้าน 9,213 ราย หายป่วยสะสม 2,096,504 ราย (ตั้งแต่ 1 มกราคม 2565) ผู้ป่วยกำลังรักษา 73,333 ราย และเสียชีวิต 54 ราย จำนวนผู้ป่วยปอดอักเสบ รักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล 1,276 ราย เฉลี่ยจังหวัดละ 17 ราย อัตราครองเตียง ร้อยละ 16.8
https://www.naewna.com/local/653438
https://www.bangkokbiznews.com/news/1004396
ดร.อนันต์ จงแก้ววัฒนา นักไวรัสวิทยา ไบโอเทค โพสต์เฟซบุ๊ค Anan Jongkaewwattana ระบุถึงผลวิจัย ที่ศูนย์วิจัยคลินิก ศิริราช ร่วมกับ ทีมวิจัยไวรัสวิทยา และเซลล์เทคโนโลยี BIOTEC สวทช. พบว่า วัคซีนเข็มกระตุ้นแบบฉีดเข้ากล้าม กับ ใต้ผิวหนัง ในกลุ่มผู้สูงอายุที่ได้รับวัคซีน AZ มา 2 เข็ม สามารถกระตุ้นภูมิคุ้มกันต่อไวรัส "โอไมครอน" หรือ โอมิครอน Omicron ได้ดีทั้งคู่
โดยกลุ่มที่ฉีดวัคซีนเข็ม 3 เข้ากล้าม จะได้ภูมิที่สูงกว่ากลุ่มใต้ผิวหนัง ประมาณ 3 เท่า ในกรณีที่ฉีดกระตุ้นด้วย Moderna และ ประมาณ 1.5 เท่า ในกรณีที่ฉีดกระตุ้นด้วย Pfizer
โดยตัวเลขดังกล่าวดูเหมือนจะสอดคล้องกับปริมาณวัคซีนที่ใช้ โดย Moderna ฉีดเข้ากล้ามมากกว่าผิวหนัง 5 เท่า (100 vs 20 mcg) ขณะที่ Pfizer ฉีดเข้ากล้ามมากกว่าผิวหนัง 3 เท่า (30 vs 10 mcg)
ผลข้างเคียงจากการฉีดใต้ผิวหนังดูเหมือนจะน้อยกว่าตามคาดครับ ซึ่งทีมวิจัยสรุปว่า การฉีดใต้ผิวหนังโดยเฉพาะด้วย Moderna อาจเป็นทางเลือกให้พิจารณา
ในกรณีที่มีวัคซีนจำกัด และ ต้องการลดผลข้างเคียงจากวัคซีน
ศูนย์วิจัยคลินิก คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล รายงานผลการศึกษาการฉีด วัคซีนเข็ม 3 ในผู้สูงอายุ ด้วยวัคซีนโมเดอร์นา หรือไฟเซอร์ โดยฉีดเข้าในชั้นผิวหนัง หรือฉีดเข้าชั้นกล้ามเนื้อ ซึ่งเป็นการศึกษาแบบเปิด และมีการสุ่มผู้สูงอายุตัวอย่างที่มีอายุตั้งแต่ 65 ปีขึ้นไป ที่เคยได้รับวัคซีนแอสตราเซเนก้าครบ 2 เข็ม จำนวน 210 ราย พบว่า ภายหลังจากที่ได้รับการฉีดกระตุ้น (เข็มที่ 3) ทำให้มีภูมิคุ้มกันต่อโอไมครอนได้เกือบทั้งหมด
ดังนั้น ผู้สูงอายุมีความจำเป็นอย่างมากที่จะต้องได้รับการฉีดวัคซีนเข็ม 3 จึงจะสามารถป้องกันโควิด-19 จากเชื้อโอไมครอนได้
ส่วนการฉีดเข้าในชั้นผิวหนังให้ภูมิคุ้มกันที่ต่ำกว่าการฉีดเข้าในชั้นกล้ามเนื้อ แต่ระดับภูมิคุ้มกันที่ได้ยังค่อนข้างสูง และเกิดอาการข้างเคียงน้อยกว่าการฉีดเข้าในชั้นกล้ามเนื้อ โดยวัคซีนโมเดอร์นาให้ระดับการตอบสนองทางภูมิคุ้มกันที่สูงกว่าวัคซีนไฟเซอร์ และมีภูมิคุ้มกันต่อโอไมครอนสูงกว่า
https://www.komchadluek.net/covid-19/515000
...ติดตามข่าวโควิดวันนี้ค่ะ
สถานการณ์ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง
🇹🇭มาลลาริน💜14พ.ค.ไทยไม่ติดTop10โลก/ป่วย6,726คน หายป่วย9,213คน ตาย54คน รักษาอยู่73,333คน/วิจัยสูตรเข็ม3สู้โอมิครอนได้
เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2565 “ศูนย์ข้อมูล COVID-19” สรุปรายงานยอดผู้ติดเชื้อโควิด-19 ประจำวันเสาร์ที่ 14 พฤษภาคม 2565 รวม 6,736 ราย จำแนกเป็น ผู้ป่วยจากในประเทศ 6,734 ราย ผู้ป่วยมาจากต่างประเทศ 2 ราย ผู้ป่วยสะสม 2,144,317 ราย (ตั้งแต่ 1 มกราคม 2565) หายป่วยกลับบ้าน 9,213 ราย หายป่วยสะสม 2,096,504 ราย (ตั้งแต่ 1 มกราคม 2565) ผู้ป่วยกำลังรักษา 73,333 ราย และเสียชีวิต 54 ราย จำนวนผู้ป่วยปอดอักเสบ รักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล 1,276 ราย เฉลี่ยจังหวัดละ 17 ราย อัตราครองเตียง ร้อยละ 16.8
https://www.naewna.com/local/653438
https://www.bangkokbiznews.com/news/1004396
ดร.อนันต์ จงแก้ววัฒนา นักไวรัสวิทยา ไบโอเทค โพสต์เฟซบุ๊ค Anan Jongkaewwattana ระบุถึงผลวิจัย ที่ศูนย์วิจัยคลินิก ศิริราช ร่วมกับ ทีมวิจัยไวรัสวิทยา และเซลล์เทคโนโลยี BIOTEC สวทช. พบว่า วัคซีนเข็มกระตุ้นแบบฉีดเข้ากล้าม กับ ใต้ผิวหนัง ในกลุ่มผู้สูงอายุที่ได้รับวัคซีน AZ มา 2 เข็ม สามารถกระตุ้นภูมิคุ้มกันต่อไวรัส "โอไมครอน" หรือ โอมิครอน Omicron ได้ดีทั้งคู่
โดยกลุ่มที่ฉีดวัคซีนเข็ม 3 เข้ากล้าม จะได้ภูมิที่สูงกว่ากลุ่มใต้ผิวหนัง ประมาณ 3 เท่า ในกรณีที่ฉีดกระตุ้นด้วย Moderna และ ประมาณ 1.5 เท่า ในกรณีที่ฉีดกระตุ้นด้วย Pfizer
โดยตัวเลขดังกล่าวดูเหมือนจะสอดคล้องกับปริมาณวัคซีนที่ใช้ โดย Moderna ฉีดเข้ากล้ามมากกว่าผิวหนัง 5 เท่า (100 vs 20 mcg) ขณะที่ Pfizer ฉีดเข้ากล้ามมากกว่าผิวหนัง 3 เท่า (30 vs 10 mcg)
ผลข้างเคียงจากการฉีดใต้ผิวหนังดูเหมือนจะน้อยกว่าตามคาดครับ ซึ่งทีมวิจัยสรุปว่า การฉีดใต้ผิวหนังโดยเฉพาะด้วย Moderna อาจเป็นทางเลือกให้พิจารณา
ในกรณีที่มีวัคซีนจำกัด และ ต้องการลดผลข้างเคียงจากวัคซีน
ศูนย์วิจัยคลินิก คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล รายงานผลการศึกษาการฉีด วัคซีนเข็ม 3 ในผู้สูงอายุ ด้วยวัคซีนโมเดอร์นา หรือไฟเซอร์ โดยฉีดเข้าในชั้นผิวหนัง หรือฉีดเข้าชั้นกล้ามเนื้อ ซึ่งเป็นการศึกษาแบบเปิด และมีการสุ่มผู้สูงอายุตัวอย่างที่มีอายุตั้งแต่ 65 ปีขึ้นไป ที่เคยได้รับวัคซีนแอสตราเซเนก้าครบ 2 เข็ม จำนวน 210 ราย พบว่า ภายหลังจากที่ได้รับการฉีดกระตุ้น (เข็มที่ 3) ทำให้มีภูมิคุ้มกันต่อโอไมครอนได้เกือบทั้งหมด
ดังนั้น ผู้สูงอายุมีความจำเป็นอย่างมากที่จะต้องได้รับการฉีดวัคซีนเข็ม 3 จึงจะสามารถป้องกันโควิด-19 จากเชื้อโอไมครอนได้
ส่วนการฉีดเข้าในชั้นผิวหนังให้ภูมิคุ้มกันที่ต่ำกว่าการฉีดเข้าในชั้นกล้ามเนื้อ แต่ระดับภูมิคุ้มกันที่ได้ยังค่อนข้างสูง และเกิดอาการข้างเคียงน้อยกว่าการฉีดเข้าในชั้นกล้ามเนื้อ โดยวัคซีนโมเดอร์นาให้ระดับการตอบสนองทางภูมิคุ้มกันที่สูงกว่าวัคซีนไฟเซอร์ และมีภูมิคุ้มกันต่อโอไมครอนสูงกว่า
https://www.komchadluek.net/covid-19/515000
...ติดตามข่าวโควิดวันนี้ค่ะ
สถานการณ์ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง